วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

 หั่นดอกเบี้ยจิ๊บจ๊อย งัดกฎกระทรวงคุมค่าเงิน

กนง.หั่นดอกเบี้ย0.25%รับมือศก.ชะลอ "กิตติรัตน์"บอกยังน้อยและช้าเกินไป แต่มาช้ายังดีกว่าไม่มา งัดกฎกระทรวงคุมค่าเงิน "ประสาร"ไม่คิด"ลาออก"
ชื่อ:  news_img_508315_1.jpg
ครั้ง: 231
ขนาด:  26.6 กิโลไบต์

ความขัดแย้งระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มคลี่คลายลง หลังค่าเงินบาทอ่อนค่าในรอบ 4 เดือน ทะลุ 30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ใช้เวลา 2 วันในการประชุม ก่อนตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ตามตลาดคาดการณ์

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าหากเงินบาทยังอ่อนค่าอยู่ในระดับปัจจุบัน ความตึงเครียดในการพูดคุยเรื่องนี้ก็จะลดลง เพราะเรื่องนี้จะคุยกันด้วยความกดดันอีกครั้งหนึ่งก็ต่อเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าคู่ค้าคู่แข่ง ดังนั้นจึงสื่อสารไปยังหน่วยงานต่างๆ ว่าให้มาช่วยกันทำงานให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความเหมาะสมจะได้ไม่มีความกดดันในเรื่องค่าเงินบาท

วานนี้ (29 พ.ค.) ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ ปิดตลาดที่ 30.19/21 อ่อนค่าสุดในรอบกว่า 4 เดือน โดยนักบริหารเงินกล่าวว่าไม่เกี่ยวกับมติกนง. แต่เคลื่อนไหวตามค่าเงินภูมิภาค จากความกังวลสหรัฐฯจะถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (คิวอี) เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว โดยมีแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติทั้งในตลาดหุ้นและพันธบัตร

นายกิตติรัตน์ เห็นว่า กนง. มีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากเดิม 2.75% เหลือ 2.5% นั้น ถือว่าน้อยเกินไปและเป็นการปรับลดที่ช้าเกินไป แต่ก็ยอมรับการตัดสินใจของ กนง.

"เรื่องปรับลดดอกเบี้ยต้องบอกว่ามาช้าดีกว่าไม่มา"นายกิตติรัตน์ กล่าว

กฎกระทรวงดูแลค่าเงิน มีผลบังคับใช้
นายกิตติรัตน์ กล่าวอีกว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในขณะนี้ เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำงานกันมาก่อนหน้านี้ ทั้งการออกมาตรการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การออกประกาศกระทรวงการคลังให้อำนาจธปท.ในการออกเครื่องมือในการควบคุมเงินทุนไหลเข้าได้ตามความเหมาะสม ซึ่งมีการประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวานนี้ (29 พ.ค.)

"เรื่องนี้ตลาดการเงินก็รับรู้ได้ว่าหน่วยงานหลักที่ดูแลเศรษฐกิจของประเทศไม่ต้องการเห็นเงินทุนไหลเข้าที่มาเก็งกำไร จนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป ซึ่งเมื่อตลาดมีการรับรู้ในเรื่องนี้ ก็ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าลดลง อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ถือว่ามีช่องว่างในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศไทยที่ยังแตกต่างกับประเทศอื่นๆ อยู่ ซึ่งอาจทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาแสวงหาส่วนต่างจากดอกเบี้ยที่ต่างกันได้"
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ประกาศกระทรวงการคลัง จะทำให้ ธปท.มีเครื่องมือดูแลค่าเงินบาท เช่น การกำหนดการเก็บค่าธรรมเนียม การกำหนดเพดานการนำเงินเข้ามาลงทุน และการกำหนดวัตถุประสงค์การนำเงินมาลงทุน ซึ่งแต่เดิมกฎหมายไม่ได้กำหนดเอาไว้ เมื่อมีการแก้กฎหมายแล้ว หากมีความจำเป็น ธปท.ก็จะประกาศใช้ได้ตามความจำเป็น

"ประเทศไทยให้ความเป็นธรรมกับนักลงทุน ซึ่งก็ต้องอธิบายว่าจะไม่มีการกำหนดเงื่อนไขที่นักลงทุนจะนำเงินทุนออก เพราะเป็นวิธีที่จะสร้างผลกระทบต่อความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ ซึ่งเป็นวิธีที่เราจะไม่ใช้"

กนง.ถก2วันหั่นดอกเบี้ย 0.25%

นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. ในฐานะเลขานุการ กนง. กล่าวว่า การประชุม กนง. เมื่อวันที่ 28-29 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.75% เหลือ 2.5% ต่อปี โดยให้มีผลทันที

การประชุม กนง. ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ กนง. ประชุมสองวันติดต่อกัน โดยการตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลงในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน นับจากการประชุมเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2555

นายไพบูลย์ กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องจัดประชุมถึงสองวัน เพราะว่านายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ในฐานะประธานคณะกรรมการ กนง. เห็นว่า การประชุมครั้งนี้มีข้อมูลที่ต้องพิจารณากันมาก ดังนั้น เพื่อให้คณะกรรมการได้ใช้เวลาเต็มที่ในการพิจารณาและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน จึงได้จัดให้มีการประชุมสองวัน

เหตุเศรษฐกิจไตรมาสแรกชะลอ
ส่วนสาเหตุที่ กนง. ตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เพราะเห็นว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ แม้ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่อยู่ในเกณฑ์ดี แต่ก็มีความเสี่ยงมากขึ้น จากตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 2556 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ขณะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย นโยบายการเงินจึงสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ

"ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาดจากอุปสงค์ในประเทศ อาจกระทบต่อแรงส่งของเศรษฐกิจในระยะต่อไปได้ โดยเฉพาะถ้ามีความล่าช้าในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่การส่งออกมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะจีนที่ขยายตัวชะลอลง” นายไพบูลย์ กล่าว

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกนั้น กนง. มองว่า ยังฟื้นตัวล่าช้ากว่าที่คาด โดยเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่กลุ่มยูโรยังคงอ่อนแอแต่ความเสี่ยงลดลงบ้าง เศรษฐกิจจีนและเอเชียขยายตัวต่ำคาด ส่งผลให้การฟื้นตัวของการส่งออกไทยอาจล่าช้ากว่าที่ประเมินไว้

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในส่วนของเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มได้รับผลบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ สะท้อนจากการส่งออกและการบริโภคที่ปรับดีขึ้น ขณะที่ภาวะการเงินโลกยังมีความผันผวนสูง ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่ภูมิภาคและต่ออัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

"ภายใต้ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินที่ยังมีอยู่ คณะกรรมการฯ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.75% เหลือ 2.5% ต่อปี โดยให้มีผลทันที ซึ่งจากนี้ กนง. จะติดตามพัฒนาการเศรษฐกิจไทยและความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินรวมทั้งเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินนโยบายที่เหมาะสมตามสถานการณ์"นายไพบูลย์ กล่าว

ชี้หนี้ครัวเรือน-สินเชื่อเอกชน'เสี่ยง'

อย่างไรก็ตาม หลังการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในครั้งนี้ กนง. ยอมรับว่ายังมีความเป็นห่วงเรื่องสินเชื่อภาคครัวเรือน และการขยายตัวของสินเชื่อภาคเอกชนโดยรวม ซึ่ง กนง. ได้ขอให้ติดตามสถานการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิด

"การดำเนินนโยบายการเงิน ต้องชั่งน้ำหนักวัตถุประสงค์หลายด้านประกอบกัน ทั้งด้านการเติบโตเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านราคา รวมไปถึงเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งได้แก่ หนี้ภาคเอกชน และหนี้ครัวเรือน รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งการพิจารณาต้องดูว่าปัจจัยเสี่ยงด้านไหนต้องใช้นโยบายอะไร โดย กนง. ได้ชั่งน้ำหนักแล้วเห็นว่า การลดดอกเบี้ยลง 0.25% เพียงพอกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ แม้ความเสี่ยงด้านหนี้ครัวเรือนยังมีบ้าง ซึ่งก็ต้องติดตามใกล้ชิด"นายไพบูลย์ กล่าว

นายไพบูลย์ กล่าวว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ เชื่อว่าไม่มีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทไทย เพราะว่าถ้าดูช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าดอกเบี้ยไทยค่อนข้างนิ่งมานาน และการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด ซึ่งการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทนั้น มักจะเป็นไปตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นหลัก

เอกชนรับได้แม้ผิดคาด หวังลดลงอีก

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยถือว่าผิดจากที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่พอรับได้ และ กนง.คงพิจารณาแล้วว่าเพียงพอที่จะดูแลระบบเศรษฐกิจของประเทศ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องการให้ กนง.ทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในการประชุมครั้งต่อไป และ ส.อ.ท.จะติดตามดูว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีกหรือไม่

"การลดดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่ามีการทำงานร่วมกันของภาครัฐที่จะประสานนโยบายการเงินและการคลังเพื่อดูแลภาวะเศรษฐกิจ"
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ธนาคารอยู่ระหว่างพิจารณาข้อมูล ภายหลังที่ กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-2 วันจากนี้ ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระดับ 0.25% ถือว่าเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ เป็นไปตามความเชื่อที่ว่า อัตราดอกเบี้ยมีส่วนในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นการตอบสนองระยะสั้นจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาไม่คึกคักอย่างที่คิดไว้ จะเห็นได้ว่ามีตัวอย่างจากหลายประเทศที่ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ มาเป็นเวลานานหรือใกล้ 0% แต่ก็ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ในการสร้างการเติบโตอยู่ดี

"หากอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อมาก และเป็นเวลานาน จะเป็นผลทางความเสี่ยงในระยะยาว"

นายโฆสิต มองว่า ปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจไทย คือ ภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งนักธุรกิจต้องมีการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด และปรับตัวให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

"ประสาร" ชี้ 0.25% เหมาะสมแล้ว

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ "เจาะข่าวเด่น" ของ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ว่า การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ถือเป็นระดับที่เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน โดย กนง. ได้หารือเรื่องนี้ร่วมกันอย่างรอบคอบ บนพื้นฐานข้อมูลเศรษฐกิจที่มีอยู่

นายประสาร กล่าวว่า ไม่มีกรรมการท่านใดที่เสนอให้ลดดอกเบี้ยลงมามากกว่า 0.25% เพราะเห็นว่าดอกเบี้ยลดมากไปอาจเกิดความเสี่ยงในอีกด้านหนึ่งได้ และตลาดเงินอาจตีความหมายผิดเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจของไทย

"ถ้าไปลดเยอะแยะตอนนี้ ด้วยข้อมูลที่เรามีแบบนี้ ไปสู่ตลาดการเงินที่มีคนเกี่ยวข้องเยอะ อาจจะมีการตีความผิดไปว่า เราเห็นอะไรที่มันเลวร้ายจนเกินไปหรือเปล่า ถึงต้องลดดอกเบี้ยเยอะขนาดนั้น" นายประสาร กล่าว
ชี้ลดดอกเบี้ย 1% ทำไม่ได้

ส่วนข้อเสนอของรัฐบาลที่อยากให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 1% เขากล่าวว่า กนง. คงไม่สามารถลดได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้นจะเพิ่มความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในอีกด้าน โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านฟองสบู่ในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นแทนที่จะส่งผลดีกับประเทศก็อาจจะส่งผลเสียหายไปเลย

"ถ้าลดขนาดนั้นหุ้นก็คงกระฉูด อสังหาฯ ก็คงออกด้านข้าง มันจะเกิดสัญญาณการเบี่ยงเบนการจัดสรรทรัพยากรทางด้านเงินทุนได้ เพราะคนที่มีเงินออมก็คงไม่อยากออม เอาเงินไปลงทุนด้านอื่นหมด และคนก็จะมีการกู้ยืมกันมากขึ้น จากดอกเบี้ยที่ต่ำ นำไปสู่ปัญหาในท้ายที่สุด" นายประสาร กล่าว

นายประสาร ยกตัวอย่างสหรัฐเองก็เคยเกิดปัญหาในลักษณะนี้มาก่อน จากการใช้ดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน ทำให้เศรษฐกิจเขาเกิดภาวะฟองสบู่ จนนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจอย่างที่แก้กันไม่ตกในขณะนี้ ญี่ปุ่นเองก็เคยเกิดภาวะนี้เช่นกัน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ที่ฟองสบู่แตก พอฟองสบู่เขาแตก เศรษฐกิจเขาก็มีปัญหาเรื่อยมา โดยเวลาผ่านมากว่า 20 ปีแล้ว แต่ญี่ปุ่นก็ยังแก้ไม่ตกในเรื่องเศรษฐกิจ ดังนั้นถ้าต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตได้ยั่งยืน ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องเหล่านี้ด้วย

ยันขัดแย้งทางเทคนิค-ไม่คิดลาออก

ส่วนความขัดแย้งกับรัฐบาลนั้น นายประสารกล่าวว่า ความจริงแล้วส่วนใหญ่มีความเห็นที่ตรงกันมากกว่า เพียงแต่ที่เห็นตรงกันไม่ค่อยเป็นข่าวเท่าไร แต่ในทางเทคนิคอาจมีบางช่วงบางจังหวะที่เห็นไม่ตรงกันบ้าง เช่น เห็นว่าลดดอกเบี้ยช้าไปนิด น้อยไปหน่อย ก็เป็นปัญหาทางเทคนิคเท่านั้น ซึ่งพวกนี้หารือร่วมกันได้

ส่วนคำถามที่ว่าห่วงจะโดนปลดหรือไม่ นายประสาร กล่าวว่า "ก็มีข่าวคราว ส่วนใหญ่จะวางน้ำหนักไปที่เรื่องการทำหน้าที่ ก็เพียงแต่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และอันไหนที่ร่วมมือกับรัฐบาลได้ ก็จะร่วมมือเต็มที่"

สำหรับความคิดว่าจะลาออกหรือไม่นั้น นายประสาร ยืนยันว่า "ไม่เคยคิด ซึ่งความจริงแล้วตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. มีวาระที่ต้องออกตามปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าคิดลาออกเพราะเรื่องนี้คงไม่ใช่ เพราะเห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่ มีเหตุผลในการทำ"


ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
  ฝรั่งยังไม่ขนเงินหนี!
 
       *กูรูชี้แค่ขายทำกำไร - แนวรับ1,550 จุด 
 

  
            วงการประสานเสียง ต่างชาติยังไม่ทิ้งหุ้นไทย เผยเหตุที่ขายสุทธิหนักในช่วงนี้แค่ทำกำไร หลังดัชนีขยับเข้าใกล้เป้าหมาย ขณะที่บางส่วนกังวลว่าเฟดอาจชะลอการใช้มาตรการ QE ช่วงครึ่งปีหลัง ด้านเอเซียพลัสมองหุ้นไทยจะพักฐานจนดัชนีมี P/E เหลือ 16 เท่า ขณะที่ฟินันเซีย ไซรัส ฟันธง แรงขายต่างชาติจากต้นปีถึงปัจจุบันที่ 2.1 หมื่นล้านบาท ยังไม่ใช่สัญญาณขนเงินกลับของฝรั่ง แนะหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นที่พึ่งพิงการบริโภคในประเทศ มองแนวรับลึกสุด 1,550 จุด แนวต้าน 1,620 จุด 
            
แรงขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย 5 วันทำการติดต่อกันในช่วงนี้ (23 -30 พ.ค.) สร้างความกังวลให้กับชาวหุ้นเป็นอย่างมาก เพราะเกรงหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรงตั้งแต่ปลายปี 2555 ที่ผ่านมา และดึงดูดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี จะเริ่มหมดเสน์ห์ดึงดูดจนทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มขนเงินกลับเพื่อไปหาแหล่งลงทุนแห่งใหม่ที่ให้ผลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อมากกว่า
อย่างไรก็ตามมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในตลาดหุ้นยังคงมั่นใจว่าแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ ยังเป็นเพียงแรงขายทำกำไร หลังจากซื้อที่ซื้อสะสมมาต่อเนื่องแบบข้ามปี ประกอบกับความไม่มั่นใจกับมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณว่าจะเริ่มชะลอวงเงินในการซื้อพันธบัตรในช่วงครึ่งปีหลัง แต่โดยภาพรวมแล้วแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในครั้งนี้ยังไม่มีสัญญาณใดที่บ่งชี้ว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มหมดแรงจูงใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
            
โดยวานนี้(30 พ.ค.) ตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายที่ระดับ 1581.32 จุด ลดลง 20.29 จุด หรือ -1.27 % ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 57,710.24 ล้านบาท
ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิในหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 อีก 3835.50 ล้านบาท โดยรวม 5 วันทำการที่ผ่านมา (23 -30 พ.ค.) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในหุ้นไทยไปแล้ว 17779.97 ล้านบาท ส่วนยอดขายสุทธิตั้งแต่เริ่มปี 2556 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 21418.59 ล้านบาท
*** ส.นักวิเคราะห์มองแค่กังวลเฟดถอด QE ยังไม่ใช้สัญญาณทิ้งตลาดหุ้นไทย 
            
นายสมบัติ นราวุฒิชัย นายกสมาคมนักวิเคราะห์ เปิดเผยว่า การขายสุทธิของต่างชาติจากต้นปีถึงปัจจุบันที่ 2.1 หมื่นล้านบาท ถือว่าไม่มากนัก และยังไม่ใช่สัญญาณที่บ่งบอกว่าต่างชาติจะทิ้งตลาดหุ้นไทย ซึ่งหากสังเกตตั้งแต้ต้นปีถึงปัจจุบัน ต่างชาติมีการซื้อขายสลับกันไปมา เพียงแต่แรงขายที่มีมากในช่วงสัปดาห์นี้ เกิดจากความไม่มั่นใจในมาตรการ QE ของสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งไม่มีใครทราบว่า สหรัฐฯ จะชะลอวงเงินในการซื้อพันธบัตรลงช่วงใด อย่างไรก็ตาม การส่งสัญญาณว่าการลดวงเงินซื้อพันธบัตรจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทำให้ต่างชาติขายหุ้นอออก เนื่องจากสมมุติฐานที่เปลี่ยนไป
            
"พอต่างชาติไม่แน่ใจว่าสหรัฐฯจะลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรลงในช่วงใด ก็ย่อมทำให้สมมติฐานของต่างชาติเปลี่ยนไปเลยต้องมีการปรับตัวเพื่อรับกับสมมติฐานใหม่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสหรัฐฯจะไม่ยุติมาตรการ QE เพียงแต่ว่าจะมีการลดปริมาณ QE ลงเท่านั้น และการลดวงเงินของ QE ลงก็น่าจะยังมีเม็ดเงินที่ใช้ในการซื้อพันธบัตรหรืออยู่ส่วนหนึ่ง ดังนั้นอีกระยะหนึ่งถ้าภาพชัดเจนต่างชาติจะกลับเข้ามาเล่นใหม่" นายสมบัติ กล่าว
            
ส่วนการที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในช่วงนี้เป็นเพียงการปรับฐานในระยะสั้นจาก 2 ปัจจัยหลักคือ ตลาดเริ่มสับสนกับมาตร QE สหรัฐฯว่าอาจจะชะลอมากน้อยแค่ไหน 2.ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาสูงแล้วแตะ 1,650 จุด ค่า P/E ก็ปรับสูงขึ้นตาม ทำให้มีการขายทำกำไรในช่วงสั้น
            
สำหรับในช่วงสัปดาห์นี้ประเมินแนวรับที่ 1,558 จุด ส่วนแนวต้านแรก 1,600 จุด แนวต้านถัดไป 1,620 จุด ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในรอบต่อไป นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีการตลาดในประเทศ เช่น โดเมสติกส์เพลย์ น่าจะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสฟื้นตัวได้
*** เอเซียพลัส ชี้ช่วง พ.ค.-มิ.ย.ต่างชาติขายมากกว่าซื้อ มอง SET จะพักฐานจน P/E เหลือ 16 เท่า 
            
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในช่วงนี้ เนื่องจาก P/E ของตลาดอยู่ในระดับสูงแล้วที่ประมาณ 17-18 เท่า ทำให้ถึงเวลาที่ตลาดหุ้นจะต้องมีการปรับฐาน ดังนั้นจึงมองว่าภาพรวมตลาดหุ้นในระยะกลางจะต้องผ่านการปรับฐานอีกระยะหนึ่ง จนกว่า P/E จะปรับลดลงมาที่ประมาณ 16 เท่า ซึ่งหากเทียบจากดัชนีปัจจุบันที่บริเวณ 1,585 จุด จะได้ค่าของดัชนีที่บริเวณ 1,500 จุด ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถเข้าไปทยอยซื้อหุ้นได้ และต่างชาติน่าจะเริ่มกลับมาซื้อรอบใหม่
            
"ตอนนี้เล่นกันอยู่ที่ P/E ประมาณ 17 เท่า ซึ่งถ้า P/E ลงมาที่ 16 เท่า จังหวะนี้เป็นจุดที่ควรกลับเข้าไปซื้อ และช่วงนี้ที่ตลาดหุ้นปรับลดลงก็สามารถที่จะทยอยเข้าไปเก็บหุ้นได้ ส่วนแนวต้านเรามองว่าถ้าดัชนีสิ้นปีนี้มีค่า P/E ที่ 16 เท่า ดัชนีน่าจะอยู่ที่ 1,675 จุด เพราะบริษัทจดทะเบียนมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งเรามองว่า EPS ของบริษัทจดทะเบียนน่าจะมีการเติบโต 23%" นายเทิดศักดิ์ กล่าว
นายเทิดศักดิ์ กล่าวต่อว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นในช่วงนี้เกิดจากแรงขายของต่างชาติ เนื่องจากใน 5 ปีที่ผ่านมาต่างชาติมีการซื้อสะสมเข้ามาค่อนข้างมาก ดังนั้นเมื่อดูตัวเลขซื้อขายของต่างชาติตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน พบว่าต่างชาติขายสุทธิ 17,000 ล้านบาท อาจจะเป็นตัวเลขการขายที่ค่อนข้างมาก ซึ่งมีสาเหตุมาจากช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.เป็นรอบของการขายของต่างชาติ
            
อย่างไรก็ตาม หากดูยอดการซื้อหุ้นของต่างชาติสะสมมาตั้งแต่ปี 2009 ถึงปัจจุบัน พบว่าอยู่ที่ 180,000 ล้านบาท ดังนั้นการขายออกมาเพียง 2.1 หมื่นล้านบาท จึงถือว่าไม่มากคือประมาณ 10% ของยอดที่ซื้อสะสมมา แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจากนี้ไปต่างชาติจะต้องขายออกมาเพียงอย่างเดียว
            
"จากสถิติย้อนหลังหลายปีที่ผ่านมา พบว่ารอบของการขายของต่างชาติจะอยู่ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. เขาจะขายมากกว่าซื้อ แต่ก็ไม่มีตัวเลขว่ารอบของการขายเป็นจำนวนเท่าใด นอกจากนี้อีกเหตุผลหนึ่งที่ต่างชาติขาย คือ P/E ของตลาดหุ้นไทยแพงแล้ว" นายเทิดศักดิ์ กล่าว
*** ฟันธง! ต่างชาติยังไม่ขนเงินหนีหุ้นไทย 
            
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า การขายสุทธิของต่างชาติจากต้นปีถึงปัจจุบันที่ 2.1 หมื่นล้านบาท ยังไม่ได้สะท้อนว่า ต่างชาติจะขายหุ้นอย่างจริงจังเพื่อนำเงินกลับประเทศ เนื่องจากในระยะจากนี้ไป มองว่า ตลาดหุ้นเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นอินโดฯ ฟิลิปปินส์ และไทยยังมีความน่าสนใจสำหรับต่างชาติ หลังเศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น มีปัญหา ต่างชาติจึงมองหาแหล่งที่จะขนเงินมาลงทุนเพื่อหาผลตอบแทน
            
ดังนั้น การขายของต่างชาติในช่วงนี้ หรือต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน น่าจะเป็นเพียงการขายทำกำไรเท่านั้น หลังต่างชาติได้เข้าเก็บหุ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมามากพอสมควร ทั้งที่ในช่วงปลายปีจะเป็นช่วงที่ต่างชาติขายหุ้น
            
นอกจากนี้ การประเมินรอบของการซื้อ หรือขายขายของต่างชาติมีมูลค่าเท่าใดนั้น ก็ไม่สามารถระบุตัวเลขที่ชัดเจนได้ เพราะการซื้อหรือขายแต่ละครั้งจะมีปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างที่ใช้ในการตัดสินใจ
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา พบว่า รอบของการขายจะมีมากที่สุดช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคมของทุกปี เพราะเป็นช่วงของเทศกาลปีใหม่ ต่างชาติจะเตรียมเงินสดเพื่อการใช้จ่าย แต่รอบของการขายในแต่ละปีก็ไม่เท่ากัน เพราะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น
            
ส่วนสาเหตุที่ตลาดหุ้นปรับลดลงในช่วงนี้ เกิดจากปัจจัยเสี่ยงนอกประเทศเป็นหลัก จากความกังวลมาตรการ QE3 ของสหรัฐว่าจะชอลอการซื้อพันธบัตรในช่วงใด ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานในประเทศทุกอย่างมีความชัดเจน ทั้งดอกเบี้ยที่ปรับลดลง 0.25% การทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในระดับที่ดี จีดีพียังเติบโต ทั้งนี้ ประเมินแนวรับที่ 1,580-1,550 จุด แนวต้าน 1,600 จุด
*** ทรีนีตี้ เชื่อแรงซื้อจะกลับมาในช่วงครึ่งปีหลัง 
            
นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัททรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY เปิดเผยว่า จากตัวเลขตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ที่ต่างชาติขายสุทธิกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท มองว่าเป็นวงจรการซื้อขายปกติของต่างชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้มีแรงซื้อค่อนข้างสูง ทำให้ในตอนนี้มีแรงเทขายออกมาบางส่วน ยังคงไม่มีนัยสำคัญที่บ่งชี้ว่าเป็นการไหลออกของเงิน โดยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่จะกลับมามีแรงซื้อเหมือนเดิมอีกครั้ง
            
ทั้งนี้ ประเมินว่า แรงขายจากต่างชาติจะไม่ส่งผลต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนในประเทศมีกำลังซื้อที่สูงขึ้น สามารถรองรับแรงขายจากต่างชาติได้
            
นายภควัต กล่าวต่อถึง กรณีที่เกิดรายการซื้อขายบิ๊กล็อตค่อนข้างมากของบริษัทจดทะเบียนในช่วงนี้ว่า ส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มสภาพคล่องของจำนวนหุ้นของ บจ.ต่างๆ เพื่อหวังผลทางด้านราคาให้ปรับเพิ่มขึ้น และที่สำคัญนักลงทุนรายใหญ่ต้องการซื้อหุ้นในปริมาณมาก ไม่สามารถซื้อในกระดานหุ้นได้ จึงมีการซื้อขายเป็นล็อตใหญ่
            
ทั้งนี้ ยังเปิดเผยถึงแนวความคิดที่จะให้บริษัทจดทะเบียนส่งงบการเงิน และคำนวณค่า P/E ส่งตลท. พร้อมกันได้เลย เพื่อความรวดเร็วในการปรับปรุงข้อมูลให้กับนักลงทุนได้ทันสถานการณ์ เพื่อการตัดสินใจในการลงทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงของการหารือร่วมกัน
*** บลจ.ธนชาต มองหุ้นไทยยังดี คาดปี 57 ดัชนีฯ แตะ 1,740 จุด 
            
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย คาดตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีความผันผวนอยู่บ้างจากการชะลอตัวการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนของ มาตรการควบคุมการแข็งค่าเงินบาท แต่ตลาดจะได้รับผลบวกจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะเติบโต 17% ในปี 2556 และเติบโต 11% ในปี 2557 คาดการณ์เป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปี 2557 อยู่ที่ 1,740 จุด ณ ระดับ P/E 14 เท่า อีกทั้งพื้นฐานเศรษฐกิจในประเทศที่ยังมีการเติบโตจากการบริโภค และการลงทุนจากการส่งเสริมของภาครัฐเป็นตัวสนับสนุนโดยผ่านโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ

 กุ้งไทยชีช้ำ สหรัฐฯ เรียกเก็บอากรซีวีดี 2.09% "พาณิชย์"ฮึดสู้ ยื่นข้อมูลแก้ต่าง ลุ้นรอดอีกครั้ง 14 ส.ค.2556

ชื่อ:  556000006811201.JPEG
ครั้ง: 620
ขนาด:  133.1 กิโลไบต์

กุ้งไทยช้ำ โดนสหรัฐฯ เก็บภาษีซีวีดีเบื้องต้น 2.09% “พาณิชย์” ฮึดสู้ เร่งแจงข้อมูลไทยไม่มีการอุดหนุน หวังประกาศมาตรการครั้งสุดท้าย 14 ส.ค. ไทยรอด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราอากรตอบโต้การอุดหนุน (ซีวีดี) สินค้ากุ้งจาก 6 ประเทศ โดยได้เก็บภาษีซีวีดีกับอินเดีย 10.87% มาเลเซีย 62.74% เวียดนาม 6.07% และไทย 2.09% ส่วนอินโดนีซีย เอกวาดอร์ ไต่สวนออกมาแล้ว แม้จะมีการอุดหนุนจริง แต่คำนวณภาษีออกมาต่ำกว่า 2% จึงไม่ถูกเรียกเก็บภาษีซีวีดี

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ข้อกล่าวหาที่สหรัฐฯ ใช้เรียกเก็บอากรซีวีดีกับกุ้งไทยนั้น เพราะเห็นว่าไทยมีการอุดหนุนใน 3 ประเด็นใหญ่ คือ ผู้ส่งออกกุ้งไทยที่เสียภาษีส่งออกได้รับเงินคืนจากกรมสรรพากรในอัตรา 0.13% และมองว่าสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมกุ้งไทย ทำให้มูลค่าของต้นทุนอุตสาหกรรมกุ้งลดลง 2% และบีโอไอยังลดภาษีเครื่องจักรให้กับอุตสาหกรรมกุ้งไทยนั้น ถือเป็นการอุดหนุน

อย่างไรก็ตาม การประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีซีวีดีกุ้งไทยครั้งนี้ ยังไม่สิ้นสุดกระบวนการ เพราะเป็นการเรียกเก็บภาษีในอัตราเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งสหรัฐฯ จะมีการประกาศผลการใช้มาตรการซีวีดีครั้งสุดท้ายในวันที่ 14 ส.ค.2556 ดังนั้น ในช่วยระยะเวลาก่อนที่จะมีการประกาศผลครั้งสุดท้าย ไทยจะเร่งส่งข้อมูลชี้แจงสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ กำหนดให้ประเทศที่ถูกไต่สวนซีวีดีชี้แจงข้อเท็จจริงอีกครั้งในช่วงวันที่ 10-14 มิ.ย.นี้

หากไทยสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงได้ว่าไทยไม่ได้มีการอุดหนุน และการประกาศครั้งสุดท้าย อัตราภาษีซีวีดีกุ้งไทยที่ถูกเรียกเก็บต่ำกว่าอัตรา 2% อุตสาหกรรมกุ้งไทยก็จะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีซีวีดี แต่หากอัตราภาษีซีวีดีกุ้งไทยเท่าเดิมหรือมีการเรียกเก็บเพิ่มขึ้น ก็จะกระทบต่อผู้ส่งออกกุ้งไทยที่อาจสูญเสียตลาดในสหรัฐฯ มากขึ้น

หุ้น HMPRO , ข่าว



HMPRO บวก 1.83% เก็งก่อนเข้าสู่ดัชนี MSCI Global Standard พรุ่งนี้
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม 2556 14:56:54 น.

หุ้น HMPRO ราคาขยับขึ้น 1.83% มาอยู่ที่ 16.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท มูลค่าซื้อขาย 724.24 ล้านบาท เมื่อเวลา 14.53 น. โดยเปิดตลาดที่ 16.30 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 16.80 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 16.20 บาท

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ“ซื้อเก็งกำไร"หุ้น บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์(HMPRO) ให้ราคาเหมาะสม 17.80 บาท คาดว่าราคาหุ้น HMPRO ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดในวันนี้ - พรุ่งนี้ เนื่องจากเป็น 1 ใน 3 หุ้น ที่ถูกปรับเพิ่มเข้าสู่ดัชนี MSCI Global Standard ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 31 พ.ค. ส่งผลให้กองทุนต่างชาติที่ลงทุนโดยใช้ดัชนี MSCI เป็น Benchmark เข้าซื้อหุ้น HMPRO โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ดัชนีมีผลบังคับใช้

ขณะที่ผลประกอบการ 2Q56 คาดว่าจะเติบโตทั้ง yoy และ qoq จากการเปิดสาขาใหม่อีก 2 แห่ง คือ ปราจีนบุรี และสุราษฎร์ธานี และการเพิ่มสัดส่วนสินค้า House Brand จะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

รวมทั้ง แผนการจัดตั้ง Property Fund ใน 3Q56 มูลค่าราว 3-5 พันล้านบาท จากการขายโครงการหัวหิน มาร์เก็ต วิลเลจ เข้ากองทุน และคาดว่าจะส่งผลให้ HMPRO บันทึกกำไรพิเศษราว 1-2.1 พันล้านบาท และเป็น Upside ที่ยังไม่รวมอยู่ในประมาณการ

นอกจากนี้ คาดว่ากำไรสุทธิปี 2556 จะเติบโต +20.9% yoy เป็น 3,241 ล้านบาท และต่อเนื่อง +15.3% yoy เป็น 3,738 ในปี 2557

อินโฟเควสท์

 STEC ร่วง 5.14% ตามตลาดรวม-​เล็งต่างชาติปรับพอร์ต-ยัง​ไร้ปัจจัย​ใหม่

STEC ร่วง 5.14% ตามตลาดรวม-​เล็งต่างชาติปรับพอร์ต-ยัง​ไร้ปัจจัย​ใหม่

ชื่อ:  Untitled.png
ครั้ง: 1274
ขนาด:  51.5 กิโลไบต์

หุ้น STEC ราคาร่วงลง 5.14% มาอยู่ที่ 24.90 บาท ลดลง 1.35 บาท มูลค่าซื้อขาย 104.44 ล้านบาท ​เมื่อ​เวลา 14.30 น. ​โดย​เปิดตลาดที่ 26 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 26 บาท ​และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 24.90 บาท

นายภาดล วรรณรัตน์ ​ผู้อำนวย​การฝ่ายวิ​เคราะห์หลักทรัพย์ บล.​เมย์​แบงก์ กิม​เอ็ง(ประ​เทศ​ไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้น บมจ.ซิ​โน-​ไทย ​เอ็นจี​เนียริ่ง ​แอนด์ คอนสตรัคชั่น(STEC)วันนี้ปรับตัวลงค่อนข้างมาก คงจะ​เป็น​การปรับตัวลงตามตลาด​โดยรวม

นอกจากนี้ STEC ​เป็นหุ้นตัวหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติมี​เ​ก็บ​ไว้​ในพอร์ตด้วย ดังนั้น​เมื่อต่างชาติมี​การปรับพอร์ต หุ้น STEC ​ก็มี​ความ​เป็น​ไป​ได้ที่จะ​โดนขายออก​ไปด้วยบางส่วน ​โดย​เช้านี้นักลงทุนต่างชาติ​ได้ขายสุทธิประมาณ 700 ล้านบาท นอก​เหนือจากนี้ STEC ​ก็ยัง​ไม่​ได้มีปัจจัย​ใหม่​เข้ามา

พร้อม​ให้​แนวรับ​ไว้ที่ 24 บาท ส่วน​แนวต้าน 26 บาท

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หุ้นปันผล = เงินปันผล



เงินฝาก-เงินกู้แบงก์ เราพิจารณาจากดอกเบี้ย หากเป็นเงินฝากก็ต้องเยอะเข้าไว้ หากเป็นเงินกู้ ต้องน้อยเข้าไว้ สูตรนี้ รู้กันไปทั่วโลกของการลงทุน


ถ้าเป็นการลงทุนซื้อหุ้นล่ะ รู้กันอีกเหมือนกันว่า ผู้ลงทุนจะได้รับ เงินปันผล เมื่อกิจการมีกำไรหากขาดทุนก็ไม่ได้รับ และส่วนต่างของราคาหุ้นบนกระดาน เป็นกำไรแบบซื้อถูกขายแพง แต่บางครั้งต้องขาดทุน หากราคาหุ้นลดลง กลายเป็นซื้อแพง ขายถูก ไปซะงั้น

จากรายงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าเมื่อสิ้นปี 2555 ที่ผ่านมา มีจำนวนการเปิดบัญชี หรือเปิดพอร์ตลงทุน เพิ่มขึ้นอีกราวห้าหมื่นราย แสดงว่า ตลาดหุ้น ขยายตัวในเชิงปริมาณ ผลจากดัชนีที่ปรับตัวสูงขึ้น และยอดซื้อขายทะลุแสนล้านต่อวันไปแล้ว

ในรอบ 4 ปี ที่ผ่านมา พบว่า ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯมีนโยบายในการจ่ายปันผล เป็น “หุ้น” เรียกว่า “หุ้นปันผล”

จากเดิม เรามักจะได้รับ เป็นเงินสด ตามนโยบายที่ประกาศไว้ เช่น 80% ของกำไรสุทธิต่อหุ้น หากกำไร 1 บาท ก็จ่าย หุ้นละ 80 สตางค์ รับเช็คเข้าบัญชี หรือจะเป็นระบบ e-Dividend โอนเงินเข้าบัญชีแบงก์ไปเลย ตามบริการของศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ฯ หรือ TSD เขาก็ได้

“หุ้นปันผล” จึงเป็นเรื่องที่เริ่มได้รับความนิยม จากผู้บริหารมากขึ้นเรื่อยๆ คุณชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ เปิดเผยว่า มี 52 บริษัท ที่จ่ายหุ้นปันผล (Stock Dividend) เป็นมูลค่าตามราคาพาร์ ราว 8,883 ล้านบาท และคำนวณตามราคาตลาด น่าจะเกินกว่าหนึ่งแสนล้าน สูงมากเป็นประวัติการณ์ไปแล้ว

เรื่องการจ่ายหุ้นปันผลนี้ มีข้อสังเกต เรื่องผลข้างเคียงที่อาจตามมา คือ เรื่องการมีผลกับกำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ เรียกว่าเป็น Dilution Effect คือเมื่อจำนวนหุ้นมาก ตัวหารก็มาก กำไรต่อหุ้นก็จะลดลง เป็นสูตรคำนวณปกติ ยกเว้นหากกิจการมีความสามารถในการทำกำไรเร่งเครื่องได้เร็ว ผลกระทบก็จะมีไม่มาก หรือกำไรเท่าเดิม

คุณวรรณี จันทามงคล CFO ของโฮมโปร (HMPRO) เล่าว่า บริษัทเป็นรายแรกที่มีนโยบาย จ่าย หุ้นปันผล เมื่อ 4 ปีก่อนและจ่ายต่อเนื่องกันเรื่อยมาทุกปี “มีข้อดีสองข้อหลัก ของการจ่ายหุ้นปันผล แทนเงินปันผล คือบริษัทต้องการเก็บเงินสดไว้ขยายกิจการ เราทำกิจการค้าปลีก ต้องขยายสาขาเพิ่มขึ้น เงินลงทุนจำเป็นมาก ไม่งั้นต้องไปกู้แบงก์ หรือออกหุ้นกู้ จะมีภาระเรื่องดอกเบี้ย และอีกเรื่องคือต้องการให้มีสภาพคล่องของการซื้อขายหุ้นบนกระดานมากขึ้น ซึ่งก็ส่งผลดี ทั้งสองข้อคะ”

พบว่า HMPRO กลายเป็นแชมป์บริษัทที่จ่ายหุ้นปันผลมูลค่าสูงที่สุด กว่า 1,174 ล้านบาท ในรอบปี 2555 ที่ผ่านมา

ถามต่อว่า มีความยุ่งยาก ในการดำเนินการเรื่องหุ้นปันผลไหม คุณนพดล ตัณศลารักษ์ CEO ของมาสเตอร์แอด (MACO) ตอบว่า “มีบ้าง เมื่อมีจำนวนหุ้นเศษๆ ไม่ลงตัว อย่างเรา กำหนดไว้ในอัตรา 1.39 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นปันผล ตามสัดส่วนของทุนจดทะเบียน จึงมีหุ้น เหลือจากการจัดสรร 437 หุ้น เราจึงต้องยกเลิกการเพิ่มทุน ลดทุน ขออนุมัติกันใหม่ มีงานเอกสารตามมาอีก แต่เป็นเรื่องปกติที่เข้าใจและทำได้ตามเกณฑ์ปกติครับ”

“หุ้นปันผล” นี้ เมื่อผู้ถือหุ้นได้รับการจัดสรร ตามสัดส่วนที่กำหนดซึ่งต้องผ่านการอนุมัติจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เช่นเดียวกับเงินปันผล จากนั้นจะมีจำนวนหุ้นที่ถือครองเพิ่มขึ้นในพอร์ต ใช้เวลาราว 7 วัน ก็ขายได้ หากต้องการจะขาย หรือจะเลือกถือยาว ก็ได้เช่นกัน นับว่ารวดเร็วมากใช่ไหมคะ

จึงเป็นเรื่องดีของผู้บริหารและเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ถือหุ้น ด้วยเช่นกัน แฮปปี้กันถ้วนหน้า หุ้นปันผลจึงเท่ากับเงินปันผล ด้วยประการนี้


Tags : สิริพร สงบธรรม
ความรู้ คู่ การลงทุน
สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย www.thaiinvestors.com
 จุดเปลี่ยนของทีวี:ดิจิทัล vs อินเทอร์เน็ต
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม Eric Schmidt ผู้เป็น Executive Chairman ของ Google ได้ประกาศชัยชนะของการรับชมวีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ต ที่มีเหนือทีวีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


คำประกาศดังกล่าว มีที่มาจากจำนวนผู้เข้าชม YouTube ที่มีมากกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลก ซึ่ง Google มีความเชื่อมั่นว่าจำนวนดังกล่าว มีโอกาสที่จะขยายตัวสู่ 6-7 พันล้านคน ครอบคลุมถึงประชากรทั้งโลก ถึงแม้คำประกาศของ Eric Schmidt อาจจะยังมีข้อกังขา หากเปรียบเทียบกับตัวเลขที่เป็นมาตรวัดของทีวีในแง่มุมต่างๆ แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คือการที่วีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ตได้มาเป็นแนวโน้มของอนาคตอันใกล้และไกล ในขณะที่ทีวีเป็นพฤติกรรมของปัจจุบันที่กำลังจะเป็นอดีตในไม่ช้านี้



"ทีวี" คือการเผยแพร่เนื้อหาในรูปแบบของวีดิโอหรือภาพเคลื่อนไหวที่สามารถเข้าถึงได้โดยประชากรเกือบทั้งประเทศ ปัจจุบันการเข้าถึงทีวีมีอยู่ 3 รูปแบบหลัก คือ การรับสัญญาณผ่านเสาอากาศ ผ่านดาวเทียม และผ่านเคเบิล โดยทั่วไปการรับชมผ่านจานดาวเทียมและเคเบิลเป็นการรับชมแบบสมัครสมาชิก ในขณะที่การรับชมผ่านเสาอากาศคือทีวีที่สามารถรับชมได้โดยประชาชนทั่วไป (Free TV)

Free TV เป็นรูปแบบของสื่อที่มีมูลค่าสูงสุดในประเทศไทย จากมูลค่ารวมของสื่อทั้งประเทศ ที่มีมูลค่ากว่าแสนล้านบาทต่อปี Free TV มีมูลค่ากว่า 60% จุดเปลี่ยนสู่ดิจิทัลทีวี คือการเปลี่ยนคลื่นความถี่ของ Free TV จากระบบอนาล็อกในปัจจุบันมาเป็นดิจิทัล โดยจะเพิ่มจำนวนของช่อง เพิ่มเสถียรภาพของสัญญาณ และเพิ่มการบริการแบบความละเอียดสูง (HD)

อย่างไรก็ดีดิจิทัลทีวีกลับไม่ใช่สิ่งที่ Eric Schmidt ได้พูดถึง และเป็นเทคโนโลยีคนละรูปแบบกับวีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ตอย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกันดิจิทัลทีวียังจัดอยู่ในกลุ่มของทีวี ที่ Google ได้ประกาศชัยชนะเหนือด้วย ทั้งนี้ ยังคงมีความสับสนสำหรับบุคคลทั่วไป ที่ได้เข้าใจว่าดิจิทัลทีวีเป็นการเปิดทางสู่วีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ต

"วีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ต" คือการเผยแพร่เนื้อหาในรูปแบบของวีดิโอหรือภาพเคลื่อนไหวผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถรับชมได้ผ่านอุปกรณ์ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ในยุคแรกของวีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ตอุปกรณ์หลักในการเข้าถึงคือคอมพิวเตอร์และแล็ปท็อป ดังตัวอย่างของการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อรับชม YouTube ต่อมามีพัฒนาการของอุปกรณ์ในการเข้าถึงและเทคโนโลยีโครงข่าย จึงได้เกิดอุปกรณ์ยุคใหม่ เช่น Smartphone, Tablet, Smart TV ฯลฯ ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่าน 4G, 3G หรือ WiFi และเป็นที่มาของการเข้าถึงวีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ตจาก "ทุกที่ ทุกเวลา"

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างดิจิทัลทีวีและวีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ต คือดิจิทัลทีวี ซึ่งไม่ต่างกับทีวีผ่านเสาอากาศในยุคอนาล็อก ดาวเทียม และเคเบิล เป็นการแพร่ภาพเนื้อหาทางเดียว (Broadcast) กล่าวคือ เป็นการให้บริการในรูปแบบของช่อง และไม่มีรูปแบบในเชิงตอบโต้ (Interactive) และ On Demand ในขณะที่ วีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นการให้บริการแบบจุดต่อจุด (Point to Point) ซึ่งมีความเป็น Interactive และ On Demand ดังตัวอย่างของการรับชม YouTube ซึ่งผู้ใช้สามารถมีการตอบโต้กับ YouTube คือการกด Like, ส่งต่อ, เขียนบทวิจารณ์ หรือกระทั่งนำเสนอวีดิโอใหม่ และสามารถเลือกชมวีดิโอที่ตนต้องการได้ โดยไม่ต้องอาศัยรูปแบบของช่อง

ความแตกต่างอีกประการหนึ่ง คือการรับชมดิจิทัลทีวี จำเป็นต้องอาศัยกล่องแปลงสัญญาณ (Set Top Box) ซึ่งการแจกจ่ายหรือการให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน (Subsidize) โดยภาครัฐเป็นแนวทางปฏิบัติสากล แต่ Set Top Box ดังกล่าว ยังคงต้องอาศัยเสาอากาศ จึงมีความเหมาะสมสำหรับการรับชมผ่านเครื่องโทรทัศน์ที่ไม่มีการย้ายที่

ในทางกลับกันการรับชมวีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ตสามารถทำได้โดยทุกอุปกรณ์ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งรวมถึง คอมพิวเตอร์, แล็ปท็อป Smartphone, Tablet, Smart TV ฯลฯ ในปัจจุบัน ยังมี Set Top Box ที่สามารถทำให้เครื่องโทรทัศน์ที่ไม่ใช่ Smart TV สามารถรับชมวีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ตได้ สำหรับการที่จะทำให้ แล็ปท็อป, Smartphone, Tablet สามารถเข้าถึงดิจิทัลทีวี มีความจำเป็นต้องติดตั้งระบบแปลงสัญญาณเพิ่มเติม จึงอาจไม่เหมาะสำหรับการเข้าถึงทุกที่ทุกเวลา แม้โทรทัศน์ในอนาคตอาจมีเครื่องแปลงสัญญาณดิจิทัลทีวี ที่รวมมากับเครื่อง แต่ก็ยังคงเหมาะสมกับการรับชมอย่างไม่เคลื่อนย้ายสถานที่ หรือในอนาคตอาจมีอุปกรณ์ขนาดเล็กที่สามารถรับชมดิจิทัลทีวีได้โดยเฉพาะ แต่ก็ยังไม่ใช่อุปกรณ์ที่มีการพกพาหลักเช่น แลปท็อป, Smartphone, Tablet ผู้ใช้งานอาจจำเป็นที่จะต้องพกพามากกว่าหนึ่งอุปกรณ์หากต้องการเข้าถึงดิจิทัลทีวีแบบทุกที่ทุกเวลา

ข่าวคราวที่สำคัญสำหรับประเทศในปีนี้ ย่อมเป็นการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลทีวี เพราะต้องอาศัย นโยบาย ใบอนุญาต และการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่วีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นวิวัฒนาการของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค จึงอาจไม่เป็นข่าวคราวที่ได้รับความสนใจ ในปัจจุบันดิจิทัลทีวีย่อมเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญกว่า เพราะมีความเหมาะสมกับพัฒนาการของประเทศไทย

แต่ในที่สุดการประกาศชัยชนะของการรับชมวีดิโอผ่านอินเทอร์เน็ต ก็จะต้องเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งยังต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายอย่าง แต่อาจไม่จำเป็นต้องมีการผลักดันจากภาครัฐอีกต่อไป เพราะการประมูล 3G เมื่อปีกลาย ได้เป็นการปลดแอกครั้งสำคัญ ที่ยังคงมีอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง


Tags : ดร.อธิป อัศวานันท์
ดร. อธิป อัศวานันท์
Social MEDIA & INNOVATION /รองประธานกรรมการธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หอการค้าไทย, atip@alumni.uchicago.edu , http://drjoke.com , @drjoke

อาคารชุดทั่วไทย จะขาดตลาด

 อาคารชุดทั่วไทย จะขาดตลาด ห่างไกลภาวะล้นตลาด
อาคารชุดทั่วไทยขายได้ดี และจะหมดในเวลาไม่ช้านี้ หากไม่มีอุปทานใหม่ ไม่มีโอกาสเกิดฟองสบู่แน่นอน ยกเว้นบางพื้นที่และบางระดับราคาที่เป็นสินค้าเก่า สินค้าที่ตั้งอยู่ผิดทำเล เป็นต้น
ในกรณีจังหวัดเชียงใหม่แทบทุกอำเภอขายดี โดยเฉพาะห้องชุดที่มีเหลือขายอยู่ 3,064 หน่วยนั้น คาดว่าจะขายหมดในเวลา 2 เดือน โดยเดือนหนึ่ง ๆ มีคนซื้อถึง 2,000 หน่วย ทั้งนี้ห้องชุดใจกลางเมืองขายได้ดีมาก ส่วนห้องชุดในอำเภออื่น ๆ ก็ขายดีตามลำดับ
ที่อำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย มีห้องชุดเป็นอุปทานอยู่ถึง 49% ของทั้งหมด ปรากฏว่าเหลือขายอยู่เพียง 671 หน่วย และจะขายหมดในเวลาอีกเพียง 5.5 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นหากไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่อีกเลย ก็จะไม่มีสินค้าห้องชุดขายแล้ว ทั้งนี้มีเพียงห้องชุดที่ขายในราคาเกิน 5 ล้านบาท ซึ่งตลาดมีขนาดเล็กมาก และมีเพียง 84 หน่วยที่เหลืออยู่ และคาดว่าจะขายไม่ออกเท่านั้น
สำหรับในเขตตัวเมืองชลบุรี มีห้องชุดเหลืออยู่ 1,812 หน่วย แต่คาดว่าจะขายหมดในเวลาเพียง 2.3 เดือนเท่านั้น นับว่าห้องชุดขายดีกันในทุกระดับราคา ในทำนองเดียวกัน ในพื้นที่บางแสนก็ปรากฏว่ามีห้องชุดเหลืออยู่ 1,600 หน่วย แต่คาดว่าจะขายหมดในเวลาไม่เกิน 6 เดือน นับว่าขายได้เร็วในทุกดับราคาเช่นกัน สถานการณ์จึงไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด
ยิ่งศรีราชา ยิ่งมีห้องชุดเหลือขายอยู่ไม่ถึง 100 หน่วย หากไม่มีโครการอาคารชุดเกิดใหม่ ห้องชุดทั้งหมดจะขายหมดในเวลา 1 เดือน ถือว่าขาดตลาดเสียอีก ทั้งนี้ยกเว้นในพื้นที่แหลมฉะบังที่มีห้องชุดราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท เหลืออยู่ 70 หน่วย แต่ขายได้ช้ามาก ทั้งนี้เป็นห้องชุดที่เก่าและตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่เหมาะสม ในทำนองเดียวกันที่บริเวณพื้นที่บ่อวิน ห้องชุดอาจขายได้ช้าเพราะนิยมทาวน์เฮาส์มากกว่า แต่ก็ยังถือว่าจะขายได้หมดในเวลาไม่เกิน 1 ปี สำหรับอุปทาน 500 หน่วยที่ยังเหลือยู่ในท้องตลาด จึงไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้ามในกรณีพัทยาติดฝั่งทะเล มีห้องชุดเหลืออยู่ถึง 10,000 หน่วย แต่คาดว่าจะหมดในเวลาเพียง 4 เดือน โดยขายได้ปกติเดือนละมากกว่า 2,500 หน่วย จึงนับว่าสถานการณ์ดีมาก ส่วนห้องชุดบนฝั่งตะวันออกของถนนสุขุมวิท ขายได้ช้ากว่า เฉลี่ยจะใช้เวลาเพียง 6.3 เดือน เท่านั้น ทั้งนี้ยกเว้น ห้องชุดราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งควรตั้งอยู่ฝั่งทะเลมากกว่า จะขายได้ช้ากว่า ถือว่าที่ตั้งไม่เหมาะสม
ส่วนในพื้นที่สุดท้ายของจังหวัดชลบุรีคือสัตหีบนั้น แม้ห้องชุดจะมีอยู่เพียง 30% ของทั้งตลาดที่อยู่อาศัยในสัตหีบ แต่ก็ขายดีมาก ขณะนี้เหลืออยู่ 700 หน่วย และคาดว่าจะหมดภายในเวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้น คือหากไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก จะไม่มีสินค้าให้ขายอีกต่อไป
สำหรับในจังหวัดระยองนั้น ในเขตตัวเมือง ห้องชุดกำลังจะขาดตลาดขนาดหนัก เพราะเหลือขายอยู่เพียง 360 หน่วยเท่านั้น และคาดว่าไม่เกิน 1 เดือนก็จะหมดสินค้าที่จะขายแล้ว จึงเชื่อว่าจะมีโครงกาใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีกมากในอนาคตอันใกล้นี้ อย่างไรก็ตามในบริเวณบ้านฉาง บ้านพลานั้น ห้องชุดขายไม่ดี โดยเฉพาะในราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป คงแทบไม่มีใครซื้อเพราะราคาแพง และอยู่ในบริเวณที่ใกล้กับมาบตาพุตที่ประชาชนอาจกลัวมลพิษ
ที่เขตอำเภอเมืองและบริเวณใกล้เคียงกับอำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา ปรากฏว่าในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ห้องชุด ขายได้ 240 หน่วย เหลืออยู่เพียง 130 หน่วย จึงคาดว่าจะไม่มีสินค้าเหลือให้ขายภายในเวลาเพียง 2 เดือนนับจากนี้ หากไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก
ส่วนที่จังหวัดขอนแก่น แม้จะมีอุปทานห้องชุดเหลืออยู่ 1,200 หน่วย แต่เดือน ๆ หนึ่งมีผู้จองซื้อห้องชุดประมาณ 1,500 หน่วย ทำให้สินค้านี้จะหมดลงในเวลาไม่เกิน 1 เดือนนับจากนี้ ทำให้ต้องผลิตสินค้าห้องชุดออกมาสู่ตลาดมากขึ้น แทนที่คิดว่าจะเกิดภาวะล้นตลาดตามคำ "โพนทนา" ของบางสำนัก ในทำนองเดียวกันจังหวัดอุดรธานี ก็กำลังคึกคักหนัก เพราะสินค้าห้องชุดเหลืออยู่เพียง 350 หน่วย แต่เดือนหนึ่ง ๆ มีคนจองซื้อสูงมาก จึงคาดว่าจะขายได้หมดในเวลาไม่เกิน 1-2 เดือนนับจากนี้
ในกรณีห้องชุดของชะอำ ขณะนี้เหลืออยู่ 2,288 หน่วย ซึ่งอาจดูมาก แต่ก็จะขายหมดในเวลา 4.5 เดือนเท่านั้น มีเพียงโครงการห้องชุดไม่กี่แห่งที่อาจขายได้ช้า ส่วนกรณีหัวหิน ก็คล้ายกัน จะสามารถขายได้หมดในเวลาประมาณ 2 เดือน สำหรับห้องชุดจำนวน 2,000 หน่วยนี้ จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ที่จังหวัดภูเก็ต ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่าแทบทุกระดับราคาสามารถขายได้เร็วมาก ยกเว้นราคาตั้งแต่ 5 ล้านขึ้นไป ขายได้ยากเพราะในปัจจุบันสินค้าประเภทนี้มีความต้องการน้อย สำหรับที่กระทู้ อาคารชุดทุกระดับราคาขายได้ดี มีเหลือเพียง 1,000 หน่วย จะเหลือ 2 เดือนเท่านั้นที่จะขาย ยิ่งกว่านั้นที่อำเภอถลาง ก็จะขายหมดในเวลาไม่เกิน 2 เดือนเช่นกัน
ในเขตอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี มีห้องชุดเหลือขายอยู่เพียง 220 หน่วย และจะขายหมดในเวลาเพียง 2 เดือนเช่นกัน หลังจากนั้นก็จะขาดแคลน ยิ่งหากพิจารณาจังหวัดนครศรีธรรมาราช ก็มีหน่วยขายเหลืออยู่เพียง 160 หน่วย และจะขายได้หมดในเวลา 1 เดือนเท่านั้น
โดยสรุปแล้ว ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จึงพบว่า ห้องชุดทั่วประเทศขายดี และออกจะขาดแคลนในอนาคตด้วยซ้ำไป คำ "โพนทนา" ที่ว่าจะล้นตลาดจึงไม่เป็นความจริง สิ่งที่พึงระวังก็คือ การต้องให้มีการคุ้มครองเงินดาวน์ของประชาชนในภาคบังคับ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตลาด




ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน

IRPCชี้GIMพุ่ง
8เหรียญสหรัฐ

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 8 คน 

"ไออาร์พีซี" มั่นใจ GIM ปี 2556 ทะยานถึง 8 เหรียญสหรัฐ ชี้ครึ่งปีหลังราคาน้ำมันฟื้น สเปรดปิโตรเคมีพุ่งช่วยหนุน พร้อมเดินเครื่องส่วนต่อขยายกำลังการผลิต ABS และ EBSM อีกฝั่งละ 6 หมื่นตันภายในไตรมาส 3 ปีนี้

                นายอธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดปี 2556 บริษัทตั้งเป้าหมายทำอัตรากำไรขั้นต้นจากการผลิตที่รวมผลของสต๊อกน้ำมัน (Accounting GIM) เพิ่มสู่ระดับ 8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงกว่าปี 2555 ที่ได้ 6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพราะมีปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ยทั้งปีจะทรงตัวระดับสูง และการเติบโตของอุตสาหปิโตรเคมี       
                โดย Accounting GIM จำนวน 8 เหรียญสหรัฐ บริษัทยังคงยึดบนสมมติฐานราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ระดับ 105 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันราคาน้ำมันจะทยอยปรับตัวลดลง แต่คาดว่าจะสามารถเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งในช่วงไตรมาส 3-4 ตามหน้าซีซั่นที่จะมีความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้น ขณะที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปีนี้ จะมีแนวโน้มเคลื่อนไหวไปในทางที่ดี โดยสะท้อนจากสเปรดของปิโตรเคมีที่ยังทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง
                “ในปี 2556 ประเมิน GIM ไว้ที่ประมาณ 8 เหรียญสหรัฐ บนพื้นฐานราคาน้ำมันเฉลี่ย 105 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ไตรมาส 2 ราคาน้ำมันปรับลดลง แต่จะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3-4 ส่วนปิโตรเคมีก็ยังเคลื่อนไหวไปทางที่ดีและยังมีสเปรดในระดับสูง” นายอธิคม กล่าว
                นายอธิคม กล่าวอีกว่า ภายในช่วงปี 2556 บริษัทยังมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี เช่น การเพิ่มกำลังการผลิตโปรดักส์อย่าง ABS และ EBSM ฝั่งละ 6 หมื่นตัน ซึ่งส่วนต่อขยายของ ABS จะมีกำหนดเดินเครื่องผลิตภายในเดือนก.ค.นี้ จากนั้นในเดือนส.ค. จะเดินเครื่องส่วนต่อขยาย EBSM
                ขณะที่โครงการลงทุนหลักอย่างโปรเจ็กต์ Upstream Project for Hygiene and Value Added Products หรือ UHV ยังคงกำหนดการเดินเครื่องผลิตภายในปี 2558 ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตของโรงกลั่นขึ้นได้อีก 20-30% และเบื้องต้นคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงอีกประมาณ 20%
                สำหรับโครงการลงทุนทั้งหมดจะถือเป็นการอัพเกรดผลิตภัณฑ์และช่วยสร้างการเติบโตให้กับ IRPC ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพราะต้นทุนการผลิตเท่าเดิมและยังมีแนวโน้มทยอยปรับลดลงในอนาคต แต่บริษัทจะมีศักยภาพในการผลิตสินค้าเพื่อรองรับคำสั่งจากตลาดได้สูงขึ้น ซึ่งในระยะสั้นบริษัทให้น้ำหนักแผนการขยายกำลังการผลิตของ ABS และ EBSM ส่วนระยะยาวจะเป็นโครงการ  UHV
                ส่วนกรณีหลายฝ่ายมองว่า IRPC ถือเป็นผู้ประกอบการที่มีต้นทุนการผลิตสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง บริษัทยอมรับว่า IRPC ยังมีต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง จึงเป็นสาเหตุที่บริษัทเร่งวางกลยุทธ์เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง อย่างเช่นแผนการขยายกำลังการผลิต การเร่งควบคุมต้นทุนบริหารจัดการ และการหาช่องทางเพิ่มมูลค่าสินค้าให้กับบริษัท ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้
                อย่างไรก็ตาม แผนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นหลัก เพราะยังถือเป็นสายงานธุรกิจที่มีโอกาสหาช่องทางต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างการเติบโตได้มากกว่ากลุ่มสายธุรกิจด้านน้ำมัน
                ส่วนทิศทางธุรกิจในไตรมาส 2/56 ปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการประเมินสถานการณ์โดยรวม ทั้งส่วนธุรกิจปิโตรเคมีและภาพรวมราคาน้ำมัน แต่เบื้องต้นธุรกิจปิโตรเคมียังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ที่ดี รวมทั้งสเปรดของกลุ่มโอเลฟินส์และสไตรินิกส์ยังเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูง ส่วนธุรกิจน้ำมันอาจมีการบันทึกสต๊อกลอสหลังจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงตามช่วงซีซั่น
                ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานงวดไตรมาสแรกงวดปี 2556 ที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 153 ล้านบาท และมี Accounting GIM อยู่ที่ 7.07 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยสเปรดของกลุ่มโอเลฟินส์อย่าง HDPE–แนฟทาอยู่ที่  521 เหรียญสหรัฐ กลุ่มสไตรินิกส์ ABS–แนฟทาอยู่ที่ 1,051 เหรียญสหรัฐ  ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2555 มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 4,060 ล้านบาท และมี Accounting GIM อยู่ที่ 0.22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

AOTได้ทีบาทแข็ง
สว็อปหนี้หมื่นล้าน
ต้นทุนลด2.9พันล.

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 9 คน 

AOT ฉวยวิกฤติบาทแข็งเป็นโอกาส สว็อปหนี้สกุลเงินเยนก้อนใหญ่สุด 10,000 ล้านบาท ทำให้มูลหนี้หายไป 2,900 ล้านบาท ขณะที่บอร์ดไฟเขียวจ้าง TARCO รับงานส่งน้ำมันผ่านท่อสุวรรณภูมิเฟส พร้อมต่อรองขอส่วนแบ่งรายได้และสัดส่วนหุ้นลมเพิ่มเตรียมรับทรัพย์เพิ่มอีก 60-70 ล้านบาทต่อปี

น.ต.ศิธา ทิวารี ประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ  AOT เปิดเผยว่า การประชุมบอร์ดวานนี้ (29 พ.ค.) คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง รายงานให้ทราบว่าได้ดำเนินการแปลงสกุลหนี้เงินกู้ (สว็อป) จากสกุลเยนเป็นสกุลบาทจำนวน 10,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นหนี้ก้อนใหญ่สุดของ AOT ทำให้สามารถลดภาระหนี้ลงได้ 2,900 ล้านบาท เหลือหนี้ก้อนดังกล่าว 7,100 ล้านบาท แต่  AOT เหลือหนี้เงินกู้ระยะยาวอีกส่วนประมาณ 7,000 ล้านเยน หรือ 2,000 ล้านบาท ยังไม่ได้พิจารณาว่าจะดำเนินการสว็อปหรือไม่อย่างไร
“กรรมการบริหารความเสี่ยงรายงานให้บอร์ดทราบว่าเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นเวลาเหมาะสมมากสำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาท จึงทำการสว็อปหนี้สกุลเงินเยนก้อนใหญ่สุดที่เรามีอยู่ 10,000 ล้านบาท ทำให้หนี้ตรงนี้หายไปทันที 2,900 ล้านบาท ถือเป็นข่าวดีมาก แต่เรายังมีหนี้ก้อนอื่นๆ อีก เช่น เงินกู้ระยะยาวประมาณ 2,000 ล้านบาท ตอนนี้ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะสว็อปหรือไม่” น.ต.ศิธา กล่าว
น.ต.ศิธา  กล่าวต่อว่า บอร์ดมีมติเห็นชอบให้  AOT ว่าจ้างบริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จำกัด (TARCO) รับงานบริการส่งน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านท่อแบบ Hydrant เพื่อรองรับการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 หลังจากที่ TARCO เป็นผู้รับงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 1 อยู่แล้ว โดยให้ใช้อายุสัมปทานรวมกับเฟส 1 ซึ่งได้รับงาน 30 ปี หมดอายุสัญญาปี 2579  โดย TARCO ต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้ AOT 8% ต่อปี หรือประมาณ 15 ล้านบาท
นอกจากนี้ AOT ขอปรับเพิ่มผลจากการรับงานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 1 มีทั้งหมด 120 หลุมจอด จากเดิม TARCO แบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้ AOT 2% ต่อปี 12 ล้านบาท เพิ่มเป็น 5% ต่อปี 23 ล้านบาท และให้ AOT ร่วมถือหุ้น 10% ได้ปันผลประมาณ 15 ล้านบาท  เพิ่มเป็น 25% ได้ปันผลประมาณ 37.5 ล้านบาท ซึ่ง AOT จะได้รับรายได้เพิ่มขึ้นจากรับงานเฟส 1 ของ TARCO จำนวน 60.5 ล้านบาทต่อปี และเมื่อเฟส 2 เปิดให้บริการในปี 2560 รายได้ดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอีก 15 ล้านบาทต่อปี เป็น 75.5 ล้านบาทต่อปี
ก่อนหน้านี้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เสนอขอเป็นผู้รับงานเฟส 2 โดยต้องลงทุนถึง 2,800 ล้านบาท เพราะต้องก่อสร้างท่อส่งน้ำมันใหม่อีก 8-10 กิโลเมตร ขณะที่ TARCO ลงทุนเพิ่มอีก 800 ล้านบาทเท่านั้น เพราะมีท่อส่งน้ำมันบางส่วนอยู่แล้ว AOT จึงเลือก TARCO เป็นผู้รับงาน
น.ต.ศิธา  กล่าวเพิ่มเติมว่า บอร์ดยังมีมติเห็นชอบให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิใช้วิธีจ้างเอกชนรับเหมาซ่อมทางขับและลานจอด จากเดิมที่ AOT ใช้วิธีซ่อมแซมเองแบบชั่วคราว และใช้วัสดุที่ไม่คงทน เนื่องจากเห็นว่าการว่าจ้างเหมาซ่อมจะมีความสะดวกและได้มาตรฐานมากกว่า เพราะผู้รับงานต้องการันตีการซ่อมบำรุงด้วย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทางขับและลานจอดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีการใช้งานหนักมาก และยังไม่เคยปิดซ่อมใหญ่นับแต่เปิดให้บริการเมื่อเดือนกันยายน ปี 2549 ดังนั้น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะเริ่มปิดทางขับและลานจอดบางส่วนด้านฝั่งตะวันออกประมาณกลางเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อดำเนินการซ่อมแซม รวม 110 วัน งบประมาณ 60 ล้านบาท จากนั้นจะเริ่มดำเนินการส่วนที่เหลือซึ่งใช้เวลาประมาณ 200 วัน งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท

ก.ล.ต.ตรวจโบรกฯเข้มจัด

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 6 คน 

ก.ล.ต.เดินสายตรวจเข้มโบรกฯ ล่าสุดลุย “โกลเบล็ก” ห้ามเปิดบัญชีใหม่-เพิ่มวงเงินลูกค้า บังคับทำ KYC อย่างละเอียด พร้อมให้แสดงที่มารายได้ลูกค้า หากไม่มี ให้ถ่ายรูปบ้าน ที่ดิน และรถยนต์แทน “คันทรี่ กรุ๊ป- ฟินันเซีย ไซรัส” โดนก่อนเพื่อน ส่วน “ยูโอบี เคย์เฮียน” เตรียมโดนจัดเต็ม คิวต่อไป 

แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด โดยสั่งห้ามเปิดบัญชีใหม่ ห้ามเพิ่มวงเงิน และบังคับให้เจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เก็ตติ้ง) ต้องทำความรู้จักกับลูกค้า (Know your Client – KYC) และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Client Due Diligence –CDD) แบบเข้มข้น โดยให้เวลาทำให้เสร็จภายใน 2 เดือน
“ก.ล.ต.สั่งให้มาร์เก็ตติ้งทำประวัติลูกค้าที่เปิดบัญชีอยู่แล้ว ขึ้นมาใหม่ และลูกค้าที่ขอเพิ่มวงเงินมาร์จิ้น และบัญชีเงินสด โดยจะขอเอกสารทางการเงิน ที่ต้องแสดงแหล่งที่มาของการเงิน และรายได้อย่างละเอียด ในกรณีที่ลูกค้าไม่สามารถแสดงแหล่งที่มาของรายได้ ก็สามารถนำทรัพย์สินที่เป็นที่อยู่อาศัย ที่ดินเปล่า หรือรถยนต์ มาแสดงเป็นสินทรัพย์ได้” แหล่งข่าว กล่าว
ขณะที่ลูกค้าปัจจุบันที่ไม่สามารถแสดงแหล่งที่มาของรายได้ ก็จะถูกลดวงเงินในการซื้อขายหุ้นลง รวมถึงการลงรายละเอียดที่แจ้งสถานะอาชีพของลูกค้า หากระบุว่าเป็นเพียงแค่ “นักลงทุน” ก.ล.ต.จะให้มาร์เก็ตติ้งกลับไปถามหาอาชีพที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ลูกค้า และจะไม่สามารถลงว่ามีอาชีพนักลงทุนได้
นอกจากนี้ ยังห้ามเปิดบัญชีกับลูกค้ารายใหม่ นานถึง 6 เดือน เนื่องจากก.ล.ต.ต้องเคลียร์บัญชีลูกค้าปัจจุบันให้หมดก่อน ในระหว่างนั้น จะไม่อนุญาตให้เปิดบัญชีใหม่เลย ซึ่งประเด็นดังกล่าวส่งผลกระทบต่อโบรกเกอร์ และนักลงทุนรายใหม่ที่ไม่สามารถเปิดบัญชีได้
ก่อนหน้านี้ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ถูกก.ล.ต.เข้าตรวจไม่นาน โดยมีลักษณะเหมือนกับที่ดำเนินการกับบล.โกลเบล็กอยู่ในขณะนี้ โดยช่วงเดือนกันยายน 2555 ที่ผ่านมา ก.ล.ต.เข้าไปตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และเพิ่งจะทำการเสร็จเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา โดยเพิ่งจะปล่อยให้สามารถทำธุรกรรมได้ตามปกติ ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ก.ล.ต.ตรวจสอบบล.โกลเบล็ก เสร็จแล้ว ก.ล.ต.จะเดินทางไปตรวจบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นสถานที่ต่อไป
สำหรับเหตุผลที่ก.ล.ต.ต้องส่งคนเข้าไปตรวจสอบโบรกเกอร์ต่างๆ เนื่องจากมีความกังวลว่าจะมีการปั่นหุ้นเกิดขึ้น จึงต้องเข้าไปตรวจ แต่ปรากฏว่าไม่สามารถตรวจจับได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ทำให้ต้องมีการเข้มงวดกับเจ้าหน้าที่การตลาด และเจ้าของโบรกเกอร์ โดยสั่งให้โบรกเกอร์ที่ก.ล.ต.เข้าไปตรวจสอบ ต้องทำบทวิเคราะห์หุ้นรายตัวที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 4 อันดับที่ซื้อขายผ่านโบรกเกอร์นั้นๆ
“ก.ล.ต.สั่งให้โบรกเกอร์ทำบทวิเคราะห์หุ้นรายตัว ที่มีวอลุ่มการซื้อขาย 4 อันดับแรกของโบรกเกอร์ แบบสรุปสั้นๆ  เพื่อส่งให้กับนักลงทุนหรือลูกค้าได้อ่าน และหากหุ้นตัวนั้น มีการเก็งกำไรกันมาก และค่าพีอีเกินเกณฑ์ที่กำหนด โบรกเกอร์นั้นต้องแนะนำขายหุ้นนั้นลงไปในบทวิเคราะห์ด้วย  เบื้องต้นในแต่ละสัปดาห์ นักวิเคราะห์ต้องทำบทวิเคราะห์หุ้น 4 ตัวใน 1 สัปดาห์ และถ้าหากหุ้นตัวนั้น เกิดมีวอลุ่มซื้อขายหนาแน่นเกิน 4 สัปดาห์ติดต่อกัน นักวิเคราะห์ต้องทำบทวิเคราะห์ฉบับเต็มออกมา” แหล่งข่าว กล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าการกระทำของก.ล.ต.เป็นการปฏิบัติที่มีมาตรฐาน เนื่องจากจะปฏิบัติเหมือนกันทุกโบรกเกอร์ที่เข้าไปตรวจสอบ  ส่วนจะดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับมุมมอง หากมองในแง่ของทางการก็จะต้องมีการตรวจสอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น แต่หากมองในมุมของผู้ที่ประกอบการธุรกิจค้าหลักทรัพย์อย่างโบรกเกอร์ ก็อาจจะสร้างปัญหาในการเปิดบัญชีลูกค้าใหม่ รวมถึงสิ่งที่จะปฏิบัติกับลูกค้าปัจจุบันด้วย ตรงจุดนี้คงต้องบาลานซ์ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งผู้ตรวจสอบ และผู้ถูกตรวจสอบ

อสังหาฯ-เช่าซื้อตีปีก
รับดอกเบี้ยลง0.25%
‘โต้ง’ย้ำไม่ปลื้ม เหตุลดน้อยและช้า

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 7 คน 

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มแบงก์เช่าซื้อ ยิ้มรับดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% โบรกฯชูหุ้นแบ็กล็อกสูง SIRI-PS เด่นสุดในกลุ่ม ส่วนกลุ่มธนาคาร TCAP-TISCO และ KK รับเต็ม “กิตติรัตน์” มอง กนง.ลดดอกเบี้ยน้อยเกินไป ประคองเศรษฐกิจระยะสั้น

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเมื่อวานนี้ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ถือว่าน้อยเกินไป และช้าเกินไป แต่มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากการปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าวน่าจะทำให้เงินบาทไม่แข็งค่าขึ้นไปอีกในระยะสั้น แต่ในระยะยาวยังต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ต่อไป ซึ่งกระทรวงการคลังจะประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อดูแลในเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์วานนี้ (30 พ.ค. 56) ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อาร์พี) ลง 0.25% จาก 2.75% มาอยู่ที่ 2.50% หลังจากตรึงอัตราดอกเบี้ยมาตั้งแต่เดือนต.ค. 55
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อาจเห็นการพลิกตัวกลับมาเป็นบวกของหุ้นหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากกฎเกณฑ์ทุกอย่างออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ในแง่ของการลงทุนต้องกลับมาดูเรื่องผลประกอบการของแต่ละบริษัท ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ย จะส่งผลให้การโอนทำได้ง่ายขึ้น การปฏิเสธสินเชื่อน้อยลง ดังนั้น แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่มียอดขายรอโอน (Backlog) ที่อยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่โดดเด่นจะเป็นบริษัทที่มีแบ็กล็อก ได้แก่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ให้ราคาเป้าหมาย 5.30 บาท และบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS ให้ราคา 34.50 บาท โดยทั้ง 2 บริษัทมียอดขายรอโอนรวมกันเกือบ 1 แสนล้านบาท
รองลงมาคือ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI ให้ราคา 24 บาท  และบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ให้ราคา 10.81 บาท ซึ่งมีแบ็กล็อกสูงรวม 5-6 หมื่นล้านบาท อีกทั้งแนวโน้มในการสร้างกำไรที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/56 และในไตรมาส 4/56
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS เปิดเผยว่า กรณีที่ กนง.มีมติเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี จากระดับ 2.75% ต่อปี เหลือ 2.50% ต่อปี มองว่าจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 2% ทำให้ผู้บริโภครับภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านลดลง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมไปถึงเป็นการช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ บรรเทาภาระต้นทุน และเป็นการชะลอการปรับราคาขายบ้าน อย่างไรก็ดี บริษัทเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่า 
ด้านนายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า การลดอัตราดอกเบี้ยของกนง. ในครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของปี มองว่ายังไม่มีผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์มากนัก เนื่องจากอัตราที่ลดลงมายังน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ยังต้องรอดูว่าธนาคารพาณิชย์จะปรับลดตามไปด้วยหรือไม่
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า การที่กนง.ลดดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยไม่มีผลกระทบเชิงบวกหรือลบในแง่ของผลการดำเนินงาน แต่มีผลต่อสเปรดที่ลดลงเท่านั้น เชื่อว่าธนาคารจะมีวิธีหารายได้เพิ่มขึ้นทั้งสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียม
ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มแบงก์ปรับฐานลงมาพอสมควรจึงเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์เก็บไว้ ซึ่งหุ้นกลุ่มแบงก์ใหญ่ที่ยังแนะนำ คือ BBL ให้ราคาเป้าหมาย 260 บาทต่อหุ้น และ KTB ให้ราคาเป้าหมาย 28.50 บาทต่อหุ้น ส่วนหุ้นกลุ่มขนาดกลาง คือ KK ให้ราคาเป้าหมาย 74.50 บาทต่อหุ้น และ TCAP ให้ราคาเป้าหมาย 55 บาทต่อหุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้หุ้นในกลุ่มธนาคารมีบวกเพียง 2 ตัว คือ TCAP ขึ้นมา  1.25 บาท ปิดที่ 47.75 บาท และ TISCO บวก 0.25 บาท ปิดที่ 52.75 บาท ขณะที่หุ้น KK ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่า แบงก์ด้านเช่าซื้อจะได้รับประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามามากขึ้น จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวว่า ธนาคารจะพิจารณาทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร ซึ่งจะรู้ผลภายใน 1-2 วันนี้ หลังที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.75% มาอยู่ที่ 2.50% หลังจากตรึงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนต.ค. 55
ด้านนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร BBL กล่าวว่า การที่ กนง.ลดดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นเพียงการตอบสนองต่อการที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/56 ชะลอตัวลง เนื่องจากการส่งออกเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายหลังได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก แต่การปรับลดในระดับ 0.25% ยังไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคให้ปรับฟื้นตัวขึ้นได้
นอกจากนั้น เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่ลดอัตราดอกเบี้ยลงใกล้ 0% จะเห็นได้ว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยยังสูงกว่าประเทศอื่น และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งนี้คงไม่กระทบเงินออมมากนัก เพราะลดลงในอัตราไม่มาก
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า กนง.ปรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ถือว่าไม่มาก และไม่ได้ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
ในส่วนของผู้กู้ก็จะทำให้มีเงินมาจ่ายเงินต้นมากขึ้น ซึ่งอัตราที่ลดลง 0.25% ขณะนี้ถือว่าเป็นอัตราที่เหมาะสม และคงมีบ้างที่จะช่วยสกัดเงินทุนไหลเข้ามา เพราะส่วนต่างแคบลง เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศอยู่ที่ 0.25% แต่อัตราดอกเบี้ยในประเทศขณะนี้ลดลงมาเหลือ 2.50% ที่สำคัญต่างชาติยังได้ส่วนต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่
ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคาร หรือ Inter bank นั้นสามารถลดได้ทันที และเมื่อลดลงก็จะส่งผลต่อการทำกำไรระยะสั้นของแบงก์ด้วย สำหรับมุมมองของลูกหนี้ถือว่าจะมีศักยภาพในการชำระหนี้ดีขึ้น แม้ว่าปัจจุบันดีอยู่แล้วสังเกตได้จากยอดเอ็นพีแอลในปัจจุบันลดลง


    

     
    หั่นอาร์พี0.25% รับศก.แผ่ว
                         *** "โต้ง"อัด กนง.ลดน้อยและช้าเกินไป -หุ้นดิ่ง 17 จุด 

          กนง.หั่นดอกเบี้ยอาร์/พีลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.50% รับมือ ศก.ชะลอตัว หลังไตรมาสแรกจีดีพีโตต่ำกว่าที่คาด "โต้ง"ระบุ ลดน้อยและช้าเกินไป ชะลอเงินบาทแข็งค่าได้แค่ช่วงสั้น ล่าสุดอ่อนตัวลงแตะ 30.23 บาท/ดอลล์ ส่วนตลาดหุ้นไทยดิ่งหนัก 17 จุด หลังนักลงทุนต่างชาติเทขายทำกำไร 4.5 พันล้านบาท เหตุเงินบาทอ่อนค่ากดดัน ด้านโบรกฯ ประเมินกลุ่มแบงก์-เช่าซื้อ-อสังหาฯ รับผลบวกมากสุด โดยเฉพาะ KBANK มีเงินฝากออมทรัพย์สูง ส่วน TISCO-TCAP- KK มีพอร์ตเช่าซื้อมาก


*** กนง.ลดดอกเบี้ยอาร์/พี ลง0.25% ตามคาด 
          นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมกนง.ว่า คณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากเดิมที่ 2.75% เป็น 2.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ เนื่องจากประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้แม้จะยังคงขยายตัว เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานในเกณฑ์ดี แต่มีความเสี่ยงมากขึ้นจากตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1/56 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์มาก 
          ขณะเดียวกันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐที่จะทยอยดำเนินการหากมีความล่าช้าเกิดขึ้นอาจส่งผลถึงแรงส่งทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีได้ ขณะเดียวกันแนวโน้มการส่งออกมีความเสี่ยงมากขึ้นจากเศรษฐกิจภูมิภาคที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะประเทศจีน ขณะที่แรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อน้อยลงจากปัจจัยด้านต้นทุน ซึ่งถือว่ายังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ดังนั้น นโยบายการเงินจึงสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้เพื่อลดความเสี่ยงต่อการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ ภายใต้ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินที่ยังมีอยู่
         ' เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ของปีนี้ขยายตัวต่ำกว่าคาดจากอุปสงค์ในประเทศ อาจกระทบต่อแรงส่งของเศรษฐกิจในระยะต่อไปได้ โดยเฉพาะหากมีความล่าช้าในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และแนวโน้มการส่งออกก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจภูมิภาคที่ชะลอลง ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อน้อยลงและยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย คณะกรรมการจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง' นายไพบูลย์ กล่าว

*** ยันมีเครื่องมือดูแลความเสี่ยงด้านสินเชื่อ-ปัญหาหนี้หลังดอกเบี้ย 
          ทั้งนี้ กนง.ยืนยันว่ามีความพร้อมในการดูแลความเสี่ยงในทุกด้าน ทั้งการขยายตัวของสินเชื่อและปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ภายใต้สถานการณ์ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง แต่ทั้งนี้จำเป็นจะต้องพิจารณาความเหมาะสมของแต่ละสถานการณ์ ซึ่งคณะกรรมการ กนง.ได้ให้ความสำคัญและแสดงความห่วงใยถึงสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด 
          อย่างไรก็ดี การดำเนินนโยบายนั้นจะต้องพิจารณาน้ำหนักปัจจัยหลายด้านประกอบกัน ทั้งเศรษฐกิจ เสถียรภาพราคา เสถียรภาพการเงิน ซึ่งรวมถึงสินเชื่อและหนี้ครัวเรือน และราคาสินทรัพย์ต่างๆ โดยต้องชั่งน้ำหนักถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
          ' เรามีความพร้อมในการดูแลความเสี่ยงทุกด้าน แต่จะใช้ความจำเป็นของสถานการณ์ เรื่องสินเชื่อและหนี้ครัวเรือนเรายังให้ความสำคัญ และติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ว่าการดำเนินนโยบายจะต้องชั่งน้ำหนักหลายปัจจัย ซึ่งดูแล้วว่าการลดดอกเบี้ยลง 0.25% ตอนนี้ เหมาะกับการดูแลสถานการณ์ของเศรษฐกิจ' นายไพบูลย์ กล่าว

*** หุ้นร่วง 17 จุด-เงินบาท 30.21 บาท/ดอลล์
          ด้านความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นวานนี้ ทันทีที่เปิดตลาด ดัชนีฯ ร่วงลง 7-8 จุด ก่อนที่จะรีบาวน์ขึ้นมา และช่วงท้ายตลาดก็ไม่สามารถปรับขึ้นมาในแดนบวกได้ แต่กลับร่วงลงมากกว่าเดิมจากแรงขายในช่วงท้ายตลาด ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,601.61 จุด ลดลง -17.96 จุด หรือ -1.11% มูลค่าการซื้อขาย 61,256.61 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธ 4,544.90 ล้านบาท 
          ส่วนค่าเงินบาทปิดตลาดวานนี้ที่ 30.19-30.21 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากที่เปิดตลาดในช่วงเช้า จากเหตุผลหลักคือ ตอบรับข่าวที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ประกอบกับทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้เงินบาทและค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคอ่อนค่าลง โดยระหว่างวันอ่อนค่าสุดที่ 30.23 บาทต่อดอลลาร์ และแข็งค่าสุดที่ 30.10 บาทต่อดอลลาร์ 

*** โบรกฯ ชี้ SET ร่วงเพราะลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาด 
          นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธการลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า การที่ตลาดหุ้นปรับลดลงประมาณ 7 จุดในช่วงเปิดตลาดภาคบ่าย เชื่อว่าตอบรับข่าวที่ กนง.ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% แต่เป็นการตอบรับในเชิงผิดหวังกับการที่ กนง.ลดลงต่ำกว่าที่คาด โดยก่อนหน้านี้มีหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า กนง.อาจจะปรับลดลงได้ถึง 0.50% แต่เมื่อออกมาไม่เป็นไปตามที่คาดทำให้มีแรงขายออกมา

*** ชี้เม็ดเงินจะโยกจากตลาดเงินสู่ตลาดทุน 
          แต่ทั้งนี้ เชื่อว่าแรงขายดังกล่าวเป็นเพียงแรงขายในระยะสั้นเท่านั้น เพราะเชื่อว่าในระยะถัดไปแรงซื้อของนักลงทุนจะกลับเข้ามาและส่งผลให้ดัชนีปรับเพิ่มขึ้น จากการที่ผลตอบแทนในตลาดเงินปรับลดลงตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นผู้ฝากเงินจะโยกมาในตลาดทุนเพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น ดังนั้นจึงเชื่อว่าในปีนี้เป้าหมายดัชนีจะอยู่ที่ 1,686 จุด ตามที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี 
          ' ในเชิงทฤษฎีหากลดดอกเบี้ยอาร์พีลงจะส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของเม็ดเงินในประเทศ โดยเงินทุนจะมูฟจากตลาดเงินเข้าสู่ตลาดทุนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นในตลาดสูงขึ้นจากระดับปัจจุบัน เหตุผลคือดอกเบี้ยในตลาดเงินต่ำลงทำให้คนโยกเงินมาสู่ตลาดทุน ผู้ที่มีเงินออมส่วนเกินจะยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นได้มากกว่าที่จะฝากแบงก์และได้ดอกเบี้ยต่ำลง' นายปริญทร์ ระบุ
          ทั้งนี้ จากแนวโน้มดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นจากการโยกเงินภายในประเทศ เชื่อว่าจะได้เห็น 1,686 จุดเร็วเกินคาด โดยน่าจะเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย.นี้ จากเหตุผลหลักคือ แรงดึงดูดของการลงทุนในตลาดหุ้นย่านเอเชียยังคงดี ประกอบกับการโยกเม็ดเงินจากตลาดเงินเข้าสู่ตลาดทุน 
          กลยุทธการลงทุน สำหรับนักลงทุนระยะสั้นเน้นขึ้นขายลงซื้อ ส่วนนักลงทุนระยะกลางและระยะยาวเน้นอ่อนตัวให้ทยอยซื้อ โดยเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแกร่ง สามารถเข้าไปเลือกได้ในทุกกลุ่มและพิจารณาหุ้นที่มีการจ่ายปันผลในระดับที่ดีต่อเนื่อง 

*** 'กิตติรัตน์' ระบุชะลอบาทแข็งในระยะสั้น-ลดน้อยไป 
          นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง กล่าวถึง มติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)วันนี้ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%ว่า เป็นการปรับลดที่น้อยเกินไป และช้าเกินไป แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีการปรับลดดอกเบี้ย 'มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา'
          นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า เชื่อว่าจากการปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าว น่าจะทำให้เงินบาทไม่แข็งค่าขึ้นไปอีกในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ต่อไป ซึ่งกระทรวงการคลังพร้อมจะประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เพื่อดูแลในเรื่องนี้ 

*** ส.อ.ท.ผิดหวังอยากให้ลด 0.50% 
          นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.75% เหลือ 2.50% ต่อปีนั้น ผิดไปจากที่ ส.อ.ท.คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับลดลง 0.50% แต่ยังอยู่ในวิสัยที่รับได้และไม่ผิดหวังแต่อย่างใด ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยระดับนี้คงพิจารณาแล้วว่าเพียงพอที่จะดูแลระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ และคงจะทยอยปรับลดลงได้อีก
          'การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งนี้ นับเป็นการดีที่แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันของภาครัฐที่ดูแลเศรษฐกิจของประเทศประสานกันทั้งนโยบายการเงินและการคลัง และยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า ทุกฝ่ายเห็นข้อมูลเศรษฐกิจที่ตรงกันว่าเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและปัญหาเงินบาทแข็งค่ากระทบต่อเศรษฐกิจไทย'
          นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า ส.อ.ท.จะติดตามดูผลจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ครั้งนี้ต่อไป ส่วนเงินบาท แม้ขณะนี้อ่อนค่าลงมาอยู่ในระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์ แล้วก็ตาม แต่ยังคงแข็งค่ากว่าช่วงต้นปีนี้อีก 2% ยังไม่สะท้อนระดับที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งทางการค้าเต็มที่ เพราะต้องเป็นอัตราที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะกับประเทศคู่แข่งขันทางการค้าในอาเซียนด้วยกัน อีกทั้งยังมีคู่แข่งอย่างจีน อินเดีย และบังกลาเทศ
          ' สิ่งที่ ส.อ.ท. ต้องการคือ ให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และเงินบาทมีเสถียรภาพและมีค่าเงินที่เกาะกลุ่มเทียบเคียงกับประเทศคู่แข่งขัน 14 ประเทศได้'

*** นายแบงก์ชี้ ลด 0.25% กระตุ้น ศก.แค่ระยะสั้น 
          นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยถึงกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% โดยในเบื้องต้นเชื่อว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง. เป็นการตอบสนองในระยะสั้นจากตัวเลขเศรษฐกิจของสภาพัฒน์ที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ชะลอตัว ซึ่งเชื่อว่าการที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำ ไม่ได้ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจน สะท้อนได้จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายในหลายประเทศก็อยู่ในระดับที่ต่ำ และไม่สามารถลดลงได้อีก เศรษฐกิจก็ยังไม่มีอัตราการเจริญเติบโต ดังนั้นจึงเห็นว่ากรณีที่อัตราดอกเบี้ยต่ำก็ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจน 
          'ใครเชื่อว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นส่วนช่วยให้เศรษฐกิจโต ถือว่าเป็นการสอดคล้องกับความเชื่อมั่น หลังจากเศรษฐกิจไม่คึกคักเพราะตัวเลขของสภาพัฒน์ก็ได้ประกาศออกมา แต่การลดอกเบี้ยในครั้งนี้คงเป็นการตอบสนองในระยะสั้นเท่านั้น แต่ไม่ขอประเมินว่าเป็นทิศทางดอกเบี้ยขาลงหรือไม่ เพราะเป็นมติของกนง. และในส่วนของธนาคารก็คงจะต้องมาหารือกันอีกที ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนทิศทางดอกเบี้ยอย่างไร หลังจากที่กนง. มีมติมาแล้ว" นายโฆสิต กล่าว 

*** BBL รับลูก ธปท.เตรียมลดดอกเบี้ยในอีก 1-2 วันนี้ 
          นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวถึง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง.ลง 0.25% มีผลในวันนี้ว่า ในส่วนของธนาคารกรุงเทพ กำลังพิจารณาน่าจะเห็นใน 1-2 วันนี้ ซึ่การปรับลดอัตราอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าว ถือว่าเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ 

*** กลุ่มเช่าซื้อ-แบงก์-อสังหาฯรับอานิสงส์
          นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การที่ กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% จะส่งผลบวกต่อหลายกลุ่มอุตสาหกรรม แต่กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับผลบวกชัดเจนมากที่สุดน่าจะเป็นกลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 
          โดยในกลุ่มเช่าซื้อจะได้รับประโยชน์จากการที่ต้นทุนระดมเงินถูกลง แต่รายได้จากดอกเบี้ยยังคงที่จากการที่ลูกค้าผ่อนชำระในอัตราคงที่จากการทำสัญญาของการเช่าซื้อ ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะได้รับผลบวกในเชิงของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง โดยเฉพาะดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่จะเห็นผลในทันที ทำให้ต้นทุนในการระดมเงินถูกลง ซึ่งธนาคารที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด คือธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เพราะมีสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์ในระดับสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน 
          นอกจากนี้ เป็นธนาคารที่มีพอร์ตเช่าซื้อมากเช่น KK TISCO TCAP จะได้ประโยชน์เต็มที่เพราะดอกเบี้ยส่วนใหญ่จะเป็นแบบคงที่ ทำให้ผลตอบแทนปรับลดลงช้ากว่าธนาคารอื่น ที่ไม่มีพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ หรือมีในระดับที่ไม่สูงมาก

*** KBANK รับประโยชน์มากสุด เพราะมีเงินฝากออมทรัพย์สูง 
          ขณะที่นักวิเคราะห์กลุ่มธนาคารพาณิชย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวเพิ่มเติมในเรื่องนี้ว่า กลุ่มธนาคารมีโอกาสได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์ เพราะแม้ว่าในด้านของดอกเบี้ยเงินกู้ที่จะต้องปรับลดลงในทันที กรณีดอกเบี้ยที่เป็นแบบ MLR หรือดอกเบี้ยแบบลอยตัว ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนที่ได้จากการปล่อยสินเชื่อลดลง แต่ด้านของเงินฝากจะมีบางส่วนที่เป็นเงินฝากแบบคงที่ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการปรับลดดอกเบี้ยลง ก็พอจะชดเชยในส่วนของผลตอบแทนจากเงินกู้ที่ลดลงทันทีได้
          ส่วนกรณีของ KBANK หากพิจารณาในฝั่งของเงินฝาก จะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะมีสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์มากถึง 67% ที่เหลือเป็นเงินฝากประจำ และสัดส่วนดังกล่าว ยังสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมที่มีสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์ 46% 
          นางสาวธีรดา กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในแง่มุมของราคาหุ้นทั้ง 3 กลุ่มนี้จะพบว่า กลุ่มเช่าซื้อและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างปรับขึ้นไปมากแล้ว ดังนั้นจึงต้องเลือกซื้อเป็นรายตัว โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บริษัทเลือก SPALI LH เนื่องจากมีงานในมือสูง ราคาหุ้นยังมี upside ส่วนเช่าซื้อแนะนำ TK ทยอยซื้อได้ ราคาพื้นฐาน 21.50 บาท 
          ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ราคาหุ้นในปัจจุบันยังปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดรวม จึงยังมีความน่าสนใจอยู่ในระยะยาว เพราะหุ้นกลุ่มนี้จะอิงกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ เพราะเมื่อใดที่มีการขยายการลงทุนจะทำให้สินเชื่อขยายตัวตามได้ดี

   
 
 "SCB" คาด กนง. คงดอกเบี้ย 2.50% ถึงสิ้นปี...
ไทยพาณิชย์คาดกนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2.50% ลากยาวถึงสิ้นปี ห่วงฟองสบู่อสังหาฯ-หนี้ครัวเรือน





ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายคงอยู่ที่ระดับ 2.50% จนถึงสิ้นปี หนี้ครัวเรือนและความเสี่ยงในภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมมีไม่มากนัก
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีราว 5% แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่ำกว่าที่คาดในไตรมาสแรกก็ตาม โดยการส่งออกที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว และการลงทุนภาครัฐที่ยังขยายตัวไปตามคาดจะเป็นแรงส่งเพิ่มเติมให้แก่เศรษฐกิจไทยในปีนี้
ในวันนี้ (29 พ.ค.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 basis points (bps) จาก 2.75% เหลือ 2.50% แต่ ธปท. ยังกังวลความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินรวมไปถึงเงินทุนเคลื่อนย้าย การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอาจเป็นการเร่งการขยายตัวของสินเชื่อ ซึ่งหากอยู่ระดับที่สูงเกินไปจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินได้
นอกจากนี้เงินทุนเคลื่อนย้ายจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของประเทศสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงินที่ธปท.ให้ความสนใจเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ธปท.อาจมีการใช้มาตรการ Macroprudential เพิ่มเติม เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และสินเชื่อภาคครัวเรือนขยายตัวสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการกำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น การลดอัตราส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value: LTV) ลงสำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป เพื่อชะลอความร้อนแรงในการเก็งกำไรที่อยู่อาศัยและลดความเสี่ยงในการเกิดฟองสบู่



ที่มา: BangkokBizNews

เตือน “การเมือง-คิวอี” อาจกดดันหุ้นไทย Q3 ร่วงได้ถึง 100 จุด คาดลงไปตั้งหลักที่ระดับ 1,500 จุด

ชื่อ:  F5DBCD4D6AEB4544A40E215F5BCE4877.jpg
ครั้ง: 1876
ขนาด:  123.1 กิโลไบต์


“บล.กสิกรไทย” ชี้ “การเมือง-คิวอี” กดดันหุ้นไทย Q3 ร่วงได้ถึง 100 จุด ลงไปตั้งหลักที่ระดับ 1,500 จุด แต่คาดว่า Q4 ดัชนีอาจเด้งกลับได้ ยอมรับ “บอนด์ช็อก” กระทบเม็ดเงินนอกแผ่ว เม็ดเงินเก่าไหลออก ส่วนเม็ดเงินใหม่ชะงักไม่ไหลเข้า ขณะที่กำไร บจ. ช่วงกลางปีมักอยู่ในภาวะซบเซา ส่วนภาวะหุ้นภาคเช้าปิดบวก 3 จุด แรงซื้อบิ๊กแคปพยุงดัชนี

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย ยังมีความผันผวนจากปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศ โดยปัจจัยในประเทศ ต้องจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25 โดยเชื่อว่าจะไม่กระทบตลาดหุ้น หาก กนง. ตัดสินใจตามตลาดคาดการณ์ แต่ต้องติดตามมาตรการอื่นๆ ที่อาจจะออกมาดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่จะร้อนแรงจากภาวะดอกเบี้ยต่ำ จนเกิดภาวะฟองสบู่ในอนาคต

โดยเบื้องต้น หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์อาจปรับตัวลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากการลดอัตราดอกเบี้ย แต่ผลประกอบการยังอยู่ในเกณฑ์ดี จึงทำให้หุ้นจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามประเด็นทางการเมืองที่จะกลับมาร้อนแรงอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินในคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้น และเศรษฐกิจไทย ประกอบกับตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 2 น่าจะขยายตัวได้เพียงร้อยละ 4 ต่ำกว่าไตรมาส 1 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.3 รวมทั้งกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วงไตรมาส 2-3 จะเป็นช่วงที่กำไรต่ำที่สุด

ดังนั้น จึงมีหลายปัจจัยที่กดดันตลาดอยู่ ประเมินว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มปรับลดลงประมาณร้อยละ 5-10 จากระดับ 1,600 จุดในปัจจุบัน หรือประมาณ 100 จุด โดยมีแนวรับสำคัญที่ 1,550 จุด และ 1,500 จุด ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนระยะกลางสามารถเข้าสะสมหุ้นเพื่อลงทุนได้ แต่ บล.กสิกรไทย ยังคงเป้าหมายดัชนีปลายปีที่ 1,700 จุด โดยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 โดยหุ้นที่น่าสนใจยังเป็นหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคในประเทศ และธนาคารพาณิชย์
สำหรับปัจจัยภายนอกมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะยุติมาตรการอัดฉีดเงิน (คิวอี) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วกว่ากำหนด ทำให้นักลงทุนกังวลว่ากะแสเงินทุนต่างชาติจะไหลออก และเม็ดเงินต่างชาติใหม่ที่จะเข้ามาจะชะลอตัวลงด้วย จึงได้มีการเทขายทำกำไรออกมา โดยเห็นได้ชัดจากการปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เทขายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แต่คาดว่าแรงเทขายน่าจะชะลอตัวลง เพราะเชื่อว่าเฟดจะไม่เรียกเงินคืนทั้ง 100% ในทันที

สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีปิดครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,623.01 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.44 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.21% มูลค่าการซื้อขาย 28,176.35 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อในกลุ่มบิ๊กแคปพยุงดัชนี

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์