วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ราคานิวไฮรอบ 10 ปี มาร์เก็ตแคปพุ่ง 3 แสนล้าน

ราคานิวไฮรอบ 10 ปี มาร์เก็ตแคปพุ่ง 3 แสนล้าน
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 01 กันยายน 2557
ผู้เข้าชม : 13 คน




"BGH" อนาคตสดใส ลุ้นกำไรไตรมาส 3/57 โตทุบสถิติสูงสุด พร้อมเล็งซื้อกิจการเพิ่ม ดันราคาหุ้นทะยานนิวไฮรอบ 10 ปี มาร์เก็ตแคปทะลุ 3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3 แสนล้านบาทในช่วง 8 เดือน โบรกฯคาดกำไรปีนี้พุ่ง 7,482 ล้านบาท


บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BGH มีแนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/57 จะเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์และยังมีโอกาสเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กรณีทาง BGH เข้าซื้อบริษัท ภูเก็ตอินเตอร์ฮอสปิตอล หรือ PKI จะถือเป็นโรงพยาบาลแห่งที่ 44 โดย PKI ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลในภูเก็ตภายใต้ชื่อโรงพยาบาลสิริโรจน์ มีขนาด 151 เตียง และรองรับผู้ป่วยนอก (OPD) ได้ประมาณ 400 คนต่อวัน

สำหรับการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้มองเป็นประโยชน์ต่อ BGH ที่สามารถขยายฐานผู้ป่วยในภาคใต้ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในภูเก็ต และยังสามารถส่งต่อผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคไปที่ BGH ภูเก็ตได้ ซึ่ง PKI ได้รับ JCI ซึ่งเป็นมาตรฐานจากสหรัฐอเมริกา ทำให้ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติก็สูงถึง 55% ในขณะที่ผู้ป่วยในประเทศ 45%

อีกทั้ง นอกจากนโยบายหลักคือการซื้อโรงพยาบาลให้ครบ 50 แห่งภายในสิ้นปี 2558 ทาง BGH ยังรุกในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องการการแพทย์ หรือ Non-Core ด้วยการเข้าซื้อ เซฟดรัก เซ็นเตอร์ (SAVE DRUG) ซึ่งทำธุรกิจจัดจำหน่ายและค้าปลีกสินค้าประเภทยา มีสาขา 107 สาขาทั่วประเทศ โดย SAVE DRUG เป็น Distribution Channel ให้กับโรงงานผลิตยา และผลิตน้ำเกลือ ที่ BGH ถือหุ้นอยู่ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นมีรายได้ประมาณ 700-750 ล้านบาท

โดยประเมินรายได้งวดปี 2557 ไว้ที่ 53,919 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 7,482 ล้านบาท รวมทั้งปรับประมาณการรายได้และกำไรปี 2558 เพิ่มขึ้นหลังการซื้อ PKI ซึ่งจะเพิ่มรายได้ประมาณ 1.5% และคาดรายได้ SAVE DRUG ประมาณ 720 ล้านบาท จึงคาดรายได้ปี 2558 ที่ 60,242 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 8,550 ล้านบาท แนะนำ “ทยอยซื้อ” ให้ราคาพื้นฐาน 20.70 บาท

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า BGH จะรายงานกำไรหลักทำสถิติสูงสุดใหม่ในไตรมาส 3/57 โดยมีปัจจัยหนุนมาจากช่วงไฮซีซั่นและการรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงพยาบาลสนามจันทร์เข้ามา ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยประมาณการเบื้องต้นว่า รายได้กลุ่มการแพทย์จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน และเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/57 ส่วนกำไรหลักจะเติบโตถึง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนและเพิ่มขึ้น 40% เมื่อกับไตรมาส 2/57

ทั้งนี้ รายได้จากกลุ่มโรงพยาบาลสนามจันทร์คิดเป็น 2% ของประมาณการกำไรหลักของฝ่ายวิเคราะห์ในไตรมาส 3/57 ซึ่ง BGH อาจรับรู้กำไรจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนตามราคาตลาดจากการเข้าซื้อกลุ่มโรงพยาบาลสนามจันทร์ แต่ฝ่ายวิเคราะห์ยังไม่ได้รวมกำไรในส่วนดังกล่าวเข้ามา กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 20.50 บาท

ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวราคาหุ้น BGH ที่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับนิวไฮในรอบ 10 ปี หลังจากมีกระแสคาดการณ์ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/57 จะเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์และยังมีโอกาสเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม

โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (25-29 ส.ค.) ราคาหุ้น BGH เปิดการซื้อขายอยู่ที่ 18.60 บาท จากนั้นหุ้นได้ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนทะลุระดับ 19 บาทในช่วงกลางสัปดาห์ และปรับเพิ่มขึ้นสู่จุดสูงตั้งแต่เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ 19.60 บาท (วันที่ 28 ส.ค.) และล่าสุดงวดวันที่ 29 ส.ค.ปิดการซื้อขายที่ 19.50 บาท

ดังนั้น จากราคาปิดล่าสุดที่ 19.50 บาท จึงส่งผลให้ในปัจจุบัน BGH มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) มากถึง 3 แสนล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 1.3 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2557 ที่ในขณะนั้นบริษัทมีมาร์เก็ตแคปเพียง 1.68 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จากราคาหุ้น BGH ที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปัจจุบัน ได้ส่งผลให้ P/E หุ้นของบริษัทขยับขึ้นมาซื้อขายสูงถึง 46 เท่า และมี P/BV ในระดับเกิน 7 เท่า ส่วนราคาเป้าหมายของ BGH ที่หลายบริษัทหลักทรัพย์ประเมินหุ้น BGH ในช่วงรอบเดือนส.ค. 2557 ได้ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 21 บาท จึงเท่ากับคงเหลืออัพไซด์หุ้นเพียง 7% เท่านั้น

posted from Bloggeroid

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ตลท.เผย ADVANC ปันผลระหว่างกาลสูงอันดับหนึ่งใน SET ส่วน mai หุ้น AUCT ปันผลมากสุด รวมบริษัทจดทะเบียน 119 แห่ง จ่ายเงินปันผลครึ่งปีแรกมูลค่ารวม 97,380 ล้านบาท

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ครึ่งปีปันผล9.7หมื่นล้าน!
ADVANCแชมป์จ่ายสูงสุด

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 27 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 59 คน
ตลท.เผย ADVANC ปันผลระหว่างกาลสูงอันดับหนึ่งใน SET ส่วน mai หุ้น AUCT ปันผลมากสุด รวมบริษัทจดทะเบียน 119 แห่ง จ่ายเงินปันผลครึ่งปีแรกมูลค่ารวม 97,380 ล้านบาท


นางสาวปวีณา ศรีโพธิ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) รายงานต่อตลท. ณ วันที่ 22 ส.ค. 57 มีบจ.ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวด 6 เดือนปี 2557 แล้ว 119 แห่ง (ไม่รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์) จ่ายเงินปันผลมูลค่ารวม 97,380 ล้านบาท

โดยแบ่งออกเป็นบจ.ใน SET จำนวน 100 แห่ง มูลค่าจ่ายปันผล 96,852 ล้านบาท ขณะที่บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 19 แห่ง มูลค่าการจ่ายปันผล 528 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล (payout ratio) 63.68% ใกล้เคียงกับงวด 6 เดือนปีที่แล้ว

สำหรับมูลค่าการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ประกาศออกมาแล้วปีนี้ มีมูลค่าสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้า จึงคาดว่าเมื่อประกาศครบช่วงเดือนกันยายนจะมีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง เมื่อเทียบปีที่แล้วที่อยู่ระดับ 130,000 ล้านบาท

โดยมีสาเหตุมาจากบจ.ที่มีกำไรสุทธิและมีประวัติการจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นประจำทุกปีอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้มีการประกาศจ่ายปันผลออกมา มูลค่าการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลรอบนี้มีสัดส่วนหลักมาจากกลุ่มธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นช่วงครึ่งปีแรกรวมถึงบจ.ที่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิในอัตราที่สูง

“กำไรสุทธิบจ.ที่เติบโตต่อเนื่องไปพร้อมกับมูลค่าการจ่ายเงินปันผลในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความสามารถของ บจ. ในการรักษาระดับกำไรให้เติบโตต่อเนื่องและอยู่ในระดับที่สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ลงทุนได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังปฏิบัติตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีวินัยทางด้านการเงินและการปฏิบัติที่ดีต่อผู้ถือหุ้นของ บจ.” นางสาวปวีณากล่าวเสริม

นางสาวปวีณา กล่าวอีกว่า สำหรับบริษัทใน SET ที่ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้วสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC และบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ซึ่งเงินปันผลของ 5 บริษัทมีมูลค่ารวมกัน 57,647 ล้านบาท หรือ 59.52% ของมูลค่าเงินปันผลระหว่างกาลทั้งหมดใน SET

ขณะที่บริษัทใน mai ที่ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้วสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT บริษัท ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ UEC บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI บริษัท เชอร์วู้ด เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ SWC และบริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO มีมูลค่าเงินปันผลรวม 259 ล้านบาท หรือ 48.96% ของมูลค่าเงินปันผลระหว่างกาลทั้งหมดใน mai

posted from Bloggeroid

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บัตรกรุงไทย (KTC) เชื่อโค้งสุดท้ายกำไรไม่หลุดเป้าหมาย หลัง 6 เดือนทำไปแล้ว 826 ล้านบาท พร้อมจ่อจ่ายปันผล 2.40 บาทต่อหุ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 2 บาท ชี้ ROE ไม่ต่ำกว่า 20% ส่วน NPL หั่นเหลือ 1.2%

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: KTCยันกำไรเกิน1.3พันล.
เล็งปันผล2.40บาทต่อหุ้น

ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 19 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 54 คน
บัตรกรุงไทย (KTC) เชื่อโค้งสุดท้ายกำไรไม่หลุดเป้าหมาย หลัง 6 เดือนทำไปแล้ว 826 ล้านบาท พร้อมจ่อจ่ายปันผล 2.40 บาทต่อหุ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 2 บาท ชี้ ROE ไม่ต่ำกว่า 20% ส่วน NPL หั่นเหลือ 1.2%

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KTC กล่าวว่า ปีนี้จะทำกำไรเกินเป้าหมายที่วางไว้ที่ 1,300 ล้านบาท เป็นผลจากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมไปถึงการปรับปรุงการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ มากยิ่งขึ้น และเตรียมจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% หรือ อยู่ที่ 2.40 บาทต่อหุ้น จากปีที่แล้วที่ปันผล 2.00บาท

“กำไรออกมาดีตามที่เราคาดหวัง และยังมั่นใจว่าจะมากกว่า 1,300 ล้านบาทอย่างแน่นอน ส่วน ROE ปัจจุบันของเราอยู่ที่ 26% นับว่าสูง และเราเชื่อว่าในระยะยาวจะไม่ต่ำกว่า 20% แต่คงไม่ขึ้นไปถึง 30% เพราะธุรกิจนี้ยังมีความเสี่ยง และผันผวนไปตามเศรษฐกิจอยู่”

สำหรับภาพรวมการแข่งขันในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ KTCจะเน้นการขยายฐานลูกค้าไปยังต่างจังหวัด และออกแคมเปญให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้นด้วย ส่วนยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 15% โดยมีแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวจากการประชุม สนช. ซึ่งจะส่งผลให้เห็นภาพชัดเจนว่าจะมีคณะรัฐมนตรีในเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นคาดว่าจะมาจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่ KTC เตรียมไว้ถึง 2,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันใช้งบการตลาดไปแล้วกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นผลมาจากเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัวกว่าที่ผ่านมาส่งผลให้ประชาชนเริ่มกลับมาใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น

นางสาวสุดาพร จันทร์วัฒนากุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจสินเชื่อบุคคล KTC กล่าว ว่า สำหรับแนวโน้มสินเชื่อบุคคลในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง หลังจากประชาชนเริ่มคลายความกังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยเริ่มกลับมา โดยทั้งปีคาดว่าจะมีลูกค้าใหม่ตามเป้าหมายที่ 140,000-150,000 ราย จากปัจจุบันมีลูกค้าใหม่แล้ว 62,000 ราย

"ปกติแล้วหากไม่มีเหตุการณ์อะไรก็จะเริ่มลับมาฟื้นตัวได้ดี แต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาคนชะลอการใช้จ่ายไปจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ค่อนข้างแย่มาก"

ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ของกลุ่มสินเชื่อบุคคลในปีนี้จะทรงตัวอยู่ที่ 1.2% ซึ่งต่ำกว่าระบบซึ่งอยู่ที่ 4.2% โดยเป็นผลจาก KTC มีการบริหารจัดการที่ดี และมีทีมงานในการบริหารหนี้ที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างมาก

"ยอมรับว่าเอ็นพีแอลเราต่ำมากจริงๆ ต่ำกว่าระบบ โดยแบงก์ทั้งระบบมีเอ็นพีแอล 4.5% และ นอนแบงก์ 3.9% เฉลี่ยทั้งระบบก็อยู่ที่ประมาณ 4.2% แต่ของเรา 1.2% เท่านั้นเมื่อครึ่งปีแรก และ ทั้งปีเราก็คาดจะอยู่ที่ระดับดังกล่าว"

นางพิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจบัตร KTC กล่าวว่า ส่วนภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิตในปีนี้คาดว่าจะมีลูกค้าบัตรเครดิตใหม่เติบโตได้ 10% จากเป้าหมายที่ 15% หรือคิดเป็นลูกค้าใหม่ 300,000-320,000รายจากเป้าหมายที่ 400,000 ราย ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มมีความชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 2ที่ผ่านมา ประกอบกับ เศรษฐกิจเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัว

"เราก็พยายามลุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะปกติ Q3-Q4 จะเป็นช่วงพีค แต่ทั้งปีลูกค้าใหม่จะถึง 15% หรือไม่คงตอบได้ยาก แต่จากสถานการณ์ถ้าเราโตได้สัก 10% ก็เก่งมากแล้ว"

สำหรับกลยุทธ์ในช่วงครึ่งปีหลัง KTC จะรุกตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเน้นไปที่หัวเมืองใหญ่ 10 แห่ง ซึ่งเมื่อรวมกรุงเทพฯและปริมณฑลจะส่งผลให้ครอบคลุมลูกค้า 85% โดย KTC จะเน้นขยายฐานลูกค้ากลุ่มบนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม กิน ช้อป เที่ยว เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายค่อนข้างมากรวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรรายใหม่ๆ มากขึ้นด้วย

ส่วนสถานการณ์การผิดนัดชำระหนี้ในส่วนของสินเชื่อบัตรเครดิตขณะนี้ยังปกติ เนื่องจาก KTC มีการบริหารจัดการที่ดีทั้งระบบ ส่งผลให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL อยู่ที่ระดับ 2% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.3%

"นอกจากเราจะเน้นการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ละเลยในการดูหนี้ ซึ่งเอ็นพีแอลเราค่อนข้างต่ำ เพราะมีการดูแลและควบคุมอย่างใกล้ชิด"

นายชุติเดช ชยุติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสสายงาน Corporate Finance KTC กล่าวว่า ในเดือนต.ค.นี้ KTC เตรียมออกหุ้นกู้วงเงิน 4-6 พันล้านบาทเพื่อรีไฟแนนซ์วงเงินเดิมที่มีอยู่ทั้งสิ้น 6,000ล้านบาท

posted from Bloggeroid

"MONO" เตรียมย้ายจาก mai เข้าไปเทรดใน SET ช่วงต.ค.-พ.ย.นี้ เพื่อเปิดทางให้กองทุนต่างชาติเข้ามาซื้อลงทุนหุ้นได้มากขึ้น ย้ำรายได้ปีนี้โต 10-15% พร้อมตั้งเป้าปี 2559 รายได้กระฉูด 5พันล้านบาท รับรู้จากทีวีดิจิตอล 50%

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: MONOจ่อย้ายเทรดSET


ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 20 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 51 คน
"MONO" เตรียมย้ายจาก mai เข้าไปเทรดใน SET ช่วงต.ค.-พ.ย.นี้ เพื่อเปิดทางให้กองทุนต่างชาติเข้ามาซื้อลงทุนหุ้นได้มากขึ้น ย้ำรายได้ปีนี้โต 10-15% พร้อมตั้งเป้าปี 2559 รายได้กระฉูด 5พันล้านบาท รับรู้จากทีวีดิจิตอล 50%


นายนวมินทร์ ประสพเนตร ผู้ช่วยประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO เปิดเผยว่า มีแผนที่จะย้ายหลักทรัพย์ของ MONO ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดได้ในช่วงประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2557 นี้ เพื่อเปิดโอกาสให้กองทุนต่างชาติที่มีความสนใจจะเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทได้มีโอกาสเข้ามาลงทุนได้มากขึ้น เพราะหลายกองทุนติดเกณฑ์การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพราะเป็นตลาดเล็ก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมามีหลายกองทุนที่ติดต่อเข้ามาเยี่ยมชมบริษัท ส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนต่างชาติจำพวกเอเชียเป็นหลัก โดยบริษัทขอยืนยันว่าถ้าต่างชาติต้องการซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทก็ต้องเป็นในกระดานปกติ ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคงไม่มีการขายหุ้นออกมา โอกาสที่จะเห็นการซื้อขายหุ้นในกระดานใหญ่ (บิ๊กล็อต) คงไม่เกิดแน่นอน

“แผนการย้ายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาด mai ไปยังตลาดใหญ่อย่าง SET น่าจะเกิดได้ในช่วงปลายปีประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2557 นี้ ซึ่งเกณฑ์ที่ทำให้หุ้นของบริษัทไม่สามารถเข้าไปซื้อขายในตลาด SET ได้ คือ เรื่องทุนจดทะเบียน ซึ่งได้มีการแก้ไขไปแล้ว ด้วยการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1,400 ล้านบาท มาเป็น 3,000 ล้านบาท” นายนวมินทร์ กล่าว

นายนวมินทร์กล่าวอีกว่า สำหรับรายได้ของบริษัทในปีนี้ น่าจะเติบโตประมาณ 10-15% จากปีที่แล้วที่มีรายได้อยู่ที่ 1,561 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิของบริษัทน่าจะปรับตัวลดลงจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 501 ล้านบาท เพราะปีนี้บริษัทมีค่าใช้จ่ายจากการลงทุนในทีวีดิจิตอล ซึ่งตั้งแต่เปิดดำเนินการมา 3 เดือนก็ได้รับการตอบรับที่ดีขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มทีวีดิจิตอลและเป็นอันดับ 9 ในฟรีทีวี โดยมีรายได้เดือนละประมาณ 10 ล้านบาท เติบโตประมาณ 50% ตลอด

นอกจากนี้สำหรับรายได้จากธุรกิจทีวีดิจิตอลในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณกว่า 100 ล้านบาท ส่วนปีหน้าจะขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1,000 ล้านบาท โดยบริษัทมองว่าไม่น่าจะยาก เพราะมูลค่าเม็ดเงินโฆษณาในสื่อโทรทัศน์อยู่ที่ประมาณ 60,000 ล้านบาท หากบริษัทสามารถเพิ่มเรตติ้งโฆษณาให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 0.08 มาเป็น 0.1 ในปีนี้ และขึ้นไปเป็น 0.4 ได้ในปีหน้า

ทั้งนี้ ในปี 2559 บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท โดยคาดว่าในปี 2559 จะมีรายได้จากธุรกิจทีวีดิจิตอลอยู่ที่ประมาณ 50% ของรายได้ทั้งหมด จากในปี 2556 ที่มีรายได้อยู่ที่เพียง 3% ซึ่งในปีนี้บริษัทจะใช้งบลงทุนในธุรกิจทีวีดิจิตอล เพื่อลงทุนในคอนเทนต์ประมาณ 300 ล้านบาท และงบสำหรับใช้ในการทำตลาดประมาณ 30 ล้านบาท

ส่วนเรื่องเงินทุนสำหรับการลงทุนในทีวีดิจิตอลนั้น บริษัทไม่กังวล เพราะได้มีการเตรียมความพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระแสเงินสดหรือการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น (วอร์แรนต์) ของบริษัท ราคาแปลงสิทธิ 2.50 บาท มูลค่ารวม 2,000-3,000 ล้านบาท

posted from Bloggeroid

"ไทยคม" เล็งเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้โตเกิน 18% หลังรับรู้รายได้ไทยคม 6 เต็มปีและบริการไวไฟบนเครื่องบิน จ่อยิงไทยคม 7 ปลายส.ค.นี้เห็นกำไรไตรมาส 1/58 จ่อขายหุ้นกู้ 4-5 พันล้านบาทก.ย.นี้ ซุ่มเจรจาควบรวมกิจการในออสเตรเลียสรุปปีนี้

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: THCOMเพิ่มเป้ารายได้
บันทึกไทยคม6เต็มปี

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 20 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 52 คน
"ไทยคม" เล็งเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้โตเกิน 18% หลังรับรู้รายได้ไทยคม 6 เต็มปีและบริการไวไฟบนเครื่องบิน จ่อยิงไทยคม 7 ปลายส.ค.นี้เห็นกำไรไตรมาส 1/58 จ่อขายหุ้นกู้ 4-5 พันล้านบาทก.ย.นี้ ซุ่มเจรจาควบรวมกิจการในออสเตรเลียสรุปปีนี้


นายวุฒิ อัศวเสริมเจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านการเงิน บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ปีนี้ จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายการเติบโตรายได้ปีนี้ไว้ที่ 18% จากปี 2556 ที่บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 8,286.13 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการรับรู้รายได้ของดาวเทียมไทยคม 6 เข้ามาเต็มปี

รวมทั้งมีการรับรู้รายได้จากบริการสื่อสารผ่านดาวเทียมบนเครื่องบิน (In-flight Connectivity : IFC) เพื่อเชื่อมต่อการสื่อสารในระบบ Wi-Fi ผ่านสัญญาณดาวเทียมไทยคม ซึ่งคาดว่าจะให้บริการกับบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK ได้ภายในเดือนก.ย.นี้ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อให้บริการดังกล่าวกับสายการบินอื่นๆ อีกด้วย เช่น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI และ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส

“บริษัทเตรียมทบทวนเป้ารายปีนี้เพิ่มขึ้น จากเดิมเป้าหมายการเติบโตรายได้ปีนี้อยู่ที่ 18% จากปีก่อน เพราะบริษัทมีการรับรู้ไทยคม 6 เต็มปี รวมถึงบริการ IFC ด้วย ขณะที่อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยทั้งปีนี้น่าจะอยู่ที่ 18% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 14% ขณะที่ EBITDA Margin ปีนี้น่าจะอยู่ที่ 54% จากปีก่อนอยู่ที่ 52%” นายวุฒิ กล่าว

ส่วนความคืบหน้าดาวเทียมไทยคม 7 บริษัทมีกำหนดยิงขึ้นสู่วงโคจรที่ตำแหน่ง 120 องศาตะวันออก ในช่วงปลายเดือนส.ค.นี้ โดยปัจจุบันบริษัทสามารถขายช่องสัญญาณล่วงหน้าไปแล้ว 50% คาดว่าจะรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/57 เล็กน้อย และเห็นกำไรชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 1/58 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้วงเงิน 4,000-5,000 ล้านบาท อายุ 5-7 ปี อันดับเครดิตเรตติ้ง A- อัตราดอกเบี้ยประมาณ 4-5% โดยจะเปิดขายให้กับนักลงทุนทั่วไปได้ในเดือนก.ย.นี้ ผ่าน 4 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ธนาคารธนชาต และธนาคารกรุงไทย

โดยหุ้นกู้ที่เตรียมจะออกดังกล่าว เพื่อนำเงินเป็นก้อนจำนวนประมาณเกือบ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปชำระให้กับบริษัท Asia Satellite Telecommunications ซึ่งเป็นผู้ร่วมลงทุนในดาวเทียมไทยคม 7 มูลค่าการลงทุนประมาณ 171 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้บริษัทลดต้นทุนทางการเงินได้ โดยดอกเบี้ยจะลดลงเหลือเพียง 4-5% จากเดิมที่บริษัทแบ่งจ่ายเป็นรายปีเป็นระยะเวลา 15 ปี มีดอกเบี้ยอยู่ที่ 10%

สำหรับดาวเทียมไทยคม 8 บริษัทมีกำหนดยิงขึ้นสู่วงโคจรในช่วงต้นปี 2559 ที่ตำแหน่ง 78.5 องศาตะวันออก การลงทุนประมาณ 178.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5,791 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เตรียมเซ็นสัญญาเงินกู้กับธนาคารในประเทศ คาดว่าจะจบได้ในเร็วๆ นี้ โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่มาจากเงินกู้ 80-85% ที่เหลือเป็นกระแสเงินของบริษัท ร่วมกับเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ดังกล่าว

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาควบรวมกิจการ (M&A) ประเภทการติดตั้งระบบและวางระบบโทรคมนาคม ในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย มูลค่าการลงทุนมากกว่า 5.9 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในสิ้นปี 2557

ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อจะให้บริการดาวเทียมเพิ่มอีก 3 ดวง ได้แก่ ดวงแรก ไอพีสตาร์ 2 ที่ตำแหน่งวงโคจร 119.5 องศาตะวันออก ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับไอพีสตาร์ 1 โดยเป็นโมเดลใหม่ที่แตกต่างจากไอพีสตาร์ 1 เพื่อรองรับลูกค้าในไทย และประเทศอื่นๆ ที่แบนด์วิธเต็มแล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในสิ้นปีนี้

และดวงที่ 2 ดาวเทียมแบบทั่วไป ที่ตำแหน่งวงโคจร 50.5 องศาตะวันออก เป็นตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมที่รัฐบาลไทยให้รักษาวงโคจรเอาไว้ ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานงานความถี่กับประเทศจีนอีก 1 ประเทศ ซึ่งมีความคืบหน้า หลังจากที่ได้ประสานงานความถี่กับอีก 3 ประเทศ ได้แก่ ตุรกี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และรัสเซีย เรียบร้อยไปแล้ว โดยยังคงมีเวลาเหลืออีกประมาณ 2 ปี รวมทั้งดวงที่ 3 ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษา โดยอาจจะเป็นดาวเทียมที่มีลักษณะผสมระหว่างดาวเทียมแบบทั่วไปและไอพีสตาร์ เพื่อรองรับการให้บริการ IFC ในประเทศญี่ปุ่น

posted from Bloggeroid

เมืองขนาดเล็กเพื่อตากอากาศ เล่นสกีในฤดูหนาว และตกปลาในลำธารในฤดูใบไม้ร่วง ชื่อ แจ็กสัน 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: รูของแจ็กสัน


คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 3 คน
เมืองขนาดเล็กเพื่อตากอากาศ เล่นสกีในฤดูหนาว และตกปลาในลำธารในฤดูใบไม้ร่วง ชื่อ แจ็กสัน มีประชากรอาศัยอยู่เพียงแค่ 9.5 พันคน ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขาชื่อ แจ็กสันโฮล หรือ รูแจ็กสัน ในรัฐไวโอมิ่ง ซึ่งเป็นเขตเกษตรกรรมเลี้ยงปศุสัตว์ทางตอนเหนือใจกลางประเทศสหรัฐฯ มีชื่อเสียงก้องโลกมาฉับพลันในปีนี้ และอาจจะยกระดับเทียบเท่าเมืองดาวอส ในสวิตเซอร์แลนด์ได้ไม่ยาก

เหตุผลคือ ทุกฤดูใบไม้ร่วงของปีเมืองนี้จะเป็นสถานที่ประชุมบรรดานักการเงินและนายธนาคารกลางที่ทรงอิทธิพลระดับโลก เพื่อมาให้ความเห็นหรือหารือกันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีกลุ่มผู้สื่อข่าวระดับ “เขี้ยวลากดิน” จากสื่อทั่วโลกเข้าร่วมด้วยจำนวนหนึ่ง

กฎของการประชุมที่กำหนดไว้เคร่งครัดคือการกำหนดให้กระแสข่าวต่างๆ เป็นความลับของแหล่งที่มา คล้ายกับเสียงกระซิบที่ว่างเปล่า ซึ่งถือเป็นเคล็ดลับที่ชวนให้คนเข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างยิ่งยวด

โดยเฉพาะข่าวลือทางการเงินนี่แหละ เป็นเสน่ห์ล้ำลึกเพราะเดิมพันความมั่งคั่งอันสูงลิ่ว

การกำหนดเมืองแจ็กสันให้เป็นสถานที่ประชุมนั้น เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่ได้หวังจะโปรโมทการท่องเที่ยวอะไร แต่เป็นเพราะเมืองนี้ มีกีฬาตกปลาเทร้าท์ในลำธารในฤดูไบไม้ร่วงที่โด่งดัง ซึ่งผู้ว่าการธนาคารกลางหรือเฟดฯสาขาไวโอมิ่งเป็นเจ้าภาพในปี ค.ศ. 2982 ได้พยายามเอาอกเอาใจนายพอล โวล์กเกอร์ ประธานเฟดฯในยุคนั้น ซึ่งชอบกีฬาตกปลาเทร้าท์มากเป็นพิเศษ จึงหาสถานที่เมืองนี้ให้ ซึ่งผลลัพธ์ต่อมาก็คือ จากที่เวียนกันไปมาตามเมืองต่างๆ ก็เปลี่ยนเป็นปักหลักที่เมืองนี้มาโดยตลอดนานกว่า 30 ปีแล้ว

ผลพวงเกี่ยวเนื่อง ก็ทำให้ รูของแจ็กสัน กลายเป็นชื่อโด่งดังกลบชื่อเมือง และทำให้คนเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่า เมืองนี้ชื่อ รูของแจ็กสัน

แท้จริงแล้ว คำว่า รูของแจ็กสัน เป็นชื่อเรียกหุบเขา หรือวนอุทยานขนาดใหญ่คั่นพรมแดนสหรัฐฯ-แคนาดา ที่เชื่อมต่อกับเทือกเขาร็อคกี้ กับ วนอุทยานเยลโลว์สโตน ถือได้ว่าเป็นแหล่งล่าสัตว์ป่าจำพวกบีเวอร์ และสัตว์ป่าที่ให้ขนเฟอร์หลากชนิด โดยมีช่องเขาที่นักล่าสัตว์เมื่อร้อยกว่าปีก่อนใช้เป็นช่องทางผ่านไปดักสัตว์ เป็นที่มาของคำว่ารู

รู (ช่องเขา) ที่โด่งดังที่สุด ถูกเรียกว่า รูของแจ็กสัน ซึ่งเป็นชื่อสกุลของนักล่าสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในย่านนั้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เดวิด เอ็ดเวิร์ด แจ็กสัน พนักงานในสังกัดบริษัท Rocky Mountain Fur Company เจ้าของสัมปทานล่าสัตว์ในย่านนี้

เป้าหมายของการจัดประชุมของเฟดฯ มุ่งหมายให้เป็นการแลกเปลี่ยนอย่างไม่เป็นทางการระหว่างนายธนาคารกลาง นายธนาคารพาณิชย์ นักการเงินจากภาคเอกชน นักคิดทางการเงินจากวอลล์สตรีท และสื่อมวลชนด้านการเงินและลงทุน แต่เมื่อจัดไปทุกปี สัดส่วนก็เปลี่ยนไป นักการเงินเอกชนในวอลล์สตรีทถูกลดสัดส่วนลงจาก 27% เหลือแค่ 3% เปิดทางให้นายธนาคารกลางต่างชาติทั่วโลกมีสัดส่วนที่ 31% และสื่อจากจำนวนน้อยแค่ 6% เพิ่มเป็น 12%

กฎที่รับทราบกันของผู้เข้าร่วมประชุมคือ กฎว่าด้วยรูของแจ็กสัน (The Jackson Hole Rules) คืออนุญาตให้เอ่ยชื่อคนพูดในห้องประชุมสัมมนาได้ แต่ความเห็นอื่นๆ นอกห้องประชุม ต้องไม่มีระบุว่ามาจากแหล่งไหน เพียงให้รู้ว่ามีประเด็นกันเท่านั้น

รูปแบบของการประชุมสัมมนากึ่งทางการเช่นนี้ เหมาะสำหรับการทำความคุ้นเคยในฐานะมนุษย์ และ ท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลายกับภูมิทัศน์อันเลอเลิศกับการตกปลา ว่ายน้ำ และเดินทางท่องเที่ยว

สื่อที่เคยเข้าร่วมที่รูของแจ็กสันยอมรับว่า ที่นี่คือการ “เจาะคุ้ยเชิงลึก” และการ “ปล่อยข่าว” ด้านนโยบายการเงินที่กุมชะตากรรมของสหรัฐฯและของโลกในหลายปีมานี้ อย่างมีนัยสำคัญจาก “ข่าวหลุด” หรือ “ข่าวหล่น” ทั้งหลาย

ครั้งนี้ก็คงไม่แตกต่างกัน เช้าวันจันทร์ที่จะถึงนี้ก็คงได้รู้กันว่ามีอะไรบ้าง ที่มากกว่าการ “เย่อกับปลา”

posted from Bloggeroid

บางกอกแลนด์ หรือ BLAND ขายกอง IMPACT REIT กองแรก มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท วันที่ 8-19 กันยายนนี้ พร้อมโรดโชว์ 1 ก.ย.นี้ นำเงินไปขยายอิมแพ็คเฟส 2 และบุ๊คกำไรพิเศษกว่า 3 พันล้านบาท ปรับบุ๊คเป็น 3.25 บาท จากปัจจุบัน 2.32 บาท/หุ้น ด้านกองทุนเทมเพิลตันซื้อบิ๊กล็อต เป้าราคา 2.80 บาท  

บีแลนด์ฟันกำไร3พันล.
ขายREIT2หมื่นล้าน
*ปรับบุ๊คจาก 2.32 เป็น 3.25 บาทต่อหุ้น
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 107 คน




บางกอกแลนด์ หรือ BLAND ขายกอง IMPACT REIT กองแรก มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท วันที่ 8-19 กันยายนนี้ พร้อมโรดโชว์ 1 ก.ย.นี้ นำเงินไปขยายอิมแพ็คเฟส 2 และบุ๊คกำไรพิเศษกว่า 3 พันล้านบาท ปรับบุ๊คเป็น 3.25 บาท จากปัจจุบัน 2.32 บาท/หุ้น ด้านกองทุนเทมเพิลตันซื้อบิ๊กล็อต เป้าราคา 2.80 บาท



แหล่งข่าวจากที่ปรึกษาทางการเงิน เผยว่า บมจ.บางกอกแลนด์ หรือ BLAND เตรียมโรดโชว์กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็คโกรท (IMPACT Growth Real Estate Investment Trust) ในวันที่ 1 กันยายนนี้ โดยมี เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและรับประกันจัดจำหน่าย ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย ให้กับอาร์เอ็มไอ ผู้ออกกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็คโกรท หรือ IMPACT REIT มูลค่า 20,000 ล้านบาท ในราคาหน่วยละ 10 บาท ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนจองซื้อหุ้นไอพีโอได้ระหว่างวันที่ 8-19 กันยายนนี้

ทั้งนี้ ประเมินว่า BLAND จะมีกำไรพิเศษจากตรงนี้ประมาณ 2.8-3.0 พันล้านบาท

บีแลนด์จะขายอิมแพ็ค 4 ให้เป็นสินทรัพย์ของกองทรัสต์ ซึ่งเป็นส่วนที่ตั้งอยู่ในเขตโครงการอิมแพ็คเมืองทองธานี ได้แก่ ศูนย์จัดการแสดงอิมแพ็คอารีน่า (IMPACT Arena), ศูนย์แสดงสินค้าและนิทรรศการนานาชาติรวมถึงสถานที่สำหรับจัดงานในร่ม (IMPACT Exhibition Center) ที่มีจำนวน 8 อาคาร และห้องประชุม 6 ห้อง, ศูนย์การประชุมอิมแพ็คฟอรั่ม(IMPACT Forum) มีจำนวน 2 อาคาร และอาคารอิมแพ็คชาเลนเจอร์ (IMPACT Challenger) มีจำนวน 3 อาคาร ห้องบอลรูม 1 ห้องและห้องประชุม 16 ห้อง

ขณะเดียวกัน BLAND จะเข้าไปถือกอง IMPACT REIT ในสัดส่วน 50% วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท และจะนำเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายสินทรัพย์ไปลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะทำให้รายได้ในเชิงพาณิชย์ของ BLAND มีการขยายตัวและช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตในระยะยาว ได้แก่ ขยายอิมแพ็คระยะที่สอง ปรับปรุงพื้นที่ Hall 1-8 สร้างโรงแรม IBIS จำนวน 600 ห้อง สร้างส่วนพื้นที่ Retail

นอกจากนี้จะเปิดโครงการศรีนครินทร์ เฟสที่ 1 มูลค่า 2,500 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 4/57 นี้ พร้อมทั้งเตรียมปรับมูลค่าหุ้นทางบัญชีของบีแลนด์ เป็น 3.25 บาทต่อหุ้น จากปัจจุบัน 2.32 บาท จากการปรับมูลค่าของที่ดินของบริษัททั้งหมด ได้แก่ ที่ดินบริเวณศรีนครินทร์ ที่ดินเมืองทองธานี

ขณะที่บีแลนด์เตรียมซื้อหุ้นคืนเริ่มวันที่ 25 ส.ค. นี้ วงเงิน 3 พันล้านบาท จำนวน 1.2 พันล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 2.50 บาท

ด้านบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำซื้อ BLAND ราคาเป้าหมาย 2.80 บาท/หุ้น และประเมินว่าการให้ข้อมูลเรื่อง REIT กับนักลงทุนจะช่วยเพิ่มมุมมองที่ดีรวมทั้งให้เห็นมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ที่ BLAND มีอยู่ว่ามีความโดดเด่นเพียงใด จากสมมติฐานการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมด้วยวิธี P/BV เนื่องจาก BLAND มีสินทรัพย์ที่โดดเด่นและการทำ REIT จะทำให้ BLAND มีสถานะเป็น Growth Stock มากขึ้น เราให้ระดับราคาเป้าหมาย P/BV เท่ากับ 1.2 เท่า ราคาเป้าหมายเท่ากับ 2.80 บาท/หุ้น

ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะนำ ซื้อ BLAND ระบุว่าตลาดฯให้ความสนใจประเด็นการจัดตั้งหน่วยลงทุนกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อิมแพ็ค โกรท ของ BLAND ให้ราคาพื้นฐาน 2.83 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/BV ปี 2558-2559 ที่ 1.2 เท่า ราคาปิดยังมีส่วนเพิ่ม 30%

ขณะที่วานนี้มีการทำรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่ หรือ บิ๊กล็อต หุ้น BLAND ที่ราคาเฉลี่ย 2.16 บาท จำนวน 20 ล้านหุ้น มูลค่า 43 ล้านบาท ก่อนหน้านี้บริหารกองทุนแฟรงคลิน เทมเพิลตัน ของนายมาร์ค โมเบียส ได้เข้าพบกับผู้บริหารของบมจ.บางกอกแลนด์ หรือ BLAND เพื่อขอซื้อหุ้นในสัดส่วนประมาณ 5-10% ของหุ้นทั้งหมด โดยจะเป็นการทำรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่
(BIG LOT) ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ทั้งนี้นายมาร์ค โมเบียส ผู้จัดการกองทุนแฟรงคลิน เทมเพิลตัน ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ มองว่า BLAND เป็นหุ้น Bullish มีอนาคตที่ดี โดยเฉพาะธุรกิจอาคารจัดแสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่กำลังจะออก กองทรัสต์ IMPACT Growth Real Estate Investment Trust มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท และยังมีแผนนำรถไฟฟ้าสายสีชมพูเข้ามาในโครงการ

หลังจากที่ก่อนหน้านี้กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาเก็บหุ้นบีแลนด์ ได้แก่ นายวัชระ แก้วสว่าง (เสี่ยป๋อง) เข้ามาถือหุ้นจำนวน 220 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 1.07% นายวิชัย วชิรพงศ์ (เสี่ยยักษ์) เข้ามาถือหุ้นจำนวน 142 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 0.69% และนายอานนท์ชัย วีระประวัติ (เสี่ยกู๊ด) นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาถือหุ้นจำนวน 120 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 0.58%

posted from Bloggeroid

ต่างชาตินกรู้เข้าเก็บหุ้นแบงก์ทหารไทย ดักรอรัฐบาลใหม่เปิดดีลซื้อขาย TMB วอลุ่มพุ่ง 3.4 พันล้านบาท ราคาทำนิวไฮรอบ 7 ปีกว่า ผ่าน 2 โบรกฯใหญ่ คาดราคาขายทหารไทยสูงถึง 3 เท่าบุ๊คแวลู หรือ 4.35 บาท ล่าสุดครองแชมป์สินเชื่อเพิ่มขึ้นมากสุดในระบบแบงก์พาณิชย์

ต่างชาติดักเก็บTMB
เก็งรัฐบาลใหม่ดันดีล
*ทำนิวไฮรอบ 7 ปีกว่า วอลุ่มทะลัก 2 โบรก
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 10 คน
ต่างชาตินกรู้เข้าเก็บหุ้นแบงก์ทหารไทย ดักรอรัฐบาลใหม่เปิดดีลซื้อขาย TMB วอลุ่มพุ่ง 3.4 พันล้านบาท ราคาทำนิวไฮรอบ 7 ปีกว่า ผ่าน 2 โบรกฯใหญ่ คาดราคาขายทหารไทยสูงถึง 3 เท่าบุ๊คแวลู หรือ 4.35 บาท ล่าสุดครองแชมป์สินเชื่อเพิ่มขึ้นมากสุดในระบบแบงก์พาณิชย์



วานนี้ราคาหุ้น TMB ทำนิวไฮในรอบ 7 ปี 8 เดือน นับตั้งแต่เดือน พ.ย. ปี 2549 ที่ราคาปิดสูงสุดที่ 3.12 บาท โดยวานนี้หุ้นแบงก์ทหารไทยปิดที่ระดับ 3.02 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3,477ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการเข้ามาเก็บหุ้นของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ เก็งดีลซื้อขายกิจการ

แหล่งข่าวจากตลาดทุน เผยว่า วอลุ่มซื้อขายหุ้นแบงก์ทหารไทย หรือ TMB ที่เข้ามามากผิดปกติวานนี้ ส่วนใหญ่เป็นคำสั่งซื้อจากต่างประเทศผ่านทางบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ และบล.ภัทร โดยเฉพาะทิสโก้มีคำสั่งซื้อจากกลุ่มนักลงทุนในประเทศสิงคโปร์ผ่านมาทางดอยช์แบงก์

“วอลุ่มซื้อขายวานนี้เป็นแรงซื้อเก็งกำไร หลังจากที่สภาฯลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ซึ่งนักลงทุนคาดว่าจะมีรัฐบาลภายในเร็วๆ นี้ และจะมีการผลักดันดีลซื้อขายหุ้นแบงก์ทหารไทยอีกครั้ง”

ทั้งนี้ดีลซื้อขายแบงก์ทหารไทยชะลอมาหลังจากที่รัฐบาลเก่า (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ประกาศยุบสภาฯเมื่อปลายปี 2556 ซึ่งแบงก์ต่างชาติให้ความสนใจเป็นอันมาก ทั้งกลุ่มแบงก์จากประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์จากประเทศมาเลเซียที่มีแผนการขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้ อย่างเช่น เมย์แบงก์ ที่ต้องการแข่งขันเป็นเบอร์หนึ่งกับแบงก์ซีไอเอ็มบีที่มีแผนควบรวมกิจการกับแบงก์ RHB ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา โดยราคาที่คาดว่าจะสว็อปหุ้นกันอยู่ที่ระดับ 3 เท่าของมูลค่าทางบัญชี

ดังนั้นกรณีดีลซื้อขายหุ้น TMB จึงมีความเป็นไปได้สูง หากซื้อขายกันที่ 3 เท่าของมูลค่าทางบัญชี หรือ 4.35 บาท (บุ๊คแวลู 1.45 บาท) ซึ่งจะทำให้กระทรวงการคลังก็พอใจที่จะขายหุ้นที่ถืออยู่ 26.1% ได้ในราคาไม่ต่ำกว่าต้นทุนที่ 3.86 บาท

ขณะที่แบงก์จากประเทศสิงคโปร์ก็พยายามรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งของภูมิภาคไว้ ดังนั้นจึงสนใจที่จะเข้ามาแข่งขันในการซื้อหุ้นแบงก์ทหารไทยเช่นกัน

ด้านบล.ทิสโก้ มองว่าการเก็งกำไรหุ้น TMB เนื่องจากโอกาสในการเป็นเป้าหมาย takeover จะกลับมาใน 4Q57 ทั้งนี้คาดว่ารัฐบาลทหารจะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีได้ในเดือนกันยายนนี้ โดยคณะรัฐมนตรีชุดใหม่น่าจะอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลทหาร จะสามารถสร้างเสถียรภาพและความยืดหยุ่นสำหรับ ING และกระทรวงการคลัง สำหรับการลดสัดส่วนการถือหุ้นลง นอกจากนี้ ROE ของ TMB ที่มีแนวโน้มการขยายตัวสูง ดังนั้น ING และกระทรวงการคลังอาจจะขายหุ้น TMB ด้วยมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับพรีเมียม

โดยปรับมูลค่าเหมาะสม TMB มาอยู่ที่ 3.5 บาท (จาก 2.5 บาท) มาจากการเฉลี่ย P/BV ที่ 2.1x สำหรับ 2557-2558F (จาก 1.6x), COE ที่ 11.2%, ROE ที่ 15% (จาก 13.2%) และการเติบโตระยะยาวที่ 7.7% ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ 1) ค่าธรรมเนียม cross-selling ที่ชะลอตัว 2) การที่อัตราเงินเฟ้อ/ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นสูงจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพ SME และสำรอง LLR ที่เร็วกว่าคาด และ 3) การสิ้นสุดของมาตรการสินเชื่อโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า

ทั้งนี้ ทิสโก้ปรับประมาณการผลประกอบการปี 2557-2559F เพิ่มขึ้น 24% จาก LLR ส่วนเกิน และการผลักดันมาตรการสินเชื่อ SME จากรัฐบาลจะทำให้ต้นทุนเงินทุนลดน้อยลง และการสร้างการเติบโตของรายได้ที่ดีจากธุรกิจ SME ซึ่งมีอัตรากำไรสูง นอกจากนี้ ถ้าเป้าหมาย ROE ระยะกลางของธนาคารอยู่ที่ 16% เป็นไปตามคาด มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ถือหุ้นเดิมจะลดสัดส่วนการถือลงทั้ง ING และกระทรวงการคลัง ถ้ามูลค่าหุ้นอยู่ในระดับสูง

นอกจากนี้แบงก์ทหารไทยยังมีปัจจัยบวกมาจากยอดสินเชื่อเดือนก.ค.ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดในระบบ เมื่อเทียบกับทุกแบงก์ โดยล่าสุดปรับเพิ่มขึ้น 2.9%

ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า สินเชื่อของแบงก์ใหญ่ส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยสินเชื่อเดือนก.ค.ของ BAY และ KTB เพิ่ม 0.6% M-M โดยธนาคารทหารไทย (TMB) มีสินเชื่อขยายตัวสูงที่สุด ขณะที่แบงก์เช่าซื้อยังเห็นการหดตัวของสินเชื่อ โดย TISCO, TCAP, KKP มีสินเชื่อหดตัว 0.5% M-M โดย KKP หดตัวมากสุด -0.9% M-M

บล.กรุงศรี ระบุว่า สินเชื่อของธนาคาร (ยกเว้น BAY KTB) ในเดือนก.ค. แนวโน้มยังค่อนข้างอ่อนแอ โดยมีเพียง KBANK และ TMB ที่สินเชื่อขยายตัว สะท้อนว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ยังอ่อนแอตามยอดขายรถยนต์

ทั้งนี้ ธนาคาร 8 แห่ง (ไม่รวม BAY KTB) รายงานสินเชื่อเดือน ก.ค. ลดลง 0.1%MoM ธนาคารส่วนใหญ่มีสินเชื่อลดลง แบ่งเป็น (1) กลุ่มธนาคารที่สินเชื่อเติบโต คือ TMB (+2.9%) KBANK (+1%) และ (2) กลุ่มที่สินเชื่อหดตัว โดยที่ SCB มีสินเชื่อลดลงมากที่สุด -1.1%MoM รองลงมาเป็น KKP (-0.9%) BBL (-0.6%) LHBANK (-0.5%) TISCO (-0.5%) TCAP (-0.3%)

ด้านบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุ TMB Break ขึ้นจากกรอบ Ascending Triangle ด้วยวอลุ่มหนาแน่น คาดเดินหน้าต่อได้ "เก็งกำไร" แนวรับ 2.96 บาท แนวต้าน 3.08 บาท, 3.16 บาท cut loss 2.92 บาท

posted from Bloggeroid

“ประสงค์” สั่ง AOT ชะลอแผนพัฒนาสุวรรณภูมิเฟส 2 ดันสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือวงเงิน 24,000 ล้านบาทเสียบแทน อ้างคตร.ยังตรวจข้อมูลไม่เสร็จ ขณะ “เมฆินทร์” ยื่นใบลาออกแล้ว มีผล 16 ก.ย. 57

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: 'ประสงค์'ชะลอสุวรรณภูมิเฟส 2


บริษัทจดทะเบียน วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 8 คน
“ประสงค์” สั่ง AOT ชะลอแผนพัฒนาสุวรรณภูมิเฟส 2 ดันสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือวงเงิน 24,000 ล้านบาทเสียบแทน อ้างคตร.ยังตรวจข้อมูลไม่เสร็จ ขณะ “เมฆินทร์” ยื่นใบลาออกแล้ว มีผล 16 ก.ย. 57


นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ดวานนี้ (21 ส.ค.) ได้มีมติเห็นชอบให้ AOT ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีจุดจอดเครื่องบิน 10 หลุมจอด พร้อมงานก่อสร้างอาคารจอดรถ ถนน สาธารณูปโภค วงเงิน 13,000 ล้านบาท และระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Mono Rail) วงเงิน 7,500 ล้านบาท แต่รวมแล้วจะใช้เงินไม่เกิน 24,000 ล้านบาท เพื่อให้บริการผู้โดยสาร ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รองรับได้ที่ 20 ล้านคนต่อปี

ทั้งนี้เนื่องจากบอร์ดเห็นว่าต้องชะลอโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 วงเงิน 62,000 ล้านบาทออกไปก่อน เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และมีความเป็นไปได้ว่าต้องปรับร่างเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) ซึ่งต้องใช้เวลา โดยคาดว่าน่าจะเริ่มโครงการได้ช่วงปี 2560 ขณะที่ปริมาณผู้โดยสารของ AOT มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีผู้โดยสารประมาณ 50 ล้านคนต่อปี แต่สามารถรองรับได้ที่ 45 ล้านคนต่อปี ซึ่งในปี 2560 ปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มเป็น 60 ล้านคนต่อปี

ด้านท่าอากาศยานดอนเมืองที่เบื้องต้นเคยประเมินว่า จะมาช่วยระบายความแออัดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก็มีอัตราการเติบโตของผู้โดยสารอย่างรวดเร็วเช่นกัน เฉลี่ยที่ 30% ต่อปี อีกทั้งช่วงปลายปี 2558 จะเริ่มเข้าสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารเติบโตแบบก้าวกระโดดยิ่งขึ้น ดังนั้นบอร์ดจึงเห็นว่า AOT ควรดำเนินการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปก่อน เพื่อให้ทันกับการเติบโต โดยงานดังกล่าวได้วางแผนไว้ตั้งแต่นายศรีสุข จันทรางศุ เป็นประธานบอร์ด AOT จึงมีแบบอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องปรับปรุงเล็กน้อย รวมทั้งตรวจสอบเรื่องการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ด้วย

นายประสงค์ กล่าวต่อว่า หลังจากบอร์ดพิจารณารายละเอียดโครงการแล้วเสร็จก็จะนำเสนอกระทรวงคมนาคมและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอที่ประชุมครม.ได้ภายในต้นปี 2558 และเปิดประมูลได้ในปีเดียวกัน งานก่อสร้างจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี โดย AOT ไม่จำเป็นต้องหาแหล่งเงินทุนเพิ่ม เพราะขณะนี้ถือว่ามีสภาพคล่องเพียงพอ โดยมีเงินสะสมอยู่ 60,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาใช้ในการพัฒนาท่าอากาศดอนเมือง ภูเก็ตและสุวรรณภูมิ อีกทั้งสามารถนำรายได้มาบริหารจัดการจ่ายค่าก่อสร้างได้

“ปีนี้เราคาดว่าจะมีกำไรไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราก็ไม่จำเป็นต้องหาเงินกู้เพิ่ม เพราะเรามีเงินเตรียมไว้แล้ว 60,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาภูเก็ต ดอนเมือง สุวรรณภูมิ ดูจากสภาพคล่องเราพร้อมพอ ซึ่งนี่เป็นข้อดีอย่างหนึ่งด้วย เพราะหากเราลงทุนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 เราจะเริ่มขาดสภาพคล่องปี 2559-2560 และต้องหาแหล่งเงินกู้เพิ่ม” นายประสงค์ กล่าว

นายประสงค์ กล่าวต่อว่า บอร์ดยังได้มอบหมายให้ฝ่ายบริหาร AOT เร่งประสานกับกระทรวงคมนาคมและกองทัพเรือ เพื่อดำเนินการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์แห่งที่ 3 โดย AOT จะเป็นผู้ลงทุนเบื้องต้นวงเงินอยู่ที่หลักร้อยล้านบาท โดยต้องปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร ระบบสัญญาณเพิ่มเติม ตั้งเป้าว่าจะใช้รองรับเที่ยวบินเช่าเหมาลำ โดยน่าจะมีผู้โดยสารประมาณ 2.5 ล้านคนต่อปี

นายประสงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า วานนี้นายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT ต่อที่ประชุมบอร์ดด้วย โดยมีผลวันที่ 16 กันยายน 2557 และบอร์ดได้แต่งตั้งให้นายนิรันดร์ ธีรนาทสิน กรรมการ AOT เป็นรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ พร้อมทั้งสั่งการให้ AOT เร่งรัดกระบวนการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน

posted from Bloggeroid

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

JAS ปฏิเสธข่าวกดราคารับซื้อหุ้นคืน 5.60 บาท ยืนยันไม่มีเป้ารับซื้อหุ้นคืนที่ราคาใดราคาหนึ่ง ยืนยันคดีฟ้องร้องต่างๆ ไม่มีผลต่อการดำเนินงานและจ่ายปันผล แม้สัดส่วนรายได้บรอดแบนด์สูงถึง 80% ของรายได้รวม

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: JASปัดกดราคาซื้อหุ้นคืน


ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 13 คน
JAS ปฏิเสธข่าวกดราคารับซื้อหุ้นคืน 5.60 บาท ยืนยันไม่มีเป้ารับซื้อหุ้นคืนที่ราคาใดราคาหนึ่ง ยืนยันคดีฟ้องร้องต่างๆ ไม่มีผลต่อการดำเนินงานและจ่ายปันผล แม้สัดส่วนรายได้บรอดแบนด์สูงถึง 80% ของรายได้รวม



วานนี้ (14 ส.ค.) ราคาหุ้นบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) หรือ JAS ปิดที่ระดับ 6.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หลังช่วงเช้าเจอแรงเทขายอย่างหนัก ทำให้ราคาลงไปแตะระดับ 6.05 บาท จากข่าวลือในห้องค้าว่าบริษัทมีเป้าหมายจะมีการกดซื้อหุ้นคืนที่ราคาแค่ 5.60 บาท แต่หลังจากผู้บริหารออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว ส่งผลให้นักลงทุนสนใจกลับเข้ามาลงทุนในหุ้น JAS อีกครั้ง ด้วยมูลค่าซื้อขายกว่า 4,521 ล้านบาท

นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า กรณีมีกระแสข่าวลือในห้องค้าว่าบริษัทมีเป้าหมายซื้อหุ้นคืนที่ระดับราคา 5.60 บาท/หุ้นนั้น ขอชี้แจงว่ากระแสข่าวดังกล่าวไม่มีข้อเท็จจริงแต่ประการใด โดยบริษัทไม่มีราคาเป้าหมายในการรับซื้อหุ้นคืนที่ระดับราคาใดราคาหนึ่ง

ส่วนกรณีวันที่ 2 มิ.ย. 57 บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) หรือ TT&T ยื่นฟ้องบริษัท อคิวเมนท์ จำกัด หรือ ACU ให้ขายหุ้น 70% ใน บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด หรือ TTTBB ให้ผู้ถือหุ้น TT&T และวันที่ 17 มิ.ย. 57 TT&T ได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลให้มีคำสั่งห้ามไม่ให้ ACU ทำการจำหน่าย จ่าย โอน จำนำ หรือก่อให้เกิดภาระผูกพันใดๆ ในหุ้นที่ ACU ถืออยู่ใน TTTBB จำนวน 868,994,799 หุ้น และห้ามไม่ให้ ACU ลงมติใดๆ เกี่ยวกับการจำหน่าย จ่าย โอน หรือก่อให้เกิดภาระผูกพันในทรัพย์สินของ TTTBB

รวมถึงกรณีเจ้าหนี้สถาบันการเงินต่างประเทศของบริษัทเตรียมยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งภายในวันที่ 18 ส.ค. 57 เพื่อเรียกร้องให้บริษัทกลับมาชำระหนี้เป็นเงินต้นบวกดอกเบี้ยรวมประมาณ 10,000 ล้านบาทนั้น ยืนยันว่าการฟ้องร้องในคดีต่างๆ ดังกล่าวไม่มีส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทและการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ธุรกิจบรอดแบนด์ของบริษัทมีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 80% ของรายได้รวมของบริษัท

ก่อนหน้านี้ นายพิชญ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15-20% จากปีก่อน ช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 6,053 ล้านบาท เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 5,400 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,737 ล้านบาท เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 1,491 ล้านบาท ขณะที่ลูกค้าบรอดแบนด์ปัจจุบันสูงถึง 1.5 ล้านราย และมีจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 20,000-25,000 รายต่อเดือน

ขณะที่ตัวแทนจากบริษัท วีระวงค์, ชินวัฒน์ และเพียงพนอ จำกัด ที่ปรึกษากฎหมาย JAS กล่าวว่า คดีของ TT&T จะไม่มีผลกระทบที่มีนัยสำคัญใดๆ ต่อ ACU และ JAS เนื่องจากบันทึกข้อตกลงในการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนวันที่ 13 ก.ย. 49 ได้สิ้นผลบังคับตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย. 51 ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในบันทึกข้อตกลง หลังจาก TTTBB ได้ดำเนินการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนต่อ ก.ล.ต.แล้ว แต่ไม่สามารถหาข้อมูลตามที่ ก.ล.ต.ร้องขอได้ จึงทำให้ ก.ล.ต.ส่งคืนคำขออนุญาตในวันดังกล่าว จึงถือว่าบันทึกข้อตกลงสิ้นผลบังคับไปแล้ว

ประกอบกับปัจจุบันยังไม่มีผู้ถือหุ้น TT&T แม้แต่รายเดียวมาแจ้งความจำนงที่จะขอซื้อหุ้นตามสิทธิของตนกับ ACU ซึ่งหลังจากบันทึกข้อตกลงหมดอายุตั้งแต่ 12 ก.ย. 52 มาเป็นเวลาเกือบ 5 ปี ถือว่านานเกินสมควรตามกฎหมาย ดังนั้นบันทึกข้อตกลงจึงสิ้นผลบังคับไป

ขณะที่คำฟ้องระบุจำนวนหุ้นสูงเกินกว่าจำนวนในบันทึกข้อตกลง โดยบันทึกข้อตกลงที่ TT&T ใช้อ้างในการฟ้องร้องนั้นมีผลผูกพันเฉพาะส่วนของหุ้นเพิ่มทุนครั้งแรกจำนวน 99 ล้านหุ้นเท่านั้น โดยผู้ถือหุ้น TT&T สามารถใช้สิทธิ 70% ของการเพิ่มทุนครั้งแรก ดังนั้นจำนวนหุ้นที่ถูกต้อง คือ 69,999,510 หุ้น หรือคิดเป็น 5.60% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดใน TTTBB จำนวน 1,250 ล้านหุ้น

ตัวแทนจากที่ปรึกษากฎหมายของ JAS กล่าวว่า ในระหว่างที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ACU ก็ไม่ต้องโอนขายหุ้น TTTBB ที่ถืออยู่ไม่ว่าจำนวนใดๆ และยังเป็นสิทธิออกเสียงและรับเงินปันผลในหุ้นที่มีการฟ้องร้องกันเช่นเดิมทุกประการ เว้นแต่กรณีที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ระหว่างการพิจารณาคดีจำกัดสิทธิดังกล่าวเป็นกรณีเฉพาะเจาะจง ตามคำร้องของ TT&T เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 57

ทั้งนี้ ในขณะนี้อยู่ระหว่างศาลอยู่ระหว่างสืบพยานของทั้ง 2 ฝ่าย คาดว่าศาลจะมีคำสั่งประมาณต้นเดือนก.ย.นี้ ซึ่งหากศาลสั่งคุ้มครองประโยชน์ ก็จะต้องมาพิจารณาว่าคำสั่งดังกล่าวมีผลกระทบต่อสิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นใน TTTBB ของ ACU และจะมีผลกระทบต่อการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ก.ล.ต.หรือไม่ อย่างไร อีกครั้งหนึ่ง

แต่หากศาลมีคำสั่งยกคำของ TT&T ก็จะทำให้การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเดินหน้าต่อไปได้ และ ACU ยังเป็นสิทธิออกเสียงและรับเงินปันผลในหุ้นที่มีการฟ้องร้องกันเช่นเดิมทุกประการ โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด คาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 7-10 ปี

สำหรับกรณีเจ้าหนี้กลุ่มที่ 3 ที่มีปัญหา และจะยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อเรียกร้องให้ JAS ชำระหนี้ให้นั้น ยืนยันว่าจากการคำนวณโดยยึดหลักกฎหมาย จำนวนหนี้เหลือเพียง 1,343 ล้านบาทเท่านั้น และหากมีการฟ้องร้องจริงต้องไปพิสูจน์ในศาลว่าเป็นเจ้าหนี้เดิมตัวจริง ระหว่างที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด คาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 7-10 ปี JAS ก็ไม่ต้องชำระหนี้ไม่ว่าจำนวนใดๆ ให้แก่บุคคลที่มาฟ้องคดี

posted from Bloggeroid

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

JAS ดีดบวก 2.08% หลังร่วงรับข่าวคดีฟ้อง โบรกฯมองโอกาส TT&T ช...

JAS ดีดบวก 2.08% หลังร่วงรับข่าวคดีฟ้อง โบรกฯมองโอกาส TT&T ช...
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) อังคารที่ 5 สิงหาคม 2557 10:12:05 น.
JAS ฟื้นตัว 2.08% อยู่ที่ 7.35 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท เมื่อเวลา 10.08 น.โดยเปิดตลาดที่ 7.35 บาท สูงสุด 7.45 บาท ต่ำสุด 7.30 บาท มูลค่าซื้อขาย 330.30 ล้านบาท

บล.ทิสโก้ แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ราคาเป้าหมาย 10 บาท คาดราคาหุ้นของ JAS มีปัจจัยกดดัน 2 ปัจจัยคือการฟ้องร้องของ TT&T และการแข่งขันในธุรกิจของบรอดแบนด์ที่เพิ่มขึ้นจาก ADVANC ทำให้ปรับมูลค่าที่เหมาะสมลง แต่เชื่อว่าตลาดได้รับรู้ปัจจัยดังกล่าวแล้ว พร้อมปรับประมาณการลง 6.8% และ 7.4% สำหรับปี 2557-58F เพื่อรองรับการเติบโตของผู้ใช้บริการที่ชะลอตัวลงในช่วง 2H57 ได้ปรับมูลค่าที่เหมาะสมลง 8.3% เหลือ 10 บาท เพื่อสะท้อนยอดผู้ใช้บริการ ADSL/FTTH ที่มีความเป็นไปได้มากขึ้น และการแข่งขันจาก ADVANC แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ADVANC จะหันไปสนใจธุรกิจหลักมากขึ้นหลังได้ประมูล 4G และมองว่าความเสี่ยงในระยะยาวมีจำกัด

สำหรับกรณีการฟ้องร้องกับ TT&T เรื่องความเป็นเจ้าของของ Triple T Broadband มีความเสี่ยงต่อราคาหุ้น ในกรณีที่ TT&T ชนะคดีจะส่งผลให้ JAS จะไม่สามารถจดทะเบียนกองทุนโครงสร้างพื้นฐานได้ การเสียความเป็นเจ้าของในธุรกิจ TripleT Broadband (JAS ต้องซื้อหุ้นคืนในราคาตลาด) โดยในกรณีที่เลวร้ายที่สุดประเมินมูลค่าที่เหมาะสมได้ที่ 6.5 บาท

อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดรับรู้ปัจจัยดังกล่าวไป 60% แล้ว และการฟ้องร้องขึ้นอยู่กับหลักฐานของ TT&T โดยโอกาสที่ TT&T ชนะเป็นไปได้ยาก

อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th

posted from Bloggeroid

ธนารักษ์ไล่เช็ก10บาทปี33

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ธนารักษ์ไล่เช็ก10บาทปี33


การเงินการคลัง วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 2 คน
อธิบดีกรมธนารักษ์สั่งตรวจสอบเหรียญ 10 บาท ปี 2533 จำนวน 20 เหรียญอยู่ในมือใครบ้าง หลังตลาดรับซื้อปั่นป่วน ขายกันราคาเหรียญละ 1 แสนบาท ระบุผลิตแค่ 100 เหรียญอยู่กับธนารักษ์ 60 เหรียญ ฝรั่ง 20 เหรียญ ที่เหลือยังไม่รู้อยู่ที่ไหน



นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ตรวจเช็กข้อมูลเหรียญด้วยการเปิดคลังเหรียญกษาปณ์ที่กรมธนารักษ์แล้ว พบว่าเหรียญ 10 บาท ที่ผลิตในปี 2533 ผลิต 100 เหรียญนั้น ยังเหลืออยู่ที่กรมธนารักษ์ 60 เหรียญ โดย 20 เหรียญนั้น แจกจ่ายในลักษณะแผงเหรียญไปให้กับผู้เข้าร่วมงาน มิ้น ไดเรคเตอร์ คอนเฟอร์เรนซ์ ครั้งที่ 16 ที่จัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ไปแล้ว โดยกรมธนารักษ์มีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา 10 บาท โลหะ 2 สี ผลิตออกใช้ในปี พ.ศ. 2531 เป็นครั้งแรก โดยกรมธนารักษ์ผลิตเองจำนวน 60,200 เหรียญ

“เหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 10 บาท ที่กรมธนารักษ์ผลิตเองจำนวน 100 เหรียญ กรมธนารักษ์จะตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งว่ามีการมอบเป็นที่ระลึกแก่ที่ประชุม MDC ทั้งหมดหรือไม่”

นายนริศ กล่าวว่า 20 เหรียญนั้นอาจจะแจกจ่ายให้คนไทย อาทิ กรรมการผลิตเหรียญ ผู้มีอุปการคุณต่างๆ อาจจะหลุดเล็ดลอดขายในตลาด ขณะนี้กำลังให้ตรวจสอบว่าแจกไปยังผู้ใดบ้าง คงต้องใช้เวลา เรื่องนี้นานมากว่า 20 ปีแล้ว และเอกสารทางราชการมีการทำลายทิ้งทุก 5 ปี ดังนั้น ไม่แน่ใจว่าจะตรวจสอบได้หรือไม่

“ที่ขายกันในตลาดนั้นคาดว่าจะเป็น 20 เหรียญที่แจกจ่ายให้คนไทย ส่วนที่แจกจ่ายในประเทศอังกฤษ 20 เหรียญนั้น คิดว่าผู้ที่ได้ไปจะไม่นำมาขาย เพราะส่วนใหญ่เก็บไว้ในแผงเหรียญที่สะสมกันไว้”

อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2532 สำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ ยังไม่สามารถผลิตได้ด้วยตนเองในจำนวนที่มากพอ เพื่อให้มีเหรียญกษาปณ์โลหะ 2 สี ชนิดราคา 10 บาท เพียงพอต่อการใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ

ดังนั้น จึงสั่งซื้อเหรียญ 10 บาท สำเร็จรูปจาก The Italian State Mint ประเทศอิตาลี จำนวน 100 ล้านเหรียญ ซึ่งได้มีการทยอยส่งมอบให้กรมธนารักษ์ในปี พ.ศ. 2532-2533 และในปี 2533 กรมธนารักษ์มีการสั่งซื้อเหรียญตัวเปล่า 10 บาท จาก บริษัท Olinbrass ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 50 ล้านเหรียญ เพื่อมาตีตราเป็นเหรียญสำเร็จรูปเอง แต่เมื่อปรากฏว่าเหรียญ 10 บาทที่ซื้อเข้ามาในปี พ.ศ. 2532 ประชาชนไม่นิยมแลกไปใช้ เนื่องจากยังมีธนบัตรราคา 10 บาท ยังผลิตให้ประชาชนได้ใช้อยู่ กรมธนารักษ์จึงไม่ได้ผลิตเหรียญชนิดราคา 10 บาท เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจอยากชมเหรียญ 10 บาท ปี 2533 กรมธนารักษ์นำไปจัดแสดงที่ศาลาเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญกษาปณ์ ในวัดพระแก้ว ซึ่งคนไทยสามารถเข้าชมฟรี

posted from Bloggeroid

ยอดส่งเสริมลงทุนลดฮวบ

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ยอดส่งเสริมลงทุนลดฮวบ


การเมือง วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม 2557
ผู้เข้าชม : 57 คน
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า มูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 3.37 แสนล้านบาท ลดลง 43.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ตัวเลขเดือนมิ.ย. ส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้น ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่บีโอไอมองว่า ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในครึ่งหลังปีนี้จะฟื้นตัวขึ้น และทำให้ตัวเลขทั้งปี 57 เป็นไปตามเป้าหมายที่ 7 แสนล้านบาท

"เดือนมิถุนายนถือเป็นสัญญาณที่ดี สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนที่เคยชะลอการยื่นขอรับส่งเสริมช่วงสถานการณ์ทางการเมืองก่อนหน้านี้ กลับมามีความเชื่อมั่นและทยอยยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเข้ามาแล้ว"

การยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 534 โครงการ ลดลง 34.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่มูลค่าเงินลงทุนรวม อยู่ที่ 3.37 แสนล้านบาท ลดลง 43.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณายอดขอรับส่งเสริมเป็นรายเดือน พบว่ายอดขอส่งเสริมการลงทุนเริ่มดีขึ้นตั้งแต่เดือนพ.ค. ต่อเนื่องจนถึงเดือนมิ.ย. โดยเดือนพ.ค. มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุน 119 โครงการ ขณะที่เดือนมิ.ย. มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุน 132 โครงการ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบ 6 เดือน

สำหรับกิจการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กระจายอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ โดยกลุ่มที่ได้รับความสนใจสูงสุด คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง มีจำนวน 143 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 1.65
แสนล้านบาท

รองมาเป็นกิจการบริการและสาธารณูปโภค 198 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 9.29 หมื่นล้านบาท และกิจการเคมี กระดาษ และพลาสติก 56 โครงการ เงินลงทุน 3.03 หมื่นล้านบาท

นายอุดม กล่าวอีกว่า การยื่นขอรับส่งเสริมทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเดือนมิ.ย. มีการยื่นขอรับส่งเสริม จำนวน 82 โครงการ สูงขึ้นกว่าเดือนพ.ค. ที่มี 73 โครงการ และเดือนเม.ย. ที่มี 69 โครงการ

โดยภาพรวมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งสิ้น 407 โครงการ ลดลง 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 2.39 แสนล้านบาท ลดลง 14%
จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

นักลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นกลุ่มที่เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุด โดยมีจำนวน 194 โครงการ เงินลงทุน 8.05 หมื่นล้านบาท ขณะที่การลงทุนจากสหรัฐ มีจำนวน 15 โครงการ เงินลงทุน 3.67 หมื่นล้านบาท เกาหลีใต้ มีทั้งสิ้น 21 โครงการ เงินลงทุนรวม 1.36 หมื่นล้านบาท และจีน มีจำนวน 9 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 9.43 พันล้านบาท

posted from Bloggeroid

PS โชว์กำไรครึ่งแรก 2,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.5% ตั้งป้าทั้งปีรายได้ 42,000 ล้านบาท หลังตุนแบ็กล็อก 36,963 ล้านบาท

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: PSครึ่งปีกำไร2.9พันล้าน
รุกเต็มที่หวังขึ้นเบอร์หนึ่ง

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 10 คน
PS โชว์กำไรครึ่งแรก 2,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.5% ตั้งป้าทั้งปีรายได้ 42,000 ล้านบาท หลังตุนแบ็กล็อก 36,963 ล้านบาท พร้อมบันทึกปีนี้ 16,124 ล้านบาท และลุยเปิดโครงการเพิ่ม 35 โครงการ 41,400 ล้านบาท ช่วงครึ่งปีหลัง



นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้อยู่ที่ 18,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนรายได้จากโครงการกลุ่มทาวน์เฮาส์ 60% โครงการบ้านเดี่ยว 23% โครงการคอนโดมิเนียม 16% และโครงการจากต่างประเทศ 1%

ขณะเดียวกันบริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ที่ 42,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 39,041.82 ล้านบาท ซึ่งจากเดิมบริษัทตั้งเป้ารายได้ประมาณ 41,000-45,000 ล้านบาท โดยเชื่อว่าช่วงครึ่งหลังความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคจะกลับมาเป็นปกติ หลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองคลี่คลาย ทั้งนี้บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตกว่าปีก่อนที่ระดับ 14.9% เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง บริษัทยังสามารถควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างและลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร โดยช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิที่ 15.6%

ทั้งนี้ช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขาย 17,937 ล้านบาท ลดลง 20.9% จากปีก่อนที่ 22,671 ล้านบาท เนื่องจากเหตุความวุ่นวายทางการเมืองที่ไม่สงบ ส่งผลให้ความมั่นใจของผู้บริโภคลดลง อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนพ.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมาภาวะตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดโครงการเพิ่มอีกจำนวน 35 โครงการ มูลค่า 41,400 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกเปิดแล้วจำนวน 38 โครงการ มูลค่า 31,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าเปิดทั้งปี 73 โครงการ มูลค่ารวม 72,400 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 80% และโครงการคอนโดมิเนียม 20%

ส่วนยอดขายรอโอน (Backlog) ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 36,963 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปีนี้มูลค่า 16,124 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2558 มูลค่า 15,203 ล้านบาท ทยอยรับรู้ในปี 2559 มูลค่า 4,935 ล้านบาท และทยอยรับรู้ในปี 2560 มูลค่า 701 ล้านบาท

"สำหรับการขยายโครงการต่างประเทศ เรายังชะลอแผน เนื่องจากการลงทุนภายในประเทศยังมีศักยภาพ โดยจะหันมารุกตลาดในประเทศมากขึ้นแทนการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ส่วนแผนเดิมที่มีการขยายกิจการไปที่เวียดนาม อินโดนีเซีย ชะลอไปก่อน เนื่องจากติดเรื่องกฎหมายภาษี ที่ดินอัตราแลกเปลี่ยนเงินเฟ้อ ซึ่งเราต้องศึกษาให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งการขยายธุรกิจในต่างประเทศควบคุมยากกว่าการประกอบธุรกิจในไทยถึง 3 เท่าตัว" นายทองมา กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้มูลค่า 4,000 ล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปีครึ่ง โดยที่อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.8% ในช่วงสิ้นไตรมาส 3/57 หรือช่วงเดือนต.ค.นี้ จากการขออนุมัติผู้ถือหุ้นไว้จำนวน 7,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี อย่างไรก็ตาม การออกหุ้นกู้ดังกล่าวเพื่อช่วยลดอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) จากปัจจุบัน 1.3 เท่า ให้เหลือเป็น 0.87 เท่า ประกอบกับการลดมาตรการ QE ของสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนต.ค.นี้ จะส่งผลให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นและเงินจะไหลกลับสู่สหรัฐฯ อีกทั้งดอกเบี้ยจากนโยบายในไทยก็จะปรับเพิ่มขึ้นด้วย จึงมีแผนออกหุ้นกู้ เพื่อมาช่วยลดสัดส่วนการจ่ายดอกเบี้ย

posted from Bloggeroid

INTUCH ประกาศปันผล 2.23 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD 22 ส.ค. 57 พร้อมรับเงิน 10 ก.ย.นี้ แม้ไตรมาส 2/57 กำไร 3,504 ล้านบาท ลดลง 5% 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: INTUCHซื้อก่อน22ส.ค.
รับเงินปันผล2.23บาท

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 13 คน
INTUCH ประกาศปันผล 2.23 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD 22 ส.ค. 57 พร้อมรับเงิน 10 ก.ย.นี้ แม้ไตรมาส 2/57 กำไร 3,504 ล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลครึ่งปีแรกมีกำไร 7,300 ล้านบาท หลังส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนจาก ADVANC ลดลง


นายสมประสงค์ บุญยะชัย กรรมการ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานช่วงไตรมาส 2/57 มีกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 3,504 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาส 2/56 ที่มีกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 3,675 ล้านบาท และลดลง 8% จากไตรมาส 1/57 ที่มีกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 3,827 ล้านบาท ส่งผลให้ผลการดำเนินงานช่วงครึ่งแรกปี 57 กลุ่มอินทัชมีกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 7,331 ล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 7,700 ล้านบาท

โดยกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ของกลุ่มอินทัชที่ลดลง ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้ส่วนเสียในบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เป็นบริษัทร่วมและเป็นบริษัทหลักในการดำเนินธุรกิจโทรคมนาคมไร้สาย ในประเทศของกลุ่มอินทัช แม้กำไรในธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น

โดยกลุ่มอินทัชมีส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนใน ADVANC ไตรมาส 2/57 อยู่ที่ 3,422 ล้านบาท คิดเป็น 56% ของรายได้รวม และคิดเป็น 98% ของกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนใน ADVANC ไตรมาส 2/57 ลดลง 7% จากไตรมาส 2/56 ที่มีส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนใน ADVANC อยู่ที่ 3,688 ล้านบาท และลดลง 10% จากไตรมาส 1/57 ที่มีส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนใน ADVANC อยู่ที่ 3,823 ล้านบาท

เนื่องจากกำไรสุทธิ ADVANC ไตรมาส 2/57 อยู่ที่ 8,475 ล้านบาท ลดลง 8% จากไตรมาส 2/56 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9,195 ล้านบาท และลดลง 11% จากไตรมาส 1/57 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9,481 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันช่วงครึ่งแรกปี 57 ส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนใน ADVANC อยู่ที่ 7,245 ล้านบาท คิดเป็น 57% ของรายได้รวม และคิดเป็น 99% ของกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนใน ADVANC ช่วงครึ่งแรกปี 57 ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 7,708 ล้านบาท เนื่องจากกำไรสุทธิ ADVANC ครึ่งปีแรก อยู่ที่ 17,956 ล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 19,117 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่กลุ่มอินทัชมีส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจในต่างประเทศไตรมาส 2/57 อยู่ที่ 204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 162% จากไตรมาส 2/56 อยู่ที่ 78 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาส 1/57 อยู่ที่ 165 ล้านบาท ทำให้ช่วงครึ่งแรกปี 57 ส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจในต่างประเทศอยู่ที่ 369 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73% จากช่วงเดียวกันปีก่อน อยู่ที่ 213 ล้านบาท

ส่วนรายได้รวมของกลุ่มอินทัช ไตรมาส 2/57 อยู่ที่ 6,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2/56 อยู่ที่ 6,095 ล้านบาท และลดลง 8% จากไตรมาส 1/57 อยู่ที่ 6,641 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย ขณะที่รายได้รวมช่วงครึ่งแรกปี 57 อยู่ที่ 12,742 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 12,394 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายและการให้บริการของธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มขึ้น สุทธิกับการลดลงของส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย และรายได้จากการขายและการให้บริการของธุรกิจสื่อและโฆษณา อย่างไรก็ตาม กลุ่มอินทัชยังคงเป้าหมายรายได้จากการขายและการให้บริการปีนี้เพิ่มขึ้น 5-7% จากปีก่อน

นอกจากนี้ กลุ่มอินทัชประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดจากผลการดำเนินงาน งวดวันที่ 28 มี.ค.-12 ส.ค. 57 ในอัตรา 2.23 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 7,150 ล้านบาท โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD หรือผู้ซื้อไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผลวันที่ 22 ส.ค. 57 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 10 ก.ย. 57

posted from Bloggeroid

คาเฟอีน<br/><br/> คอลัมน์ วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2557 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: คาเฟอีน


คอลัมน์ วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 14 คน
หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มีข่าวหุ้น BEC จะถูกถอดออกจาก MSCI แต่วานนี้ราคาหุ้นยังวิ่งบวกสวนขึ้นมาได้ ปิดตลาดบวก 1.76 บาท มาที่ 47.25 บาท เปลี่ยนแปลง 3.85% ถือว่านายยังแน่มาก ส่วนพี/อี ซื้อขายกันตอนนี้ก็ราว 17-18 เท่า P/BV 12.56 เท่า แต่ยีลด์ถือว่าน่าสนใจกว่า 5.71%

วานนี้ทั้งหุ้นไทยทั้งต่างชาติ และกองทุนซื้อ โดยเฉพาะทริกเกอร์ฟันด์ กลับมาทำงานอีกครั้ง เพราะล่าสุด มีกองทุนดังกล่าวอยู่ระหว่างเข้าลงทุนถึง 4-5 กองทุน คิดเป็นเม็ดเงินราวๆ 7-8 พันล้านบาท โดยหุ้นที่อยู่ในกลุ่มของทริกเกอร์ ก็เช่น ADVANC-KBANK-KTB-QH รวมถึง HMPRO ซึ่งหุ้นเหล่านี้ล้วนพื้นฐานดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และน่าจะสร้างกำไรระยะสั้นได้ด้วย จึงเรียนขอเชิญ “ซื้อ” ครับ!!!

จากนโยบายของ คสช.เกี่ยวกับด้านพลังงาน ที่กำลังเม้าท์กันถึง “พลังงานทดแทน” เพราะเห็นว่าจะต้องมีการนำมาใช้และรู้จักการบริหารให้มีต้นทุนต่ำ (เพราะมันสูงกว่าน้ำมันและก๊าซ) ทำให้หุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทน เรียงหน้ากระดานหันขึ้นมา นำโดย DEMCO ที่วานนี้ช่วงเปิดตลาดนำอยู่หัวกระดานเลย ส่วนหุ้นตัวอื่นๆ ที่น่าสนใจก็เช่น SOLAR-EA-SPCG กลุ่มเหล่านี้ก็เรียนเชิญซื้อได้เช่นกัน เล่นสั้นๆ ก็ยังได้

แอ่น แอ๊น...มาแล้วหุ้น SAWAD แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 ปรี๊ดเล็กๆ จ๊ะ เพราะกำไรพุ่งมาที่ 176 ล้าน เพิ่ม 30% ส่วนในช่วง 6 เดือนแรกก็รับกว่า 363 ล้านบาท เพิ่ม 30 % เช่นกัน และก็มีการคาดกันว่าแนวโน้มครึ่งปีหลัง กำไรน่าจะยังออกมาขั้นเทพอยู่ โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 4 นั้น เป็นระดับนิวไฮ เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจเช่าซื้อ ทราบแล้วไม่ต้องเปลี่ยน!!!

แบงก์ทหารไทย หรือ TMB ตบ “ท้อปบูท” อีกรอบ ราคาขึ้นมาปิดสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี 2.92 บาท ใกล้จะวิ่งขึ้นไปที่ระดับ 3 บาทอีกครั้ง ส่วนพี/อี ที่ระดับ 22.46 เท่า ก็อย่าเพิ่งตกใจ เพราะหากนำผลกำไรไตรมาส 2/57 มาคำนวณ ก็ไม่น่าถึง และยิ่งคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 3 และ 4 จะออกมาดีอีกนั้น (เพราะจะไม่มีตั้งสำรองพิเศษอีกแล้วในปีนี้) ก็น่าจะช่วยกดพี/อี ลงมาได้ บวกกับมีสตอรี่เรื่องขายหุ้นเข้ามาอีก “คาเฟอีน” แนะนำหากใครสะดวกก็ให้ “ซื้อทันที” 5555…..

หุ้นรับเหมาอย่าง CK นี่มาแรงเกินไปหรือเปล่า หากนับจากรัฐประหาร ราคาหุ้นขึ้นมาแล้วกว่า 103% โอ้ว....มันยอดมากเลยจอร์ส แต่ก็อย่างว่าแหล่ะ หุ้นตัวนี้เขา (ใครก็ไม่รู้) ว่ากันว่าใกล้ชิดและสนิทกับทหาร ก็น่าจะได้เปรียบที่จะได้รับงานในโครงสร้างพื้นฐานในหลายๆ โครงการ ส่วน STEC และ ITD ก็ใช่ย่อย ราคาปรี๊ดไม่เบาเช่นกัน นักวิเคราะห์บางสำนักแนะนำ “ห่างเข้าไว้” แต่บางแห่ง มองด้านบวก “จัดเต็มเลยลูก” อย่าช้านะจ๊ะ

หุ้นพี่ใหญ่ PTT แจ้งงบออกมาแล้ว กำไรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นจาก 1.16 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 2/56 มาเป็น 3.04 หมื่นล้านบาท ส่วนช่วง 6 เดือนแรกทำให้กำไรสนั่น 5.78 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.74 หมื่นล้านบาท หากดีดลูกคิดดูก็เพิ่มขึ้นมาราวๆ 1 หมื่นล้านบาทว่างั้นเหอะ เปลี่ยนแปลง 22% ก็น่าจะส่งผลบวกในภาพรวมผลประกอบการ “บจ.” ช่วงครึ่งปีแรกได้พอสมควร ซึ่งผ่านมาถึงตอนนี้บางโบรกฯ มอง EPS ปีนี้ไว้ที่ 8-9% แต่บางคนก็มิองว่าจะเติบโตได้ 12%

MONEY EXPO KORAT 2014 ภายใต้แนวคิด “Connecting Life การเงินเชื่อมโยงชีวิต ก้าวไปตามใจฝัน” ประสบความสำเร็จอีกครั้ง มีประชาชนและนักธุรกิจในเมืองโคราชและจังหวัดใกล้เคียงขอใช้สินเชื่อและบริการทางการเงินและการลงทุนรวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท จากผู้สมัครใช้บริการทางการเงินและการลงทุนจาก ธนาคาร, บริษัทการเงิน, บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทจัดการกองทุนรวม บริษัทผู้ค้าทองคำ/โกลด์ฟิวเจอร์ส และบริษัทประกันชีวิต/ประกันภัยรวม 18,231 ราย จากยอดผู้เข้าชมงานกว่า 200,000 คน

ฝากแจ้งข่าว คุณชาญชัย สงวนวงศ์ บรรณาธิการอำนวยการ นสพ.ข่าวหุ้นธุรกิจ เข้าผ่าตัดบายพาสหัวใจที่ ร.พ.พระรามเก้า หากหน่วยงานใด หรือบุคคลใดจะไปเยี่ยม ทางโรงพยาบาลเขากำหนดช่วงเวลาการเข้าเยี่ยมตั้งแต่ 9.00-14.00 น. และ 17.00-21.00 น. เท่านั้น

posted from Bloggeroid

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์เปิดทำการด้วยแรงเทขายเพราะคาดว่าตลาดจะปรับฐานต่อ ร่วงลงไปกว่า 65 จุด แต่กลางตลาด มีข่าวเข้ามาว่ารัสเซียประกาศถอนทหารที่ซ้อมรบตามแนวชายแดนยูเครนกะทันหัน ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ตีกลับมาอยู่ในแดนบวก แล้วก็บวกแรงเสียด้วยกว่า 185 จุด

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ปัจจัยชี้ขาด


คอลัมน์ วันพุธที่ 13 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 4 คน

วันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์เปิดทำการด้วยแรงเทขายเพราะคาดว่าตลาดจะปรับฐานต่อ ร่วงลงไปกว่า 65 จุด แต่กลางตลาด มีข่าวเข้ามาว่ารัสเซียประกาศถอนทหารที่ซ้อมรบตามแนวชายแดนยูเครนกะทันหัน ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ตีกลับมาอยู่ในแดนบวก แล้วก็บวกแรงเสียด้วยกว่า 185 จุด
คำอธิบาย คือว่า เหตุปัจจัยที่น่าหวาดหวั่นว่าจะไปสู่สถานการณ์สงครามและเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจใหญ่สหรัฐฯ สหภาพยุโรป กับรัสเซีย ในกรณียูเครน จะไม่เกิดขึ้นจนบานปลายเป็นสงครามใหญ่ เพราะทุกฝ่ายยังไม่มีความพร้อมจะเสียหายจากการทำลายล้างของสงคราม
เหตุปัจจัยที่หดหายไปจากสถานการณ์ที่มีคนประดิษฐ์คำนิยามว่าเป็น ความเสี่ยงทางด้านภูมิศาสตร์การเมืองระดับโลก (global geopolitical risk) ทำให้ดัชนีพลิกกลับได้รุนแรงทั้งที่เป็นปัจจัยภายนอกแท้ๆ
เมื่อเหตุปัจจัยภายนอกลดความเข้มข้นลงไป เหตุปัจจัยภายในก็มีความหมายเพิ่มขึ้นแทน ผลประกอบการจึงเป็นตัวชี้ขาดสำคัญขึ้นมา นักลงทุนในตลาดสหรัฐฯจึงนึกขึ้นได้ว่า หุ้น 2 ใน 3ของดัชนี S&P500 หรือบลูชิพ 350 ตัว มีผลประกอบการดีเกินคาดทั้งสิ้น เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐฯแข็งแกร่งขึ้น
สถานการณ์เมื่อวันศุกร์ที่หุ้นสหรัฐฯบวกแรง ต่อยอดด้วยวันจันทร์ ที่ยังมีแรงเฉื่อยจากวันศุกร์หลงเหลืออยู่ ทำให้หุ้นทั่วโลกบวกกันถ้วนหน้ารวมทั้งสหรัฐฯด้วย จะมีก็แต่ตลาดหุ้นไทยเท่านั้นที่ไม่บวกไม่ลบเพราะตลาดปิดทำการยาว 4 วันรวด แต่พอถึงวันอังคาร สถานการณ์ก็เข้าสู่ช่วงโมเมนตัมที่เริ่มมีทิศทางไม่ชัดเจนเพราะบางตลาดก็บวก บางตลาดก็ลบ ขึ้นกับปัจจัยภายในของแต่ละตลาดเป็นสำคัญ
ปรากฏการณ์เช่นนี้ ยืนยันว่า ปัจจัยภายนอกที่ดีหรือร้ายนั้น เป็นสถานการณ์ชั่วคราวที่แม้จะส่งผลต่อตลาดหุ้นโดยรวม แต่ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะทำให้หุ้นบวกแรงยาวนาน เมื่อมีข่าวดี หรือในทางกลับกัน ร่วงลงยาวนานเมื่อมีข่าวร้าย แต่ปัจจัยภายในนั้นยั่งยืนมากกว่า ธุรกิจที่เป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหุ้นมีกำไรมาก แม้ว่าบางช่วงเวลาอาจจะถูกสถานการณ์ภายนอกจากเหตุปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้รบกวน แต่ท้ายที่สุดแล้ว บริษัทที่มีฐานะเสมือน “ทองแท้ไม่กลัวไฟ” ก็ยังมีอยู่และทนทานต่อแรงเสียดทานจากภายนอก
หุ้นที่มีความแข็งแกร่งด้วยปัจจัยภายในจากผลประกอบการดีเยี่ยม โมเดลธุรกิจถูกต้องเป็นขาขึ้น และมีการบริหารจัดการรวมทั้งผู้นำองค์กรมีวิสัยทัศน์ยาวไกล จึงเป็นหุ้นที่รีบาวด์เร็วกว่าดัชนี และพร้อมจะกลายสภาพเป็นหุ้นขาขึ้นที่รีบาวด์มากกว่าราคาที่ตกไปหากมีข่าวร้ายรบกวน และขึ้นมากว่าดัชนี หากมีข่าวดีหนุนส่ง
นักลงทุนแบบวีไอ จะเข้าใจสถานการณ์ของหุ้นที่มีปัจจัยภายในแข็งแกร่ง และไม่หวั่นไหวกับปัจจัยภายนอกมากนัก เวลาที่มีข่าวร้ายก็จะพร้อมถัวเฉลี่ยหรือหาซื้อหุ้นตอนที่ราคาเป็นขาลง เพราะมั่นใจว่าอย่างไรเสียเมื่อปัจจัยภายนอกถูกตลาดซึมซับได้เรียบร้อยแล้ว ราคาหุ้นก็จะวิ่งกลับไปที่มูลค่าที่ควรจะเป็น จะมากกว่ายอดสูงสุดเดิมหรือไม่ ขึ้นกับความแข็งแกร่งและผลประกอบการ หรืออนาคตของธุรกิจเอง
ในทางกลับกัน หุ้นที่เปราะบางต่อสถานการณ์ภายนอก เวลาที่มีข่าวร้ายมากระทบ ก็พร้อมจะลง แล้วก็ลงต่อไปเลยแบบไม่กลับมาเป็นขาขึ้นหรือเพิกเฉยต่อบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหลาย ไม่ยอมขึ้นเสียยังงั้น เพราะเหตุผลสำคัญคือปัจจัยภายในไม่แข็งแกร่ง
นักลงทุนจำนวนไม่น้อย เอาบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์เป็นสรณะในการลงทุน ทั้งที่บทวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยฟันธงผิดๆ หรือไม่ก็แทงกั๊กชนิดทำให้งุนงง บางครั้งเชียร์เท่าไรหุ้นก็ไม่เคยขึ้น หรือ ทุบหุ้นซึ่งแข็งแกร่งชนิดที่แนะให้ขายตลอด แต่ราคาหุ้นก็ไม่ยอมลงสักที จนสุดท้ายนักวิเคราะห์ก็ใช้วิธีตีขลุมกลับคำวิเคราะห์กลางคันเอาดื้อๆ ก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับดัชนีดาวโจนส์ในสหรัฐฯเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงสถานการณ์ที่พลิกผันเสียจนกระทั่งบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์กลายเป็นคำชี้แนะที่ไร้เดียงสาของมืออ่อนหัดไปเลย ปรากฏการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่ครั้งสุดท้าย จุดสำคัญจึงอยู่ที่ว่านักลงทุนจะเรียนรู้ที่จะปรับตัวกันอย่างไร
เช้านี้ ตลาดหุ้นไทยก็คงจะอาศัยอานิสงส์จากเมื่อวันศุกร์ จนถึงวันอังคาร เปิดบวกแรงตั้งแต่เช้า ส่วนจะบวกแรงสามารถฝ่าแนวต้านใหม่เหนือ 1,530 จุดได้หรือไม่ ยังเป็นคำถามที่ท้าทาย เพราะในสัปดาห์นี้ มีสถานการณ์สำคัญที่จะต้องเกิดขึ้นคือ เป็นช่วงเวลาของการประกาศงบกลางปีของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดให้ครบภายในวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคมนี้ ดังนั้น ผลประกอบการที่ประกาศออกมาจึงน่าติดตามมากกว่าประเด็นของปัจจัยภายนอกที่ผ่านมาเมื่อวันศุกร์จนถึงวันอังคารในตลาดหุ้นโลกและเอเชีย
อนาคตสำคัญกว่าอดีตเสมอ เฉกเช่นเดียวกันกับเหตุปัจจัยภายใน ที่ต้องสำคัญและยั่งยืนกว่าปัจจัยภายนอกที่มีผลชั่วคราว บทเรียนนี้ นักลงทุนต้องท่องจำให้ขึ้นใจ ใครจะว่าย้ำคิดย้ำทำก็อย่าได้ใส่ใจมากนัก

posted from Bloggeroid

THCOM แจ้งงบไตรมาส 2/57 โชว์กำไรสุทธิ 498 ล้านบาท โตกระฉูด 162% หลังรายได้ธุรกิจดาวเทียม-มือถือลาวเพิ่มขึ้น ขณะที่บริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายดีขึ้น ครึ่งปีแรกฟาดกำไรสุทธิ 897 ล้านบาท ส่วน INTUCH แจ้งงบไตรมาส 2/57 วันนี้

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: THCOMตามนัด!
Q2กำไรโต162%
INTUCHแจ้งวันนี้
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 13 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 20 คน
THCOM แจ้งงบไตรมาส 2/57 โชว์กำไรสุทธิ 498 ล้านบาท โตกระฉูด 162% หลังรายได้ธุรกิจดาวเทียม-มือถือลาวเพิ่มขึ้น ขณะที่บริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายดีขึ้น ครึ่งปีแรกฟาดกำไรสุทธิ 897 ล้านบาท ส่วน INTUCH แจ้งงบไตรมาส 2/57 วันนี้


นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/57 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 498 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 162.1% จากไตรมาส 2/56 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 190 ล้านบาท และมีรายได้รวมไตรมาส 2/57 อยู่ที่ 2,479 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.1% จากไตรมาส 2/56 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,950 ล้านบาท

ทั้งนี้กำไรสุทธิและรายได้รวมที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/57 เป็นผลมาจากบริษัทมีรายได้จากธุรกิจให้บริการดาวเทียมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในไตรมาส 2/57 อยู่ที่ 2,157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.9% จากไตรมาส 2/56 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,587 ล้านบาท มีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเช่าช่องสัญญาณดาว เทียมแก่ลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเสริมต่างๆ และการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการไอพีสตาร์ตามปริมาณการใช้งานแบนด์วิธที่เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันรายได้จากธุรกิจบริการระบบโทรศัพท์อินเตอร์เน็ตใน ประเทศลาวในไตรมาส 2/57 อยู่ที่ 265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.5% จากไตรมาส 2/56 ที่มีรายได้อยู่ที่ 200 ล้านบาท มีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการโทรศัพท์ไร้สาย CDMA Fixed Wireless รายได้จากการให้บริการอินเตอร์เน็ต รายได้ค่าบริการเชื่อมต่อโครงข่าย และรายได้จากการขาย SIM Card และเครื่องโทรศัพท์ไร้สาย รวมทั้งรายได้จากธุรกิจให้บริการสื่อในไตรมาส 2/57 อยู่ที่ 39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.5% จากไตรมาส 2/56 ที่มีรายได้อยู่ที่ 29 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของยอดจำหน่ายอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียมดีทีวีในประเทศกัมพูชา ประกอบกับการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 897 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 521 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 5,094 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,853 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากธุรกิจให้บริการดาวเทียมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4,261 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 3,129 ล้านบาท

โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจการให้บริการดาวเทียมแบบทั่วไปที่มีรายได้ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1,479 ล้านบาท และจากธุรกิจการให้บริการแบนด์วิธไอพีสตาร์ที่มีรายได้ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2,086 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1,650 ล้านบาท

รวมถึงการเติบโตของธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต ในประเทศลาวที่มีรายได้ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 518 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 405 ล้านบาท จากที่มีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (13 ส.ค. 57) บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH จะประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/57 โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า INTUCH มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/57 อยู่ที่ 3.63 พันล้านบาท ลดลง1% จากไตรมาส 2/56 และลดลง 5% จากไตรมาส 1/57 หลักๆ มาจากการปรับลดลงตามบริษัทลูกอย่างบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ในขณะที่ THCOM มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/57 และไตรมาส 2/56

posted from Bloggeroid

VGIฮุบTHถือหุ้นใหญ่27%<br/>AQUAกำไรพิเศษ506ล้าน<br/>

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: VGIฮุบTHถือหุ้นใหญ่27%
AQUAกำไรพิเศษ506ล้าน

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 13 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 6 คน
VGI ขยายอาณาจักรสื่อกลางแจ้ง ทุ่มงบ 915 ล้านบาท ซื้อหุ้นเพิ่มทุนจาก TH ขึ้นแท่นถือหุ้นใหญ่ 27% ฟาก “ตงฮั้ว” ปรับโครงสร้างใหญ่ตัดขายธุรกิจสิ่งพิมพ์ พร้อมนำเงินเพิ่มทุนซื้อ “อควาแอด” ขณะที่ AQUA บันทึกกำไรกำไรขายบริษัทลูก 506 ล้านบาท



นายมารุต อรรถไกวัลวที ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ VGI เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท ตงฮั้ว คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TH ทั้งหมด 640 ล้านหุ้น ที่ออกและเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement หรือ PP) ราคาหุ้นละ 1.431 บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 915.8 ล้านบาท และเสนอเข้าสู่ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 19 ก.ย. 57

โดย TH จะออกและจัดสรรหุ้นใหม่จำนวน 1,565 ล้านหุ้น พร้อมกับจัดสรรหุ้นใหม่อีกส่วนหนึ่ง 100 ล้านหุ้น ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นด้วยราคาเสนอขายเดียวกับหุ้นเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด ทั้งนี้ หากมีการจองซื้อหุ้นที่ออกและเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัดและผู้ถือหุ้นเดิมเต็มจำนวน ทาง VGI จะถือหุ้นใน TH เป็นสัดส่วนรวม 27.06% ภายหลังการเพิ่มทุนของ TH เสร็จสมบูรณ์ โดยบริษัทจะหาแหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดหรือแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงิน

สำหรับสัดส่วนได้หุ้นเพิ่มทุนส่งผลให้บริษัทได้หุ้นจนถึงจุดต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ TH แต่บริษัทไม่มีความประสงค์ที่ทำคำเสนอซื้อ ดังนั้น บริษัทจะดำเนินการเพื่อให้ได้รับการผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อ โดยอาศัยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น (Whitewash) ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศเกี่ยวข้องของสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กำหนดเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนของการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ TH ตามสัญญาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่จะได้ลงนามต่อไป

นายมารุต เปิดเผยว่าอีกว่า เพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะประกอบธุรกิจของ TH ทางที่ประชุมคณะกรรมการของ TH ได้อนุมัติการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ โดยขายหุ้นหนังสือพิมพ์ตงฮั้วในสัดส่วนประมาณ 81% และเข้าซื้อหุ้นบริษัท อควา แอด จำกัด (มหาชน) หรือ AA จากบริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA ในสัดส่วนประมาณ 74% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ AA ราคาหุ้นละ 2.773 บาท เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 829.9 ล้านบาท

โดย TH จะใช้เงินทุนที่ได้จากการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบ PP อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อหุ้น AAนั้นยังขึ้นอยู่กับการอนุมัติของผู้ถือหุ้นของ AQUA และการอนุมัติการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนตงฮั้วของบริษัท และเงื่อนไขการเข้าทำรายการ ดังนั้น ภายหลังจากการปรับโครงสร้างธุรกิจทาง TH จะถือหุ้นอยู่ใน AA รวม 74% และถือหุ้นในหนังสือพิมพ์ตงฮั้วเหลือ 19% จากเดิม 99.99%

ทั้งนี้ AA เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจให้บริการสื่อโฆษณาครบวงจรตั้งแต่สื่อป้ายโฆษณากลางแจ้ง (Outdoor Media) และสื่อโฆษณาภายในอาคาร (Indoor Media) รวมทั้งผลิตป้ายโฆษณา โดยในช่วงปี 2556 มีป้ายโฆษณาประเภท BILLBOARD รวม 144 แห่ง อยู่ในกรุงเทพฯและนนทบุรี 113 ป้าย และต่างจังหวัด 31 ป้าย ส่วนงบ ณ สิ้นปี 2556 มีรายได้รวม 344 ล้านบาท มีกำไร 51 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 651 ล้านบาท และมีหนี้สิน 201 ล้านบาท

ดังนั้น การเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ TH ครั้งนี้ถือว่าเป็นไปตามนโยบายเชิงกลยุทธ์ของบริษัท ในการขยายสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย (OUT HOME MEDIA) ซึ่งสามารถขยายฐานกลุ่มผู้ชมที่เป็นเป้าหมายได้กว้างขึ้น และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้มากขึ้น และผลประกอบการของบริษัทยังมีโอกาสเติบโตมากขึ้นจากการผนึกกำลัง (SYNERGY)

นายสมนึก กยาวัฒนกิจ ประธานกรรมการ TH เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ TH ได้มีมติสำคัญที่จะเสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติช่วงวันที่ 22 ก.ย. 57 ดังต่อไปนี้ มติจำหน่ายหุ้นสามัญของหนังสือพิมพ์ตงฮั้วรวม 81% รวมมูลค่า 81 ล้านบาท ให้กับนายสมนึก กยาวัฒนกิจ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท

นอกจากนี้ มีมติอนุมัติลดทุนจดทะเบียนจาก 1,159 ล้านบาท เป็น 759 ล้านบาท แล้วเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 2,424 ล้านบาท โดยออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,665 ล้านหุ้น ราคาเสนอขาย 1.431 บาท จัดสรรแบบ PP ให้ VGI จำนวน 640 ล้านหุ้น ส่วนจำนวน 100 ล้านหุ้นจัดสรร PP ให้ AQUA ด้านหุ้นจำนวน 825 ล้านหุ้นจัดสรร PP ให้นักลงทุน และอีก 100 ล้านหุ้น จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering หรือ RO) ตามสัดส่วนการถือหุ้น

ทั้งนี้บริษัทได้ออกเพิ่มทุนอีก 40 ล้านหุ้น ส่งผลให้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 2,464 ล้านบาท เพื่อรองรับปรับสิทธิ TH-W1 และมีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าซื้อหุ้นสามัญ AA จำนวน 299 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 829.9 ล้านบาท พร้อมกับมีมติอนุมัติเปลี่ยนชื่อบริษัท จากเดิมบริษัท ตงฮั้ว คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัท วี พาร์ทเนอร์ส จำกัด (มหาชน) และเปลี่ยนชื่อย่อหลักทรัพย์จากเดิม TH เปลี่ยนเป็น VP แทน

นางสาวเรวดี หวานชิด ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ AQUA เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 22 ก.ย. 2557 เพื่อเสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติ ได้แก่ การอนุมัติจำหน่ายเงินลงทุนในหุ้นสามัญ AA รวมมูลค่า 829.9 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้บริษัทรับรู้ผลกำไรคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 506.7 ล้านบาท

อีกทั้งมีมติอนุมัติให้เข้าลงทุนโดยการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ TH จำนวน 100 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.431 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนจำนวน 143.1 ล้านบาท ตามที่ TH จะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด

posted from Bloggeroid

BTS-BLAND หุ้นพี่น้อง“ตระกูลกาญจนพาส์น”พร้อมใจประกาศซื้อหุ้นคืน BTS ตั้งวงเงินรับซื้อไม่เกิน 6,000 ล้านบาท รวม 600 ล้านหุ้น ส่วน BLAND ประกาศวงเงินซื้อคืน 3,000 ล้านบาท รวม 1,200 ล้านหุ้น

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: BTS-BLANDเงินล้น
ควงแขน“ซื้อหุ้นคืน”

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 13 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 27 คน
BTS-BLAND หุ้นพี่น้อง“ตระกูลกาญจนพาส์น”พร้อมใจประกาศซื้อหุ้นคืน BTS ตั้งวงเงินรับซื้อไม่เกิน 6,000 ล้านบาท รวม 600 ล้านหุ้น ส่วน BLAND ประกาศวงเงินซื้อคืน 3,000 ล้านบาท รวม 1,200 ล้านหุ้น


นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหารบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stocks) ภายในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 6,000 ล้านบาท

โดยจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนเท่ากับประมาณ 5% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด หรือเท่ากับ 600 ล้านหุ้น โดยมีกำหนดระยะเวลาการซื้อหุ้นคืน 6 เดือน เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค. 57–24 ก.พ. 58 และกำหนดวิธีการในการซื้อหุ้นคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์

สำหรับสาเหตุที่ซื้อหุ้นคืน เพราะถือเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด และยังทำให้เกณฑ์ในการวัดผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นดีขึ้น เช่น อัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) รวมถึงอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ขณะที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่ซื้อคืนจะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 (เม.ย.-มิ.ย. 2557) ทางบริษัทมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 650 ล้านบาท ปรับลดลง 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ได้กำไรสุทธิระดับ 10,808 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 2,172 ล้านบาท ปรับลดลง 86.6% จากช่วงปีก่อนที่ได้ 16,152 ล้านบาท เพราะในช่วงไตรมาส 1 ปีที่แล้วมีการรับรู้กำไรจากการขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิในอนาคตแก่ BTSGIF จำนวน 13,497 ล้านบาท

นายอนันต์ กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLAND กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน โดยกำหนดภายในวงเงินซื้อหุ้นไม่เกิน 3,000 ล้านบาท สำหรับจำนวนหุ้นที่ซื้อคืนไม่เกิน 1,200 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 5.81% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด มีวิธีการในการซื้อหุ้นคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค. 57-25ก.พ. 58 เท่ากับเป็นภายในระยะเวลา 6 เดือน

ส่วนเหตุผลที่ซื้อหุ้นคืน เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทน ROE รวมถึงEPS และเป็นการส่งสัญญาณแก่ผู้ลงทุนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท โดยการซื้อหุ้นครั้งนี้จะส่งผลให้ปริมาณหมุนเวียนของหุ้นในตลาดลดลง ทำให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพ ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่บริษัทซื้อคืนไม่ได้รับปันผล

สำหรับหุ้น BLAND ที่มีทั้งสิ้น 2.06 หมื่นล้านหุ้น อยู่ในมือรายย่อยมีทั้งสิ้น 1.55 หมื่นล้านหุ้น คิดเป็น 75.42% และอยู่ในมือผู้บริหารบริษัทและผู้ที่ถือเกิน 5% จำนวน 5.0 พันล้านหุ้น คิดเป็น 24.58% ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 1 (เม.ย.-มิ.ย. 2557) บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 399 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงปีก่อนที่ได้กำไรสุทธิ 372 ล้านบาท

ขณะที่แหล่งข่าวจากตลาดทุน เผยว่า ราคาซื้อหุ้นคืนของ BLAND เฉลี่ยไม่เกิน 2.5 บาทต่อหุ้น และมีแผนที่จะปรับราคามูลค่าหุ้นทางบัญชีเป็น 3.25 บาทต่อหุ้น จากปัจจุบัน 2.32 บาท จากการปรับมูลค่าของที่ดินของบริษัททั้งหมด ได้แก่ ที่ดินบริเวณศรีนครินทร์ ที่ดินเมืองทองธานี

พร้อมกับการขาย กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็คโกรท (IMPACT Growth Real Estate Investment Trust) มูลค่าไม่เกินกว่า 20,000 ล้านบาทภายในเดือนกันยายนนี้ ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มีมุมมองเป็นบวกต่อ BLAND แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 2.80 บาท/หุ้นจาก Target P/BV ที่ 1.2 เท่า

โดยมองว่าการจัดตั้ง REIT ที่จะสำเร็จไตรมาส 3/57 จะเป็นปัจจัยหนุนให้ BLAND มีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้นเพื่อนำไป re-invest ในสินทรัพย์ที่ปัจจุบันยัง under value โดยเฉพาะการสร้างสินทรัพย์ใหม่เพื่อเพิ่ม Recurring ให้กับบริษัท และการซื้อหุ้นคืน คาดจะหนุนให้ผู้ถือหุ้นได้ผลตอบแทนสูงขึ้นและสามารถบริหารสภาพคล่องของหุ้นได้ดีขึ้น

สำหรับโครงการในอนาคตเน้นในเมืองและศรีนครินทร์ โดยเงินทุนหมุนเวียนและกำไรที่ได้ BLAND จะนำไปขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองทองธานีเพื่อเพิ่ม Asset Value และสร้างโอกาสการเพิ่ม Asset ในอนาคตให้กับกอง REIT เช่น การปรับปรุงพื้นที่ Hall 1-8 การขยายพื้นที่ Exhibition สร้างโรงแรม IBIS จำนวน 600 ห้อง สร้างส่วนพื้นที่ Retail นอกจากนี้จะเปิดโครงการศรีนครินทร์ เฟสที่ 1 มูลค่า 2,500 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 4/57 นี้

posted from Bloggeroid

NOBLE ยุทธการยึดกิจการ

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: NOBLE ยุทธการยึดกิจการ


รายงานพิเศษ วันพุธที่ 13 สิงหาคม 2557
ผู้เข้าชม : 7 คน
ไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นเกมฮุบกิจการฉันปรปักษ์จะเกิดขึ้นในบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย นับแต่ครั้งล่าสุดในปี 2554 กรณีของบริษัท เสริมสุข จำกัด(มหาชน) หรือ SSC เป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้น กรณีที่เกิดขึ้นของบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำ กัด (มหาชน) หรือ NOBLE จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ

ดูเหมือนว่าเกมนี้จะไม่จบลงได้ง่ายๆ เพราะการต่อสู้นั้นมีหลายระดับที่เข้มข้นอย่างยิ่ง และที่สำคัญ คู่ต่อสู้ก็ล้วนมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งสิ้น

เรื่องทั้งหมด เริ่มต้นปะทุอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 ของ NOBLE เมื่อวันจันทร์ที่ 28 เมษายน 2557 เวลา 10.00 น. ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่น ปรากฏว่าในระหว่างการประชุม คณะกรรมการได้ยอมรับตามข้อเสนอของกลุ่มผู้ถือหุ้นบางส่วนที่ขออนุมัติเพิ่มทุนโดยอาศัยวาระจรโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า จำนวน 200 ล้านหุ้น จากจำนวนหุ้นเดิมที่มีอยู่แล้ว 456.47 ล้านหุ้น โดยจัดสรรให้กับผู้ลงทุนเฉพาะกลุ่ม (Private Placement : PP) ซึ่งเท่ากับเปิดทางให้กลุ่มใหม่เข้ามาเทกโอเวอร์กิจการในทันทีเพราะจำนวนหุ้นใหม่มีมากกว่า 43% เลยทีเดียว

การเพิ่มทุนแบบพิสดารนี้ ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างมาก พร้อมกับมีการเปิดโปงว่าการประชุมสามัญประจำปีวันนี้ มีความผิดปกติอย่างมากคือ

- มีการตรวจเอกสารผู้ถือหุ้นอย่างเข้มงวดก่อนการประชุม ราวกับเป็นการประชุมองค์กรลับอะไรสักอย่าง ผู้ถือหุ้นบางคนใช้ใบรับรองเกิน 3 เดือนเอกสารไม่อัพเดท เข้าประชุมได้ แต่ห้ามลงคะแนน บางคนรับมอบอำนาจมา แต่ลืมพกสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนมาด้วย ห้ามเข้า ต้องให้คนวิ่งไปเอาสำเนาบัตรมาถึงจะยอมให้เข้า บางคนถึงขนาดวิ่งไปตามเอกสารมาจนครบแล้ว ก็ยังไม่ยอมให้ลงคะแนน อ้างว่าเอกสารมาหลังเวลาที่กำหนด บางคนมาเข้าประชุมช้าไป เข้าหลัง 10.00 น. เข้าได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ลงคะแนน (คล้ายจะกันไม่ให้ผู้ถือหุ้นบางกลุ่มเข้าประชุม หรือออกเสียงโหวตได้ นอกจากกลุ่มเจ้าของเดิม)

- ถึงวาระจร จู่ๆ ก็มีผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง (ชื่อนายนาวี ศรีผดุง) สอบถามซ้ำๆ เรื่อง หนี้สินต่อทุนของบริษัทฯ ว่าทำไมสูงจัง เสมือนตั้งใจจะชงเรื่อง ทั้งๆ ที่มีผู้ถือหุ้นรายหนึ่งค้านว่า เป็นการรับเงินมัดจำจากลูกค้า แต่ต้องลงบัญชีเป็นหนี้ ซึ่งเป็นหนี้ดี เนื่องจากพอโอนโครงการบริษัทฯก็จะบันทึกจากหนี้ เปลี่ยนเป็นรับรู้เป็นรายได้ แต่ปรากฏว่า หลังจากลุกขึ้นถามหลายครั้ง ประธานก็บอกให้ที่ประชุมทำการยกมือขอมติเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงทันที จำนวน 200 ล้านหุ้น แล้วก็มีการเช็กเสียงลงมติ พร้อมกับบอกว่าน่าจะได้ 3 ใน 4 ของที่ประชุม แล้วก็หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณา

- เมื่อผู้ถือหุ้นบางคนคัดค้าน ประธานก็รวบรัด สั่งให้นับคะแนน ทั้งที่ผู้ถือหุ้นบางคนถามแบบยังไม่เข้าใจเลยว่า PP คืออะไร แต่นายกิตติไม่ฟัง แถมสั่งเจ้าหน้าที่บริษัทให้เก็บไมค์ด้วยเพราะกลัวว่าจะมีการบันทึกส่ง ก.ล.ต. แล้วประธานก็สั่งปิดประชุม

- หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นดำเนินการเสร็จภายในเวลา 13.00 น. ต่อมาในเวลา 16.00 น. บริษัทได้ยื่นเรื่องให้นายทะเบียนกระทรวงพาณิชย์ พิจารณารับมติการเพิ่มทุนทันที ซึ่งใช้เวลาพิจารณา 3 ชั่วโมง ซึ่งแสดงว่า บริษัทมีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว

พฤติกรรมดังกล่าว ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์อย่างกว้างขวางตามมา โดยสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ออกแถลงการณ์ ระบุว่า กระทำผิดถึง 3 ข้อคือ 1.) เป็นการกระทำ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าต่อผู้ถือหุ้น ซึ่งทำให้ ผู้ถือหุ้นไม่สามารถรับทราบข้อมูลความจำเป็นที่ต้องมีการเพิ่มทุนเร่งด่วน และผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นจากการเพิ่มทุนดังกล่าว 2.) เป็นการกระทำที่สร้างความไม่เท่าเทียมกันของผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมในวันเวลาดังกล่าว 3.) เป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องตามหลักธรรมาภิบาลที่ดีในการเปิดเผยข้อมูลต่อผู้ถือหุ้น

ทางด้านของตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ได้สั่งการให้ NOBLE ชี้แจงข้อมูล 5 ข้อ ดังนี้ 1.ขอให้บริษัทฯชี้แจงว่าคณะกรรมการบริษัทฯหรือฝ่ายบริหารของบริษัทฯได้ทราบเรื่องการขอเพิ่มวาระการเพิ่มทุนให้บุคคลในวงจำกัดล่วงหน้าก่อนการประชุมผู้ถือหุ้นหรือไม่อย่างไร 2. ข้อมูลของกลุ่มผู้ถือหุ้นที่เสนอให้เพิ่มวาระการเพิ่มทุน และเหตุผลที่กลุ่มผู้ถือหุ้นดังกล่าวเสนอให้บริษัทฯเพิ่มทุนในลักษณะดังกล่าว 3. สาเหตุที่กลุ่มผู้ถือหุ้นดังกล่าวเสนอให้บริษัทฯเพิ่มทุนให้บุคคลในวงจำกัด และข้อมูลสนับสนุนของกลุ่มผู้ถือหุ้นดังกล่าว รวมถึงเหตุผลที่ไม่ได้ขายหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม 4. ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทฯและคณะกรรมการตรวจสอบ เกี่ยวกับการเพิ่มทุนให้บุคคลในวงจำกัดดังกล่าว และแผนการใช้เงินทุนในอนาคต 5. อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้บุคคลในวงจำกัด

ต่อมา บริษัทฯได้ตอบในทุกประเด็นถึงการประชุมดังกล่าว ยืนยันว่าการเพิ่มทุนดังกล่าว บริษัทฯยังมิได้มีการคัดเลือกผู้ลงทุนที่จะมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนแต่อย่างใด และตอบเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการบริษัทฯและคณะกรรมการตรวจสอบได้มีความเห็นว่า การเสนอให้เพิ่มวาระการเพิ่มทุนดังกล่าว เป็นสิทธิของผู้ถือหุ้นซึ่งกำหนดไว้ตามกฎหมาย มาตรา 105 ของพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน พ.ศ.2535 (และที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) และถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ที่สำคัญ การเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัดจะทำให้บริษัทฯสามารถมีแหล่งเงินทุนเพื่อเตรียมพร้อมกับการขยายธุรกิจทั้งปัจจุบันและในอนาคต

คำตอบดังกล่าว ไม่ได้ทำให้สถานการณ์สงบลงได้ เพราะมีกระแสข่าวเพิ่มเติมว่า การเพิ่มทุนดังกล่าว เป็นความพยายามที่จะหาพันธมิตรกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมเพื่อสกัดกั้นการเข้ามาถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯลึกลับจากต่างชาติที่จดทะเบียนอยู่ใน บริติช เวอร์จิ้น ไอส์แลนด์ ชื่อ เอททิเมด เน็ตเวิร์คส์ กรุ๊ป สตรีท ลิมิเต็ด(ESTEEMED NETWORKS GROUP STREET LIMITED) ที่ปิดโอนในชื่อของเอบีเอ็น แอมโร นอมินี สิงคโปร์ ได้ทยอยเข้ามาลงทุนในหุ้นโนเบิล อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2556 เสมือนเทกโอเวอร์จนถือครองหุ้นใหญ่แตะ 24% ในขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมตระกูลธนากิจอำนวยก็มีการไล่เก็บหุ้นด้วยเช่นกัน แต่ไม่สามารถทำได้ดีเท่า จึงต้องเลือกเอาวิธีการหาพันธมิตรมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่เสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อสกัดกลุ่มผู้ถือหุ้นลึกลับดังกล่าว

กระแสข่าวดังกล่าว นายกิตติ ธนากิจอำนวย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุดของ NOBLE ออกมาตอบโต้ว่า ไม่ได้เป็นการป้องกัน ESTEEMED เข้าครอบงำบริษัท เพราะกลุ่มของนายกิตติ ยังเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่มากกว่า 48% ขณะที่ ESTEEMED ถือหุ้นเพียง 24.06% แต่การเพิ่มทุนจะทำเพื่อความแข็งแกร่งของ NOBLEเป็นสำคัญ เพราะต้องการลดหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ 3 เท่า ให้ลดลงเหลือ 1.6 เท่า

กระแสคัดค้านการเพิ่มทุนที่มีปัญหา ทำให้กลุ่มตัวแทนผู้ลงทุนรายย่อยได้ไปยื่นร้องเรียนต่อก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนเดินทางไปขอเพิกถอนจากเจ้าหน้าที่ที่เป็นนายทะเบียนของกระทรวงพาณิชย์ โดยนายสุวัฒน์ พฤกษ์เสถียร นักกฎหมายชื่อดัง ได้เป็นตัวแทนผู้ถือหุ้นรายย่อยของ NOBLE เพื่อยื่นขอเพิกถอนมติประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2557 ในวาระพิเศษเรื่องการเพิ่มทุน โดยชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารเอาเปรียบผู้ลงทุนรายย่อย และข้ออ้างว่า บริษัทฯมีหนี้สินต่อทุนในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 เท่าไม่ใช่ตัวเลขที่ถูกต้องเพราะหากพิจารณาหนี้ที่มีดอกเบี้ย สัดส่วนหนี้ต่อทุนของบริษัทฯอยู่ที่ 1.5 เท่า ยังไม่ใช่ภาระที่หนักเกินไป

ที่สำคัญ กรณีการเพิ่มทุนเพื่อไม่ต้องการถูกเทกโอเวอร์นั้น ผู้บริหารควรชี้แจงให้ผู้ถือหุ้นรับทราบและหาแนวทางที่ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้รับผลกระทบ ซึ่งถือว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยถูกเอาเปรียบ

ในเดือนกรกฎาคม กลุ่มผู้ถือหุ้น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย เอบีเอ็น แอมโร นอมินีส์ สิงคโปร์ กับ นักลงทุนรายย่อยรวมหุ้นได้ 5% ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ พร้อมเรียกค่าเสียหาย ซึ่งศาลได้สั่งให้รวมคดีเข้าด้วยกัน

การฟ้องร้องต่อศาลแพ่งดังกล่าว กำลังอยู่ในระหว่างรอการไกล่เกลี่ยในวันที่ 15 กันยายนที่จะถึง แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น นายกิตติได้ออกมาตอบโต้และร้องต่อ ก.ล.ต. และกระทรวงพาณิชย์ ให้ทำการสอบว่า ESTEEMED เข้ามาซื้อหุ้นของ NOBLE ในลักษณะที่ผิด ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และการบริหารจัดการของผู้บริหารตลอดจนความเชื่อมั่นต่อบริษัทฯ เพราะเป็นบริษัทที่จดทะเบียนก่อตั้งใน British Virgin Island (BVI) และไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนต่อ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้ให้บริษัท นอมินีดำเนินการแทน โดยมีบริษัท Vistra ซึ่งเป็นบริษัทรับจ้างเป็นนอมินีทำการซื้อหุ้น NOBLE และมีการรายงานการถือหุ้นที่ผิดกฎหมาย หลีกเลี่ยงการทำคำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ รวมทั้งมีรายการที่เชื่อมโยงกัน (Acting in Concert) เพื่อครอบงำกิจการ และท้าทายอำนาจรัฐ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทำให้มีผลกระทบต่อตลาดทุน บริษัทฯ และผู้ถือหุ้น

หลังจากการออกมาตอบโต้ของนายกิตติ นายสุวัฒน์ พฤกษ์เสถียร ได้ออกมาแถลงข่าวเพื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยยืนยันว่า จะดำเนินการต่อสู้เพื่อขัดขวางการเพิ่มทุนอย่างถึงที่สุด

ข้อสังเกตของการแถลงข่าวของนายสุวัฒน์ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา อยู่ที่การเข้มงวดกับรายละเอียดของการแถลงข่าวอย่างมาก สะท้อนถึงความช่ำชองของการต่อสู้ในมุมกฎหมาย นับแต่การเข้มงวดกับสื่อ ที่เน้นเฉพาะผู้สื่อข่าวจากสื่อสิ่งพิมพ์อย่างเดียวไม่มีสื่อออนไลน์หรือโทรทัศน์ หรือวิทยุ ห้ามการถ่ายภาพทุกชนิด และไม่มีเอกสารอื่นใด นอกจากคำฟ้องสองฉบับที่มีต่อผู้บริหารของ NOBLE โดยไม่เปิดช่องโหว่ให้โจมตีได้

นอกจากนั้นที่น่าสนใจก็คือ นับแต่มีการประชุมเพิ่มทุนเดือนเมษายนเป็นต้นมา ราคาหุ้นของ NOBLE ร่วงลงมาต่ำกว่าระดับ 12 บาท แกว่งไกวอยู่ที่ระดับ 10-11 บาทในกรอบแคบๆ มาจนถึงล่าสุด

เกมของการเพิ่มทุนครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่เกมธรรมดา แต่ได้พัฒนาเป็นการต่อสู้ที่เข้มข้นมากขึ้นหลายระดับระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เดิม กับพันธมิตรร่วมของกลุ่มใหม่และนักลงทุนรายย่อย ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทฯก็ยังไม่มีความชัดเจน เพราะดูเหมือนว่า ธุรกรรมของ NOBLE เพื่อสร้างรายได้และกำไรในอนาคตดูแผ่วเบาลงไปอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะยังทำกำไรได้ต่อเนื่อง และไม่ย่ำแย่ถึงขั้นขาดทุนก็ตาม
สิ่งที่ต้องจับตาก็คือ ระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมที่สัดส่วนถือครองหุ้นลดลงอย่างชัดเจน กับกลุ่มใหม่ที่ไม่กล้าเปิดเผยตัว ใครจะยึดประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยได้มากกว่ากัน

posted from Bloggeroid

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2557

JAS เมื่อมีความไม่แน่นอน ... ขาย ... คือทางออกที่ดีที่สุด

06 Aug 08:46 AM
JAS - ขาย
เมื่อมีความไม่แน่นอน ... ขาย ... คือทางออกที่ดีที่สุด 

mail Email divider pdf PDF (664kb)
Research by: Chatchai Jindarat

เมื่อมีความไม่แน่นอน ... ขาย ... คือทางออกที่ดีที่สุด
ประเด็นลงทุน: กำไรปัจจุบันยังแข็งแกร่งแต่หมดช่วงของการเป็นหุ้นเติบโตสูง ขณะที่เงินลงทุนยังคงมีความจำเป็น ทำให้ยังไม่ใช่หุ้นปันผลเช่นกัน นอกจากนี้ประเด็นฟ้องร้องหลายประเด็นที่กระทบราคาหุ้นบ่อยครั้ง แม้กระทบจิตวิทยาเพียงช่วงสั้น แต่มีโอกาสกระทบปัจจัยพื้นฐานในอนาคตได้ โดยเฉพาะประเด็น TT&T ยื่นฟ้อง Worst case อาจทำให้ไม่มีสินทรัพย์ดำเนินธุรกิจ แต่เราคาดว่าต้องใช้เวลาในการพิจารณาของศาล เบื้องต้นรอคำสั่งศาลว่าจะคุ้มครองชั่วคราวสินทรัพย์ดังกล่าวหรือไม่ เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่สูงขึ้น เรามีการปรับ Beta ของ JAS ขึ้นเป็น 2 เท่า ทำให้ราคาเป้าหมายลดลงอยู่ที่ 6.20 บาท และแนะนำ ขาย 
กำไรสม่ำเสมอ แต่ผ่านการเติบโตสูงไปแล้ว: JAS รายงานผลประกอบการ 2Q57 ไปแล้วที่ 886 ล้านบาท (+4% QoQ, +13% YoY) จากจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีก 63,000 ราย ทำให้ 1H57 จำนวนลูกค้าใหม่ (Net add) อยู่ที่ 124ราย มากกว่าคาดการเดิมที่ 100ราย เราจึงปรับเพิ่มคาดการณ์เป็น 200และ 160ในปี 2557 – 2558 ส่งผลให้ประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น 3% และ 7% ตามลำดับ โดยกำไรปกติ 1H57 คิดเป็นสัดส่วน 48% ของประมาณการกำไรปกติปี 2557 ที่ 3,656 ล้านบาท (EPS = 0.51) แม้ว่าผลประกอบการปัจจุบันยังคงแข็งแกร่งที่ แต่ผลประกอบการผ่านการเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูงไปแล้ว เราคาดการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 5ปีข้างหน้าที่เพียง 8% CAGR (2557 –2562) ขณะที่มีความเสี่ยงเรื่องการเข้ามาของ Operator รายใหม่ เนื่องจากเป็นธุรกิจอัตรากำไรสูง และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีทำให้ JAS ยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงเพื่อเพิ่มความเร็วในการให้บริการจากระบบ ADSL ที่ใช้อยู่ปัจจุบัน ทำให้เรายังไม่คาดหวังการเป็นหุ้นปันผลจาก JAS เช่นกัน
ประเด็นฟ้องร้องกระทบจิตวิทยาก่อนนี้ แต่ต่อไปอาจกระทบพื้นฐาน: ราคาหุ้น JAS ปรับตัวลงจาก 2 ประเดนหลักคือ 1) ความกังวลหลังมีรายงานข่าวว่าเจ้าหนี้สถาบันการเงินต่างประเทศ 4 แห่ง เตรียมยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งในวันที่ 18 ส.ค. เพื่อให้ JAS ชำระหนี้ที่เคยต้อง Hair cut ให้ในช่วงที่เข้าแผนฟื้นฟูมูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท (1.40 บาท/หุ้น) หลังศาลฎีกาพลิกคำตัดสินศาลล้มละลายกลาง ไม่เห็นชอบกับแผนฟื้นฟู และ 2) กรณี TT&T ยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อร้องสิทธิในการเพิ่มทุนใน TTTBB (รายละเอียดหน้า 2) ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทย่อยของ JAS และเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่กำลังจะขายเข้ากองทุน IFF โดย TT&T ร้องให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวทรัพย์สินไว้ หากศาลรับฟ้องจะทำให้ทรัพย์สินนี้ไม่สามารถทำธุรกรรม IFF ได้ จึงเป็นความเสี่ยง แม้ว่าบริษัทยังคงมั่นใจว่าปัจจุบันไม่มีเจ้าหนี้รายใดมาแสดงตนและจะจ่ายหนี้ไม่เกิน 1,300 ล้านบาทตามที่ฝ่ายกฎหมายของบริษัทประเมิน และกรณีกับTT&T บริษัทเชื่อว่า MOU หมดอายุไปแล้วนั้น แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนศาลถือว่าเป็นความเสี่ยง และมีความไม่แน่นอนที่ผลวินิจฉัยอาจเป็นบวกหรือลบต่อบริษัทได้ หากเป็นลบจะกระทบให้ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญได้
ผลตอบแทนไม่คุ้มความเสี่ยง แนะนำ ขาย: จากการปรับ Beta เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่สูงขึ้นเป็น 2 เท่า และสูงกว่ารายงาน Bloomberg ที่ 1.6 เท่า เพราะที่ 1.6 เท่าคือทีระดับสถานการณ์ปกติ ส่งผลให้ WACC เพิ่มขึ้นเป็น 16.2% จากเดิม 12.1% และความเสี่ยงจากการเสียส่วนแบ่งทางการตลาดและอัตรากำไรในอนาคตที่อาจลดลงจากการมีคู่แข่งในตลาดมากขึ้นเราจึงปรับลด Terminal growth ลงจาก 2% เป็น 1% ส่งผลให้ราคาเป้าหมายปี 2557 ลดลงเหลือเพียง 6.20 บาท จึงแนะนำ ขาย และไม่แนะนำการซื้อเพื่อเก็งกำไรการฟื้นตัว และอาจพิจารณาถอดออกจากหุ้นใน Coverage  ของ Maybank Kim Eng
JAS – Summary Earnings Table
FYE: Dec 31 (THB m)
2011
2012
2013
2014F
2015F
Revenue
9,498
10,369
11,123
12,908
14,368
EBITDA
4,035
4,647
5,778
6,756
7,376
Recurring Net Profit
1,334
2,100
3,024
3,656
4,155
Net profit
1,072
2,137
3,002
3,706
4,205
EPS (Bt)
0.14
0.30
0.42
0.52
0.59
EPS growth (%)
61.7
106.5
40.5
23.8
13.5
DPS (Bt)
0.05
0.09
0.25
0.29
0.32






PER
50.02
24.22
17.23
13.92
12.27
EV/EBITDA (x)
13.96
11.73
9.17
7.59
6.73
Div Yield (%)
0.66
1.24
3.45
3.95
4.48
P/BV(x)
7.54
5.55
4.54
3.94
3.44






Net Gearing (%)
37.9
29.6
10.8
Cash
Cash
ROE (%)
15.1
22.9
26.4
28.3
28.0
ROA (%)
11.2
15.3
18.4
20.9
20.7
Cons. Net Profit (THB m)





Source: Company reports and MBKET.
ข่าว: ช่วงเย็นวันที่ 5 ส.ค. TT&T แจ้งตลาดว่าวันที่ 2 มิ.ย. 57 ยื่นฟ้อง อคิวเม้น ให้ขายหุ้น 70% ในTTTBB ให้ ผถห ของ TT&T  และ วันที่ 17 มิ.ย. 57 ร้องศาลคุ้มครองชั่วคราว ทรัพย์สินทั้งหมดของTTTBB และ วางหุ้น 70% ใน TTTBB ที่อคิวเม้นไว้ต่อศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ความเดิม: TT&T ได้ทำ MOU กับอคิวเม้นว่าให้ อคิวเม้น ถือหุ้นชั่วคราวใน TTTBB ซึ่งจะนำ TTTBBจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ภายใน 3 ปี (12 ก.ย. 52) หากทำไม่สำเร็จใน 3ปี อคิวเม้นจะดำเนินการขายหุ้นเพิ่มทุน และ/หรือหุ้นที่อคิวเม้นถืออยู่ของ TTTBB ให้กับผู้ถือหุ้นของ TT&T 
มุมมองของ JAS: มองว่า MOU ได้หมดอายุไปแล้วเมื่อครบกำหนด 3 ปี จึงไม่น่ามีผลต่อบริษัท
มุมมอง TT&T: มองว่า MOU หมดอายุแล้วจริง แต่ตามสัญญา อคิวเม้น ต้องขายหุ้นเพิ่มทุนของTTTBB ให้ ผถห ของ TT&T
ปัจจุบัน JAS ถือหุ้นในอคิวเม้น 100% และ อคิวเม้นถือหุ้นใน TTBB อยู่ 99.2% ทำให้ JAS ถือหุ้นในTTTBB อยู่ 99% ผ่าน อคิวเม้น
เหตุการณ์ที่เป็นไปได้
1.  หากศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว = เชื่อว่าเป็นประเด็นลบต่อ JAS แน่นอน เพราะกองทุนจะออกไม่ได้จนกว่าศาลจะตัดสิน
1.1          หากคุ้มครองและ JAS ไม่สามารถรับรู้รายได้ที่เกิดจากการทำธุรกิจ Broadband ได้เลย ซึ่งรายได้ของ JAS กว่า 80% มาจากธุรกิจนี้ กรณีนี้เชื่อว่าจะกระทบ JAS อย่างมาก ถึงมากที่สุด ขณะที่คู่แข่งอย่าง TRUE จะได้ประโยชน์ หากเป็นกรณีนี้ไม่ควรซื้อในทุกระดับราคา
1.2          หากคุ้มครองและ JAS รับรู้รายได้ที่เกิดจากการทำธุรกิจ Broadband ได้เพียง 30% ในส่วนที่ไม่เป็นกรณีพิพาท ทำให้กำไรปี 58 จากที่คาด 4,155 ลบ. จะเหลือ 1,247 ลบ. = EPS 0.18 บาท = ในกรณีนี้ราคาที่ควรกลับเข้าซื้อ คือ 1.8 บาท
1.3          หากคุ้มครองชั่วคราวแต่ดำเนินธุรกิจต่อได้  แต่ห้ามจำหน่ายหรือลงมติอื่นที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ของ TTTBB ผลกระทบคือ JAS จะออก IFF ไม่ได้ไปจนกว่าผลพิพากษาจะถึงที่สุด ไม่กระทบพื้นฐาน แต่จะกระทบจิตวิทยาในช่วงสั้น แต่ระยะยาวหากศาลเห็นว่า อคิวเม้นต้องขายหุ้นออก 70% จะทำให้ JAS ถือราว 29-30% ผลประกอบการก็จะได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน = กรณีนี้ราคาที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยงคืนที่ระดับ PER 10 เท่า ที่ 5.90 บาท (อิง EPS ปี 58)
2. หากศาลไม่คุ้มครองชั่วคราว = JAS ยังเดินหน้าออก IFF ได้ และทุกอย่างกับมาเป็นปกติ = คาดว่าราคาหุ้นจะฟื้นตัวได้แรงเช่นกัน และราคาควรกลับไปที่ระดับ 8 บาท
ความเห็นของเรา: เป็นประเด็นลบค่อนข้างมากต่อ JAS ประเด็นการฟ้องร้องของ TT&T อาจไม่ใช่ประเด็นใหม่ แต่รายละเอียดของการฟ้องร้องที่ TT&T ประกาศเป็นเรื่องใหม่ที่ตลาดไม่รู้มาก่อน และความไม่แน่นอนจะทำให้ราคาหุ้นอย่างดีคือทรงตัวกรอบแคบ แต่ในกรณีเลวร้าย อาจกระทบราคาหุ้นปรับตัวลงต่อเนื่องได้ เพราะร้ายแรงที่สุดคือประกอบธุรกิจบนสินทรัพย์ของ TTTBB ไม่ได้ แต่เราเชื่อว่าจะใช้เวลาอีกนานกว่าคดีจะถึงที่สุด
ช่วงสั้นคงต้องรอคำสั่งศาลคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ คาดว่าจะเป็นภายในปีนี้ เพราะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนของประเทศทำให้การพิจารณาของศาลอาจต้องใช้เวลา
นักลงทุนที่มีสถานะเมื่อมีความไม่แน่นอน แนะนำ ขาย ออกไปก่อน และไม่ซื้อคืน หรือ Short against port แต่หากไม่มีสถานะไม่แนะนำให้เข้าลงทุน
INCOME STATEMENT (THB mn)   
FY December201220132014F2015F
    
Revenue10,36911,12312,90814,368
EBITDA4,6475,7786,7567,376
Depreciation & Amortisation1,7151,9002,0882,137
Operating Profit (EBIT)3,0274,0094,8145,384
Interest (Exp)/Inc404312281228
Associates0000
One-offs-35-1500
Pre-Tax Profit2,6233,6974,5325,156
Tax5306059061,031
Minority Interest78-748080
Net Profit2,1373,0023,7064,205
Recurring Net Profit2,1003,0243,6564,155
    
Revenue Growth %9.27.316.111.3
EBITDA Growth (%)15.224.316.99.2
EBIT Growth (%)39.432.420.111.9
Net Profit Growth (%)99.240.541813.5
Recurring Net Profit Growth (%)57.44420.913.6
Tax Rate %20.216.42020
     
    
BALANCE SHEET (THB mn)    
FY December201220132014F2015F
    
Fixed Assets11,07812,28811,49511,734
Other LT Assets1,3911,1861,3531,489
Cash/ST Investments2,3823,8574,2106,081
Other Current Assets4,9024,4036,0226,702
Total Assets19,75221,73323,07926,006
    
ST Debt3,7064,6443,8854,342
Other Current Liabilities2,0871,9792,2972,556
LT Debt3,1892,2172,0822,178
Other LT Liabilities585330383426
Minority Interest1,0321,0781,3311,511
Shareholders' Equity9,03111,39113,10114,993
Total Liabilities-Capital19,63021,63923,07926,006
    
Share Capital (m)7,1377,1377,1167,116
Gross Debt/(Cash)4,2253,0533,3013,593
Net Debt/(Cash)2,7611,227Net CashNet Cash
Working Capital1,4161,5924,0495,884
BVPS1.311.61.842.11
     
    
CASH FLOW (THB mn)    
FY December201220132014F2015F
    
Profit before taxation2,6233,6974,5325,156
Depreciation1,7151,9002,0882,137
Net interest receipts/(payments)-404-312-281-228
Working capital change-1,144372-1,023-115
Cash tax paid-530-605-906-1,031
Others (incl'd exceptional items)2,3555732,1941,190
Cash flow from operations4,6165,6256,6047,108
Capex -1,418-1,730-2,076-2,076
Disposal/(purchase)0001
Others -378164-167-137
Cash flow from investing-1,795-1,566-2,243-2,212
Debt raised/(repaid)-37-15-1,172248
Equity raised/(repaid)0-5300
Dividends (paid)-181-642-1,911-2,175
Interest payments-404-312-281-228
Others-2,301-1,519-644-868
Cash flow from financing-2,923-2,541-4,008-3,024
Change in cash-1031,5193531,872
     
    
RATES & RATIOS    
FY December201220132014F2015F
    
Gross margin %54.859.860.260.5
EBITDA Margin %44.85252.351.3
Op. Profit Margin %29.23637.337.5
Net Profit Margin %20.62728.729.3
ROE %22.926.428.328
ROA %15.318.420.920.7
Net Margin Ex. El %16.222.220.921.3
Dividend Cover (x)3.31.71.81.8
Interest Cover (x)7.512.917.123.6
Asset Turnover (x)0.50.50.60.6
Asset/Debt (x)2.12.42.72.7
Debtors Turn (days)129.7146146146
Creditors Turn (days)206.9206.9206.9206.9
Inventory Turn (days)3.84.14.14.1
Net Gearing %106.1105.3110.4111.4
Debt/ EBITDA (x)2.11.61.31.3
Debt/ Market Cap (x)0.10.10.10.1
     
Source: Company reports and MBKET
คำชี้แจง : เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลที่ บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เห็นว่าน่าเชื่อถือประกอบกับทัศนะส่วนตัวของผู้จัดทำ ซึ่งมิได้หมายถึงความถูกต้องหรือสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวแต่อย่างใด และเอกสารนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุนเท่านั้น มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะชักชวนหรือชี้นำการซื้อขายหลักทรัพย์ใดโดยเฉพาะหรือเป็นการทั่วไปแต่อย่างใด นักลงทุนพึงใช้ข้อมูลในเอกสารนี้ประกอบกับข้อมูลและความเห็นอื่น ๆ และวิจารณญาณของตนในการตัดสินใจการลงทุนให้เหมาะสมแก่กรณี ทั้งนี้ความเห็นที่แสดงอยู่ในเอกสารนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้จัดทำ บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ตลอดจนผู้บริหารและพนักงานของบริษัทไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องกับความเห็นที่แสดงอยู่ในเอกสารนี้ด้วยแต่อย่างใด