Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง มิตรแท้ตลอดเส้นทางลงทุน

22 ตุลาคม 2556
----------------------------------------------------------------------------


ชื่อ:  กาแฟยามเช้า3.PNG
ครั้ง: 1294
ขนาด:  641.4 กิโลไบต์




General News

• นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า FED จะลดวงเงินมาตรการ QE ในการประชุมระหว่างวันที่ 18-19 มีนาคมปีหน้า หลังการปิดหน่วยงานรัฐบางส่วนส่งผลให้ GDP ขยายตัวลดลง 0.3% เศรษฐกิจจึงยังจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มที่ สำหรับวงเงิน QE คาดว่าจะมีการปรับลดลงจาก 85 พันล้านดอลลาร์มาอยู่ที่ 70 พันล้านดอลลาร์ และจะลดวงเงินดังกล่าวจนเหลือ 25 พันล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม และยุติมาตรการนี้ในเดือนตุลาคมปี 2014

• องค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) ชี้ว่า ข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐเป็นการซื้อเวลาชั่วคราว และไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง เนื่องจากยังไม่มีการตัดสินใจรองรับปัญหาในระยะยาว

• สหรัฐ อนุมัติเงินช่วยเหลือทางการทหารและเศรษฐกิจแก่ปากีสถานอีกครั้ง หลังจากที่เคยหยุดให้เงินช่วยเหลือในช่วงที่หน่วยรบพิเศษสหรัฐหรือ "นาวี ซีล" บุกสังหารผู้นำอัลกออิดะห์ "นายโอซามา บิน ลาเดน" เมื่อปี 2554 โดยสหรัฐได้ร้องขอเงินช่วยเหลือให้กับปากีสถานจำนวน 1,162 ล้านดอลลาร์ รวมถึงเงินช่วยเหลือด้านพลเรือน 857 ล้านดอลลาร์และด้านความมั่นคง 305 ล้านดอลลาร์

• ความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐฯเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 2.7% มาอยู่ที่ 18.6 ล้านบาร์เรล/วัน หลังเศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้น ขณะที่ปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 18.6% มาอยู่ที่ 7.8 ล้านบาร์เรล/วัน สูงสุดในรอบ 25 ปี ส่วนยอดนำเข้าน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในเดือนดังกล่าวเฉลี่ยอยู่ที่ 10.0 ล้านบาร์เรล/วัน ต่ำสุดในรอบ 17 ปี

• ครม.จีนเรียกร้องให้ทางการพยายามปฏิรูปเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวยังไม่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมและการเพิ่มการอุปโภคบริโภค ขณะเดียวกันก็ให้มีการประกันความเสี่ยง และปกป้องความเป็นอยู่ของประชาชนมากขึ้น

• จีน เตรียมโครงการนำร่องให้รัฐบาลท้องถิ่นขายพันธบัตรในเดือนหน้า เพื่อแก้ปัญหาการที่รัฐบาลท้องถิ่นมีหนี้จำนวนมหาศาลและส่วนใหญ่ไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเสถียรภาพในระบบการเงินของประเทศ ทั้งนี้ ข้อมูลจากการประเมินอย่างไม่เป็นทางการพบว่า หนี้รัฐบาลท้องถิ่นโดยรวมอาจสูงถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 42% ของ GDP

• ไชน่าก๊าซโฮลดิ้งส์ คาดว่า ยอดขายก๊าซในจีนจะเพิ่มขึ้น 5 เท่าในปี 2020 เนื่องจากจีนมีนโยบายใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าทดแทนถ่านหินมากขึ้น เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศ

• ญี่ปุ่น ขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นเดือนที่ 15 และเป็นการขาดดุลต่อเนื่องนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1979 โดยยอดส่งออกเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 11.5% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าลงของเงินเยน ขณะที่ยอดนำเข้าในเดือนเดียวกันเพิ่มขึ้น 16.5% ส่งผลให้ขาดดุลการค้าอยู่ที่ 932.1 พันล้านเยน (9.5 พันล้านดอลลาร์)

• สมาคมร้านค้าปลีกแบบเครือข่ายของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ยอดขายในซูเปอร์มาร์เก็ตของญี่ปุ่นในเดือนก.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% เทียบรายปี ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน

• ยอดขายรถยนต์โตโยต้าในไทยช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 1,034,287 คัน เพิ่มขึ้น 3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นยอดขายรถยนต์นั่ง 497,852 คัน เพิ่มขึ้น 10.3% และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 536,435 คัน ลดลง 2.3% ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของยอดขายสะสมยังคงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวเข้าสู่ภาวะการขายในระดับปกติ อย่างไรก็ดี คาดว่าการเปิดตัวของรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่นในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะมีส่วนทำให้ตลาดรถยนต์โดยรวมไม่ลดลงมากนัก

• BOJ ปรับเพิ่มการประเมินภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ต่อผลบวกจากนโยบายกระตุ้นเงินเฟ้อของรัฐบาล ทั้งนี้การจ้างงานและเงินเดือนกำลังแสดงสัญญาณของการฟื้นตัว ท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่งและการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของการผลิตในภาคอุตสาหกรรม

• เวียดนามคาดการณ์เศรษฐกิจในประเทศเติบโต 5.4% ในปีนี้ ส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงปี 2554-2556 เติบโตเฉลี่ย 5.6% แม้จะชะลอตัวลงในปีที่แล้วเหลือราว 5% ก็ตาม ด้านธ.โลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโตเร็วขึ้นในปีหน้าถึง 5.4% จาก 5.3% ที่คาดไว้สำหรับปีนี้

• ธปท. เผยว่า หากสหรัฐฯถอนมาตรการ QE ในปีหน้า อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนเงินกู้ภายในประเทศให้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากภาพรวมของเศรษฐกิจยังมีความแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันไทยมีการกู้ยืมเงินที่เป็นสกุลต่างประเทศไม่มากนักจึงยังไม่น่ากังวล ซึ่งในส่วนของประเทศไทยยังมีความต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติมจากการระดมเงินเพื่อใช้ในการลงทุนโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท

• ธปท. มั่นใจว่าการปล่อยสินเชื่อของธ.พาณิชย์ไทยแต่ละแห่งในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมาย แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาจะเติบโตในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่แนวโน้มสินเชื่อในปีนี้คาดว่าจะสามารถเติบโตได้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจเช่นกัน สำหรับค่าเฉลี่ย NPL ในระบบปัจจุบันยังคงอยู่ที่ 2.4-2.5% ซึ่งถือว่าเป็นระดับปกติ จึงยังไม่น่ากังวลมากนัก

• ส.อ.ท. เผยดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ย. อยู่ที่ 90.4 ลดลงจากเดือนก่อนที่ 91.3 และต่ำสุดในรอบ 23 เดือน ทั้งนี้ค่าดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่า 100 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 15 และต่ำที่สุดในรอบ 23 เดือน ซึ่งเกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง ความกังวลต่อปัญหาการเมือง จึงเป็นปัจจัยลบต่อการดำเนินกิจการที่ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหวังว่าการขับเคลื่อนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจะมีความชัดเจนและจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในระยะต่อไป

• BOI เห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถของเอสเอ็มอีไทย และสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่ ทั้งนี้กำหนดว่าจะต้องเป็นบริษัทที่มีหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 51% และลงทุนขั้นต่ำ 5 แสนบาท พร้อมยื่นขอรับส่งเสริมภายในเดือน ธ.ค.57

Equity Market


สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม

กลุ่มนักลงทุน ล้านบาท



นักลงทุนสถาบัน -4,028.23
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ -690.37
นักลงทุนต่างชาติ +1,061.95
นักลงทุนทั่วไป +3,656.65

• SET Index ปิดที่ 1,448.54 จุด ลดลง 36.18 จุด (-2.44%) ด้วยมูลค่าซื้อขาย 45,380 ล้านบาท ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลต่อประเด็น พรบ.นิรโทษกรรม และความกังวลว่าผู้ชุมนุมที่ไม่เห็นด้วยกับพรบ.นี้จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนเกิดความขัดแย้งทางการเมืองมากขึ้น

• ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดที่ระดับ 2,229.24 จุด เพิ่มขึ้น 35.46 จุด หรือ +1.62% หลังรัฐบาลลดความเข้มงวดในการควบคุมความร้อนแรงของเศรษฐกิจ และกระตุ้นการบริโภคในประเทศมากขึ้น

• ดัชนีบ่งชี้การไถ่ถอนเงินลงทุนล่วงหน้า (FRI) ของเอสเอสแอนด์ซี บ่งชี้ว่า มูลค่าการไถ่ถอนเงินลงทุนออกจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในเดือนต.ค.ลดลง 20% จากเดือนก.ย. แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนไม่กังวลต่อปัญหาความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองสหรัฐเกี่ยวกับการแก้ไขวิกฤติหนี้ของประเทศ ขณะที่ยอดการขอไถ่ถอนเงินลงทุนเคยพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 19% ของปริมาณสินทรัพย์ภายใต้การจัดการในช่วงปลายปี 2008 หลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส ล้มละลาย แต่สัดส่วนการขอไถ่ถอนเงินลงทุนไม่เคยปรับขึ้นเหนือ 10% นับตั้งแต่เดือนก.ย. 2009 เป็นต้นมา

Fixed Income Market

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงในช่วง 0.00% ถึง 0.02% สำหรับวันนี้ไม่มีการประมูล