วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558

JASใจป้ำปันผล10สต. ยิ้มQ3กำไรพุ่ง883ล้าน

JASใจป้ำปันผล10สต.
ยิ้มQ3กำไรพุ่ง883ล้าน

2015-10-30 12:00:00
ผู้เข้าชม : 9

“JAS” ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.10 บาท ขึ้น XD วันที่ 11 พ.ย. 58 กำหนดจ่ายวันที่ 27 พ.ย. 58 ขณะที่งบ Q3/58 โชว์กำไรสุทธิโต 36% แตะ 883 ล้าน ลูกค้าใหม่เพิ่มกว่า 1 แสนราย ดันลูกค้า 3BB สิ้น Q3/58 พุ่ง 1.95 ล้านราย 

นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า วานนี้ (29 ต.ค. 58) ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดจากกำไรสุทธิของบริษัท สำหรับงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค.-30 ก.ย. 2558 ในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 713.35 ล้านบาท โดยได้กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD หรือผู้ซื้อไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผลวันที่ 11 พ.ย. 2558 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 พ.ย. 2558
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/58 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 786 ล้านบาท และเมื่อรวมกับกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) สุทธิ จำนวน 277 ล้านบาท จากการส่งมอบทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงเพิ่มเติมให้กับ JASIF ในไตรมาส 3/58
ขณะที่เมื่อหักรายการบันทึกการตั้งสำรองของบริษัท จำนวน 181 ล้านบาท แบ่งเป็นบันทึกสำรองการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 121 ล้านบาท, บันทึกสำรองหนี้สงสัยจะสูญของ บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTTBB จำนวน 57 ล้านบาท โดย TTTBB มีการเปลี่ยนการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้ที่มียอดค้างชำระจากเดิม 6 เดือน เป็น 3 เดือน และบันทึกสำรองประมาณการหนี้สินตามแผนฟื้นฟูกิจการเพิ่มขึ้นอีก จำนวน 3 ล้านบาท
ดังนั้น ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3/58 จำนวน 883 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 235 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/57 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 648 ล้านบาท แต่ลดลงจำนวน 124 ล้านบาท หรือลดลง 12% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/58 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 1,007 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวมในไตรมาส 3/58 จำนวน 4,081 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 967 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/57 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่จำนวน 3,114 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTTBB
สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการของบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ในไตรมาส 3/58 มีจำนวนเพิ่มขึ้นสุทธิ 100,112 ราย (Net Additional Subscriber) เพิ่มขึ้น 36,688 ราย หรือเพิ่มขึ้น 58% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/57 ที่มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นสุทธิอยู่ที่ 63,424 ราย และเพิ่มขึ้น 2,085 ราย หรือเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/58 ที่มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นสุทธิอยู่ที่ 98,027 ราย ทำให้จำนวนลูกค้าที่ใช้บริการ 3BB ณ สิ้นไตรมาส 3/58 มีจำนวนทั้งสิ้น 1.95 ล้านราย
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 14,661 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,276 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 515% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,385 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 28,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19,586 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 214% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 9,166 ล้านบาท

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

SCCยันปีนี้นิวไฮ กำไร4หมื่นล้าน รับปิโตรฯขาขึ้น

SCCยันปีนี้นิวไฮ กำไร4หมื่นล้าน รับปิโตรฯขาขึ้น

2015-10-29

“ปูนใหญ่” การันตีกำไรสุทธิปีนี้นิวไฮเกิน 4 หมื่นล้าน รับอานิสงส์ธุรกิจปิโตรเคมีขาขึ้น สเปรดผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับสูง ลั่นกำไรสุทธิ Q4 ดีกว่า Q3 ที่ทำได้ 9 พันล้าน เดินหน้าขยายลงทุนตลาดอาเซียนต่อเนื่อง เล็งเสนอขายหุ้นกู้หมื่นล้านบาท
         นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า มั่นใจกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตเป็นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งคาดว่าจะทำได้มากกว่า 40,000 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว จำนวน 33,951 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่จำนวน 440,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ จำนวน 490,000 ล้านบาท เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ลดลงประมาณ 20-30%
         โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/58 จะเติบโตกว่าไตรมาส 3/58 ที่มีกำไรสุทธิ 9,001 ล้านบาท เนื่องจากมีโอกาสที่จะมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ และคาดว่าราคาน้ำมันมีโอกาสจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวจึงคาดว่าจะมีการบริโภคน้ำมันสูงขึ้น ส่วนราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีคาดว่าจะปรับลดลงด้วยเช่นกัน แต่เบื้องต้นมองว่ากำไรสุทธิจะเติบโตกว่าแน่นอน
         รวมถึงประเมินว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์จะอยู่ที่ 700-750 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งมากกว่าปีก่อนที่อยู่ระดับ 682 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยเชื่อว่าราคาปิโตรเคมีในอีก  2 ปีข้างหน้า ตั้งแต่ปี 2559-2561 จะมีผลกำไรที่ดี เนื่องจากจะยังไม่ผลิตกำลังผลิตใหม่เข้าสู่ระบบ อีกทั้งแนวโน้มราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ
         สำหรับแนวโน้มความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศในปีนี้มีโอกาสที่จะเติบโตอยู่ในระดับ 0% หรือเป็นบวกในรูปแบบของจุดทศนิยม โดยประเมินว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในหลายด้าน รวมถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ยอดการใช้ปูนซีเมนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ถึงแม้ว่าในไตรมาส 3/58 จะติดลบ 1% แต่เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ภายในไตรมาส 4/58
         นายกานต์ กล่าวถึงความคืบหน้าการโครงการลงทุนในต่างประเทศว่า ขณะนี้โรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศกัมพูชาสามารถเดินเครื่องในสายการผลิตที่สองแล้ว ซึ่งมีขนาดกำลังผลิต 9 แสนตันต่อปี ขณะที่โรงงานปูนซีเมนต์ที่ประเทศอินโดนีเซีย จะสามารถเริ่มผลิตได้ภายในปีนี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบกำลังการผลิตได้ครบตามกำหนดไว้ที่ 50,000 ตันต่อวันแล้ว รวมถึงบริษัทได้เตรียมพร้อมสำหรับการขายสินค้าแล้ว
        ส่วนโรงงานปูนซีเมนต์ที่ประเทศเมียนมาร์ จะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 2559 และสปป.ลาว คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 2560 สำหรับโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ที่ประเทศเวียดนาม คาดว่าจะสามารถจัดหาผู้รับเหมาก่อสร้างได้ภายในสิ้นปีนี้ และจะสามารถสรุปงบลงทุนโครงการได้ภายในปี 2559 ซึ่งเบื้องต้นจากเดิมได้เคยวางงบลงทุนไว้จำนวน 4,500 เหรียญสหรัฐ
        ขณะเดียวกันคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) มีมติให้ออกและเสนอหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2558 (SCC19NA) จำนวนไม่เกิน 10,000  ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.40% โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ จะนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ SCC15NA จำนวน 10,000 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 พ.ย. 2558 โดยเสนอขายให้กับนักลงทุนที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้ของเอสซีจีเมื่อรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่จะออกแล้ว จะมีวงเงินหุ้นกู้ที่ออกรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 166,500  ล้านบาท
        นอกจากนี้บริษัทประกาศแต่งตั้งนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ และให้พ้นจากตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ แทนนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งจะครบกำหนดเกษียณอายุ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ทั้งนี้จะมีผลตั้งแต่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
        สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3/58 บริษัทกำไรสุทธิจำนวน  9,001 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน ตามส่วนต่างราคาของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาสนี้ยังคงมีผลการดำเนินงานโดยรวมที่ดี แม้ว่าในไตรมาสนี้จะมีขาดทุนจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำรวม 3,630 ล้านบาท (ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ จำนวน 2,160 ล้านบาท และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 1,470 ล้านบาท)
        ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2558 บริษัทมีรายได้จากการขายจำนวน 333,992 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 33,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37%  จากปีก่อน ขณะที่ธุรกิจของบริษัทในอาเซียน ซึ่งรวมรายได้จากฐานการผลิต และการส่งออกไปอาเซียน โดยในไตรมาส 3/58 มีรายได้จำนวน 24,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งมาจากยอดขายในประเทศเวียดนามที่เพิ่มขึ้น ส่วน 9 เดือนมีรายได้ 74,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน
        ด้านธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายในไตรมาส 3/58 จำนวน 43,570 ล้านบาท ลดลง 6% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 2,073 ล้านบาท ลดลง 33% จากปีก่อน จากความต้องการภายในประเทศที่ลดลง ส่วน 9 เดือนแรกมีรายได้จากการขาย จำนวน 136,314 ล้านบาท ลดลง 3% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ จำนวน 8,527 ล้านบาท ลดลง 20%  จากปีก่อน จากการฟื้นตัวของตลาดภายในประเทศ
        ด้านธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้ในไตรมาส 3/58 จำนวน 51,591 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 6,838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% จากปีก่อน เนื่องจากราคาเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงอย่างมากตามราคาน้ำมัน สำหรับ  9 เดือนแรกมีรายได้จำนวน 153,183 ล้านบาท ลดลง 19%  ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 135% จากปีก่อน
        ส่วนธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง มีรายได้ไตรมาส 3/58 จำนวน 18,217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 645 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน ขณะที่ 9 เดือนแรกมีรายได้จากการขาย จำนวน 52,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิจำนวน 2,287 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อน
        นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) โดยในช่วง  9 เดือนของปีนี้มียอดขายสินค้าจำนวน 124,072 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 37% ของรายได้รวม และเพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน โดยบริษัทยังคงเป้าหมายที่จะให้สัดส่วนเพิ่มเป็น 50% ของรายได้รวม สำหรับสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้สินค้า SCG eco value มียอดขาย 87,954 ล้านบาท 

  • 2015-07-31 12:00:00 - SCCซื้อเป้า590บาทปีนี้กำไรเกิน4หมื่นล้าน:ครึ่งปีพุ่ง 2.49 หมื่นล้าน ปันผล 7.50 บาท
  • หุ้นเครือสามารถรูดหนัก มาร์เก็ตแคปวูบ3พันล้าน ปัดพัวพันคดี “ปรากรม”-ติดตั้งวิทยุฯตามหนังสือตำรวจ

    หุ้นเครือสามารถรูดหนัก
    มาร์เก็ตแคปวูบ3พันล้าน
    ปัดพัวพันคดี “ปรากรม”-ติดตั้งวิทยุฯตามหนังสือตำรวจ

    2015-10-29 12:00:00
    ผู้เข้าชม : 7

    หุ้นเครือสามารถฯ SAMART-SAMTEL-SIM ราคารูดหนัก มาร์เก็ตแคปหายกว่า 3,000 ล้านบาท หลังตำรวจตั้งข้อหาพัวพัน  “ปรากรม”ในคดีม.112 ขณะที่บริษัทชี้แจงติดตั้งวิทยุสื่อสาร ตามหนังสือร้องขอจากกองตำรวจสื่อสารฯวันที่ 16 ก.ค.58 เพื่อย้ายอุปกรณ์ระบบวิทยุ DTRS ยันไม่มีส่วนเกี่ยวพันกับ “ปรากรม”แต่อย่างใด
             ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (28 ต.ค.)  ราคาหุ้นกลุ่มสามารถคอร์ปอเรชั่น ปรับตัวลงอย่างรุนแรง นำโดยบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART ปิดตลาด 21.10 บาท ปรับตัวลง 2.10 บาท หรือ 9.05% บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ SAMTEL ปิดตลาด 19.60 บาท ปรับตัวลง 0.90 บาท หรือ 4.39% และบริษัท สามารถ-ไอโมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM ปิดตลาด 1.57 บาท ปรับตัวลง 0.07 บาท หรือ 4.27% ทำให้มูลค่าตลาด(Market Cap)หายไปประมาณ 3,000 ล้านบาท
            กรณีดังกล่าวเกิดจากพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนคดีม.112 แถลงว่า พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา อดีตสารวัตรกองบังคับการปราบปราม เป็นผู้ต้องหาข้อหาร่วมกับบริษัท สามารถเทเลคอม จำกัด ตั้งสถานีวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาต
             นางสาวกนกวรรณจันทร์สว่างภูวนะผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรบริษัทสามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ SAMART ชี้แจงว่าตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่าบริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ SAMTEL มีส่วนร่วมการตั้งสถานีวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาตและขอสนับสนุนหมายเลขโทรศัพท์เลขสวยจากกสทช.นั้น บริษัทขอปฏิเสธเนื้อหาตามข่าวทั้งหมดและใคร่ขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้คือ บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด  (มหาชน) หรือ SAMTEL ได้รับการร้องขอความอนุเคราะห์ จากกองตำรวจสื่อสารสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ลงวันที่ 16 กรกฏาคม 2558 ลงเลขที่ตร.๐๐๓๓.๒๒/๕๐๘  ย้ายอุปกรณ์ระบบวิทยุ DTRS จากสถานีตำรวจนครบาลบึ่งกุ่ม มาติดตั้งบนอาคารใบหยกทาวเวอร์ 2 เพื่อสนับสนุนกิจกรรมจักรยานเทิดพระเกียรติ (Bike for MOM)
              โดยจะใช้เป็นระบบวิทยุสื่อสารหลักของการรักษาความปลอดภัย และอำนวยการจราจรในงาน ที่มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ปฏิบัติและใช้งานวิทยุ DTRS เป็นจำนวนมาก และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองตำรวจสื่อสาร ผู้ใช้วิทยุระบบนี้มีสถานีฐานแบบประจำติดตั้งไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบึ่งกุ่มที่มีช่องสัญญาณมากกว่าสถานีฐานแบบเคลื่อนที่ ดังนั้นกองตำรวจสื่อสาร จึงได้ขอความอนุเคราะห์มายังบริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) ให้ทำการย้ายอุปกรณ์สถานีฐานของวิทยุ DTRS จากสถานีตำรวจนครบาลบึ่งกุ่มมาติดตั้งบนอาคารใบหยกทาวเวอร์ 2 เพื่อทำให้การรับส่งสัญญาณวิทยุ DTRS มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ทางบริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการและส่งมอบงานตามที่ได้รับมอบหมายเรียบร้อยแล้วและขอยืนยันว่าบริษัทมิได้ทำการใดๆ นอกเหนือจากที่ได้รับมอบหมายและไม่ได้กระทำการใดๆ ที่เป็นความผิดทางกฎหมายดังกล่าว
             นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์  และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ  (กสทช.) กล่าวว่า จากกรณีพ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา อดีตสารวัตรกองบังคับการปราบปราม ตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหาที่พ.ต.ต.ปรากรม แอบอ้างเบื้องสูงขอสนับสนุนหมายเลขโทรศัพท์เลขสวยจากกสทช.นั้น กสทช.ได้มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไปก่อนหน้านี้แล้ว

    วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

    จอร์จ โซรอส ลงทุนหุ้นถ่านหิน !!

    จอร์จ โซรอส ลงทุนหุ้นถ่านหิน !!

    Click image for larger version

Name: โซรอส.png
Views: 1
Size: 252.3 กิโลไบต์
ID: 215767

    ?Money is made by discounting the obvious and betting on the un-expected? 
    ช่วงนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ราคาถ่านหินโลกร่วงอย่างรุนแรงจากราคาสูงสุด 140 เหรียญ ลงมาสู่ระดับที่ 40 เหรียญ ทำให้อุตสาหกรรมถ่านหินเข้าสู่ยุคตกต่ำ หุ้นที่ทำธุรกิจถ่านหินย่ำแย่กันเกือบทั่วโลก ถ้าพูดถึงในประเทศไทยก็คงจะเป็นหุ้น Banpu ที่ราคาหุ้นตกลงจาก 80 บาท ลงมาเหลือเพียงแค่ 20 บาทต้นๆเท่านั้น(ปรับการแตกพาร์แล้ว) ด้วยราคาถ่านหินที่ตกลงมา ทำให้ผลประกอบการของบ้านปูไม่ดีเท่าที่ควร และนักวิเคราะห์ก็คาดกันว่าอาจจะมีผลขาดทุนได้ ถ้าเรายังไม่เห็นราคาถ่านหินกระเตืองขึ้นไปได้อีก

    ในขณะที่หุ้นถ่านหินเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับนักลงทุนโดยทั่วไป แต่ก็ต้องมีนักลงทุนระดับโลกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่(อาจจะ)มองจังหวะนี้เป็นโอกาสในการลงทุนหุ้นถ่านหิน คนผู้นั้นก็คือ จอร์จ โซรอส นักลงทุนและผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับโลกอย่างควอนตั้มฟันด์ เจ้าของระบบคิดทฤษฏีการสะท้อนกลับที่ดังไปทั่วโลก ด้วยอายุ 85 ปี ผ่านประสบการณ์ด้านการลงทุนมาอย่างโชกโชนไม่แพ้วอเร็น บัฟเฟตต์ อาจจะไม่รวยเท่า แต่เขาก็ติดทำเนียบมหาเศรษฐีอันดับที่ 19 ด้วยทรัพย์สินสุทธิมากกว่า 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าการลงทุนของเขาก็มีนำหนักให้สื่อและประชาชนทั่วไปหันมาสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

    จอร์จ โซรอส ได้ซื้อหุ้นถ่านหิน 2 ตัวนั้นคือ หุ้น Arch Coal และหุ้น Peabody Energy ซึ่งทั้งสองบริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกาเจ้าของสัมปทานเหมืองถ่านหินในออสเตรเลียและอินโดนีเซีย ราคาหุ้นก็ดูไม่จืดเช่นกันครับ อย่าหุ้น Arch Coal มีผลประกอบการขาดทุนและไม่มีการจ่ายปันผล ราคาหุ้นร่วงจาก 390 เหรียญเหลือเพียง 4 เหรียญเท่านั้น ในขณะเดียวกันหุ้น Peabody Energy ก็ประสบปัญหาไม่แพ้กันนั้นคือขาดทุนอย่างหนัก ราคาหุ้นตกจาก 1,000 เหรียญเหลือแค่ 25 เหรียญเท่านั้น ถ้าเทียบกับหุ้น Banpu ในประเทศไทยนี้ถือว่าเป็นเด็กไปเลยครับ เพราะอย่างน้อยบริษัทก็ยังจ่ายปันผลให้กับคนถือหุ้นบ้าง 
    Click image for larger version

Name: Coal DJIA.png
Views: 1
Size: 214.5 กิโลไบต์
ID: 215766
    Click image for larger version

Name: 
Views: 2
Size: 21.2 กิโลไบต์
ID: 215765
    ราคาถ่านหินโลกร่วงอย่างรุนแรง จนทำให้บริษัทที่ทำธุรกิจถ่านหินย่ำแย่กันทั่วโลก ไม่เพียงแต่ในประเทศไทย
    เรามาดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นทั้งสองตัวกันครับ ย้อนหลัง 5 ปี

    Click image for larger version

Name: 
Views: 2
Size: 32.7 กิโลไบต์
ID: 215763


    Click image for larger version

Name: 
Views: 2
Size: 34.1 กิโลไบต์
ID: 215764


    จริงๆแล้ว จอร์จ โซรอส ไม่เคยประกาศออกสื่อว่าเขาซื้อหุ้นถ่านหิน เพียงแต่มีนักข่าวติดตามเกาะกระแสเขาอยู่จึงทราบและตีพิมพ์ออกมาเป็นข่าว จนถึงบัดนี้โซรอสเองก็ไม่เคยออกมาพูดผ่านสื่่อแสดงความเห็นทางด้านการลงทุนของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    ก่อนหน้านี้ตอนที่ราคาถ่านหินอยู่ในระดับสูง โซรอสถูกเชิญจากสถานี Bloomberg ไปสัมภาษณ์ข่าวเกี่ยวกับมุมมองทางการลงทุน เขาประกาศว่ากำลังสนใจในธุรกิจ "พลังงานสะอาด" ขาดว่าจะลงทุนในธุรกิจตัวนี้ด้วยวงเงินประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ต่อไปพลังงานถ่านหินจะถูกต่อต้านจากคนจำนวนมาก มันสกปรก และสร้างมลภาวะทางอากาศอีก เขายังได้เข้าร่วมกลุ่มต่อต้านการใช้ถ่านหินในสหรัฐอเมริกา โดยบอกว่ามันเป็นพลังงานชั้นต่ำที่จะสร้างให้อเมริกาเป็นดินแดนแห่งหมอกควัน

    นักลงทุนจำนวนมากรู้สึกไม่เข้าใจว่าโซรอสคิดอะไรอยู่ มหาเศรษฐีผู้เลอะเลือนคนนี้อยากจะเสียเงินจากตลาดหุ้นมากสินะ ใครๆก็กำลังลงทุนในธุรกิจถ่านหิน มันจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ เมื่อน้ำมันหมดโลกไปแล้ว ถ่านหินจะราคาแพงเทียบเท่ากับน้ำมัน .. กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ความจริง ราคาถ่านหินร่วงอย่างรุนแรง เศรษฐกิจจีนไม่ดี นำเข้าถ่านหินน้อยลง อีกทั้งยังสกปรกอีกด้วย ใครๆก็ต่อต้าน จะสร้างก็ได้นะแต่ต้องไม่ใช่แถวบ้านผม นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่อง Shale gas พลังงานที่คาดว่าจะมาแทนถ่านหิน แถมยังมีปริมาณมากกว่าถ่านหินอีกด้วย แล้วพวกเราก็เข้าสู่ยุครุ่งเรืองของพลังงานสะอาด ใครๆก็ลงทุนในโซล่าร์ฟาร์ม ขอเพียงแค่ประกาศว่า บริษัทเรา "กำลังคิด" อยู่ หุ้นก็พร้อมจะวิ่งระเบิด

    สื่ออเมริกากล่าวหาว่าจอร์จ โซรอสเป็นพวก "มือถือสาก ปากถือศีล" ทั้งที่ไม่นานมานี้ได้ออกมาประกาศว่าเขาต่อต้านการใช้ถ่านหิน แต่ตัวเขากลับลงทุนหุ้นถ่านหินเสียเอง ไม่แน่ว่าโซรอสอาจจะออกมาประกาศผ่านสื่อว่า เทคโนโลยีเราก้าวหน้าไปไกลทำให้การใช้ถ่านหินจะไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ ถ่านหินกลายเป็นพลังงานสะอาดไปแล้ว ...
    อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าธุรกิจถ่านหินจะสร้างผลกำไรให้กับผู้ที่ลงทุนหรือเปล่า แต่การคิดต่างกับคนส่วนใหญ่ สร้างเศรษฐีมานักต่อนักแล้ว ต้องรอดูกันต่อไปครับ

    วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

    กทค.ร่นประมูลคลื่น900 เร็วขึ้น1เดือน12พ.ย.นี้ 4 ค่ายมือถือคุณสมบัติผ่านฉลุย! พร้อมลงสนาม

    กทค.ร่นประมูลคลื่น900 เร็วขึ้น1เดือน12พ.ย.นี้ 4 ค่ายมือถือคุณสมบัติผ่านฉลุย! พร้อมลงสนาม

    กทค.ร่นวันประมูลคลื่น 900 MHz เร็วขึ้นเป็น 12 พ.ย.นี้ จากเดิม 15 ธ.ค. 58 จ่อคิวต่อจากคลื่น 1800 MHZ ที่ประมูล 11 พ.ย. 58 มั่นใจคลอดใบอนุญาต 4G ได้ พ.ย. 58 และเริ่มเปิดให้บริการม.ค. 59 ล่าสุดประกาศ 4 เอกชนค่ายมือถือ “ADVANC-DTAC-TRUE-JAS” ผ่านคุณสมบัติเข้าร่วมประมูลได้ 

    นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กิจการโทรคมนาคม (กทค.) เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2558 ที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมมีมติเลื่อนวันประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz เร็วขึ้นเป็นวันที่ 12 พ.ย. 2558 จากเดิมกำหนดไว้วันที่ 15 ธ.ค. 2558 ต่อจากคลื่นความถี่ 1800 MHz ที่จะจัดประมูลในวันที่ 11 พ.ย. 2558 พร้อมทั้งมีมติให้แจ้งการเลื่อนประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบต่อไป
    ทั้งนี้ จะสามารถออกใบอนุญาตทั้งคลื่นความถี่ 1800 MHz และ 900 MHz ให้แล้วเสร็จภายในเดือนพ.ย. 2558 ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค เนื่องจากกสทช.จะสามารถนำเงินรายได้จากการประมูลคลื่นส่งรัฐได้เร็วขึ้น เบื้องต้นคาดว่าจะมีรายได้ส่งรัฐไม่ต่ำกว่า 73,379 ล้านบาท และคาดว่าผู้ประกอบการสามารถเปิดให้บริการทั้ง 2 คลื่นได้ภายในเดือนม.ค. 2559 รวมถึงมีเม็ดเงินของผู้ประกอบการลงทุนเพื่อให้บริการประมาณ 160,000 ล้านบาท จากการขยายโครงข่ายให้บริการ
    ส่วนงบประมาณในการจัดประมูลทั้ง 2 คลื่นความถี่ กสทช.จะหักจากรายได้หลังการประมูลเสร็จสิ้น คาดว่าใช้งบประมาณดังกล่าวอยู่ที่ 110 ล้านบาท แบ่งเป็นการประชาสัมพันธ์จำนวน 64 ล้านบาท, การจ้างให้สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU ทำการสำรวจ วิเคราะห์ข้อมูลตลาดและหาราคาคลื่นจำนวน 30 ล้านบาท และการจัดจ้างบริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT ซึ่งดูแลจัดการประมูลจำนวน 16 ล้านบาท หลังจากหักค่าใช้จ่ายเรียบร้อยแล้ว กสทช.จะนำส่งรายได้ที่เกิดขึ้นให้เป็นรายได้แผ่นดินทันที
    “คลื่น 900 MHz เปิดให้ยื่นซองประมูลในวันที่ 22 ต.ค.นี้ และจะสามารถประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติที่มีสิทธิเข้าร่วมการประมูลได้ไม่เกินวันที่ 7 พ.ย.นี้ และรับรองผลการประมูลได้ภายในวันที่ 19 พ.ย.นี้ ต่อจากรับรองผลประมูลคลื่น 1800 MHz วันที่ 18 พ.ย.นี้” นายฐากร กล่าว
    สำหรับคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz กำหนดให้มีการประมูลจำนวน 2 ใบอนุญาต ใบอนุญาตละ 10 MHz และกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตต้องกำหนดการจัดให้มีโครงข่ายเพื่อให้บริการอย่างน้อย 50% ภายใน 4 ปี และไม่น้อยกว่า 80% ภายใน 8 ปี เพื่อเป็นการประกันการใช้งานคลื่นความถี่และให้มีการกระจายบริการให้ทั่วถึงเพิ่มขึ้น
    โดยราคาขั้นต่ำในกรณีที่มีผู้เข้าร่วมการประมูลมากกว่า 2 ราย จะอยู่ที่ 12,864 ล้านบาทต่อใบอนุญาต เคาะราคาเพิ่มครั้งละ 5% คิดเป็น 644 ล้านบาท ทำให้เคาะราคาครั้งแรกราคาประมูลจะอยู่ที่ 13,508 ล้านบาท ส่วนกรณีที่มีผู้เข้าร่วมน้อยกว่า 2 ราย ราคาเริ่มต้นประมูลจะอยู่ที่ 16,080 ล้านบาท เคาะราคาเพิ่มครั้งละ 2.5% คิดเป็น 322 ล้านบาท ทำให้เคาะราคาครั้งแรกราคาประมูลจะอยู่ที่ 16,402 ล้านบาท
    นอกจากนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขมาตรการทางสังคมและการคุ้มครองผู้บริโภคเมื่อเปิดให้บริการแล้วอัตราค่าบริการทั่วไปจะต้องถูกลงกว่าอัตราค่าบริการเฉลี่ยของอัตราค่าบริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1GHz ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันทุกแพ็กเกจจากที่อัตราค่าบริการเสียงเฉลี่ยอยู่ที่ 0.69 บาทต่อนาที และอัตราค่าบริการดาต้าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.26 บาทต่อเมกะบิต และต้องมีแพ็กเกจพิเศษที่มีราคาถูกกว่าปกติสำหรับผู้มีรายได้น้อย ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส
    ขณะเดียวกันที่ประชุมยังอนุมัติรายชื่อผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติการเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 1800 MHz ตามที่คณะทำงานได้ทำการตรวจสอบแล้ว 4 ราย คือ ได้แก่ 1.บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด บริษัทในเครือ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC 2.บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด บริษัทในเครือบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ DTAC 3.บริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด  บริษัทในเครือบมจ.ทรู คอปอร์เรชั่น หรือ TRUE และ 4.บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด บริษัทในเครือบมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JAS

  • 2015-10-09 12:00:00 - TRUEลุ้นงบ9เดือนสวยกำไรกระฉูด3,372 ล้านมาร์เก็ตแชร์พุ่ง 19.7% ซื้อเป้า 13.50 บาท
  • JASลุ้นQ3แจ่ม! กำไรพุ่งพันล้าน ลูกค้าใหม่ทะลัก

    JASลุ้นQ3แจ่ม! กำไรพุ่งพันล้าน ลูกค้าใหม่ทะลัก

    2015-10-14
    JAS งบไตรมาส 3/58 แจ่ม! คาดมีกำไรสุทธิโต 63% แตะ 1.06 พันล้านบาท หลังบันทึกกำไรขายทรัพย์สินเข้ากองทุนฯ 297 ล้านบาท ลูกค้าใหม่เพิ่ม 9.96 หมื่นราย ดันฐานลูกค้าพุ่ง 1.95 ล้านราย   
    บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จํากัด (มหาชน) ประเมินว่า กำไรสุทธิช่วงไตรมาส 3/58 ของบริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS จะอยู่ที่ 1,060 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% จากไตรมาส 3/57 และเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 2/58 โดยมีการบันทึกกำไรขายทรัพย์สินจำนวน 297 ล้านบาท จากส่งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF ประมาณ 22,500 คอร์กิโลเมตร เท่ากับช่วงไตรมาส 2/58
    ขณะเดียวกันหากหักรายการบันทึกกำไรขายทรัพย์สินดังกล่าว คาดว่า JAS มีกำไรปกติในไตรมาส 3/58 อยู่ที่ 763 ล้านบาท ลดลง 17% จากไตรมาส 3/57 แต่เพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาส 2/58 แม้รายได้จากธุรกิจบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตจะเติบโตตามจำนวนลูกค้า แต่ผลกระทบต้นทุนสูงขึ้นจากค่าเช่า JASIF และต้นทุนขยายโครงข่ายและพื้นที่ให้บริการ ทำให้ GPM และ EBITDA margin ฟื้นตัวเล็กน้อยจากไตรมาส 2/58 เป็น 40.6% และ 29.8% ตามลำดับ
    โดยคาดรายได้รวมไตรมาส 3/58 อยู่ที่ 3,569 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาส 3/57 และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาส 2/58 มีปัจจัยหนุนจากธุรกิจบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตคาดว่ามีรายได้อยู่ที่ 3,245 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาส 3/57 และเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 2/58 ตามจำนวนลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น 99,600 ราย เพิ่มขึ้น 57% จากไตรมาส 3/57 และเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาส 2/58 ทำให้มีจำนวนลูกค้าทั้งสิ้น 1.95 ล้านราย เพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาส 3/57 และเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 2/58 ส่วน ARPU คาดใกล้เคียงไตรมาส 2/58 ที่ 640 บาท
    นอกจากนี้ คาดว่า JAS จะจ่ายค่าเช่า JASIF ประมาณ 1,210 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/58 รวมทั้งมีต้นทุนการขยายโครงข่ายเพื่อส่งมอบ JASIF และขยายพื้นที่ให้บริการ FTTX ระดับอำเภอ ทำให้ต้นทุนบริการปรับขึ้นใกล้เคียงรายได้
    ขณะที่ GPM ฟื้นตัวจากไตรมาส 2/58 ได้จำกัด โดยคาดไตรมาส 3/58 มี GPM อยู่ที่ 40.6% จาก 62.9% ในไตรมาส 3/57 และ 40.4% ในไตรมาส 2/58 ทั้งนี้ การบริหารค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ทำให้คาดว่าค่าใช้จ่าย SG&A มีอัตราเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/58 น้อยกว่ารายได้ ส่งผลให้ EBITDA margin ดีขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 29.8% จาก 54.5% ในไตรมาส 3/57 และ 29.1% ในไตรมาส 2/58
    ทั้งนี้ แจส โมบาย บรอดแบนด์ ซึ่ง JAS ถือหุ้น 100% เป็น 1 ใน 4 บริษัทที่ผ่านคุณสมบัติเข้าร่วมประมูลคลื่น 1800 MHz ตาม Guidance ผู้บริหารตั้งเป้าหมายปีแรกมีจำนวนลูกค้า 1 ล้านราย, ARPUเฉลี่ย 600 บาท เน้นตลาด Postpaid ส่วนเงินลงทุนตั้งไว้ที่ 25,000-35,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใบอนุญาต 15,000-20,000 ล้านบาท, ค่าอุปกรณ์ 4G 10,000-15,000 ล้านบาท ไม่รวมเสา
    ดังนั้น ประเมินกรณีดีสุด การลงทุนบนคลื่น 1800 MHz จะสร้างราคาเป้าหมายส่วนเพิ่มประมาณ 0.90 บาท จากราคาเป้าหมายปัจจุบัน อิงสมมติฐานค่าใบอนุญาต 15,912 ล้านบาท (เท่ากับราคาเริ่มต้น), มีจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 120,000 รายต่อปี (เท่ากับลูกค้าใหม่ต่อปี ของธุรกิจ Fixed Broadband) และมีค่าเช่าเสา 1,200 ล้านบาทต่อปี (เช่า 5,000 เสา ค่าเช่า 20,000 บาทต่อเดือน)
    ส่วนกรณี Downside จะเกิดจากค่าใบอนุญาตสูงกว่าราคาเริ่มต้น และลูกค้าเริ่มต้นปีแรกต่ำกว่า 700,000 ราย (40% ของลูกค้า Fixed Broadband) ในมุมมองคาดว่า JAS จะไม่ชนะประมูลคลื่น และมองว่าการสร้างฐานลูกค้าเริ่มต้นปีแรก 1 ล้านราย ไม่ง่ายในตลาด Mobile broadband ที่ต้องแข่งขันรุนแรงกับ Operator ทั้ง 3 ค่าย
    อย่างไรก็ตาม ให้ราคาเป้าหมายของ JAS อยู่ที่ 5.80 บาท โดยมองว่าปัจจัยพื้นฐานของ JAS จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากลงทุนธุรกิจใหม่ Mobile Broadband ขณะที่แนวโน้มกำไรปกติช่วงครึ่งปีหลังปี 2558 ไม่น่าตื่นเต้น ส่วนปี 2559 คาดกำไรปกติเติบโต 14% จากฐานต่ำในปีนี้ ขณะที่ EBITDA margin คาดฟื้นตัวจำกัดจากค่าเช่า JASIFสูงขึ้น 10% จากปี 2558 เป็น 4,700 ล้านบาท

  • 2015-09-04 12:00:00 - ดันJASแรงเป้า7บาทจูงใจแห่แปลงสิทธิW3:วอลุ่มเทรดพุ่งกระฉูด 3,258 ล้านบาท