Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง
1 พฤศจิกายน 2556
----------------------------------------------------------------------------


ชื่อ:  มอนิ่ง.jpg
ครั้ง: 309
ขนาด:  7.3 กิโลไบต์



General News


• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีปรับลดลงมาอยู่ที่ 7.0 จุด จาก 7.1 จุดในเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นผลจากความกังวลเกี่ยวกับประเด็นการเมือง หลังพรรคร่วมรัฐบาลเดิมของนายกรัฐมนตรี แองเจล่า เมอร์เคิล ไม่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาในสภา ทำให้ต้องเจรจากับพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมสายกลางเพื่อจัดตั้งรัฐบาล

• อัตราการว่างงานยูโรโซนเดือน ก.ย. อยู่ที่ระดับ 12.2% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและวิกฤตหนี้ยุโรป แม้เศรษฐกิจกำลังจะเริ่มฟื้นตัวก็ตาม ทั้งนี้ อัตราการว่างงานในสเปนไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 26.6% อัตราการว่างงานในอิตาลีเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12.5% และอัตราการว่างงานของเยอรมนีลดลงมาอยู่ที่ 5.2%

• ธ.กลางของสหรัฐฯ อังกฤษ ญี่ปุ่น แคนาดา สวิสเซอร์แลนด์ และธ.กลางยุโรป เตรียมทำข้อตกลงสว็อบสกุลเงินระหว่างกันภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน เพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินสำคัญของโลก และควบคุมความผันผวนของสกุลเงินแต่ละประเทศ

• FED มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0-0.25% และคงโครงการซื้อสินทรัพย์ในวงเงินปัจจุบันที่ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและการจ้างงานขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 26 ต.ค. ลดลง 10,0000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 340,000 ราย ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 339,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 350,000 ราย

• สหรัฐฯขาดดุลงบประมาณในปี 2013 ลดลงเหลือ 680.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากที่เคยขาดดุล 1.09 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจฟื้นตัวและการจ้างงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น

• "บาร์เคลย์ส" ธนาคารขนาดใหญ่ของอังกฤษ อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบกรณีเข้าแทรกแซงการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินและการปั่นอัตราดอกเบี้ย LIBOR ขณะที่ "ดอยช์ แบงก์" ธนาคารรายใหญ่ของเยอรมนี “ยูบีเอส” ธนาคารของสวิตเซอร์แลนด์ และ “รอยัลแบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์” หรือ อาร์บีเอสของอังกฤษอยู่ระหว่างถูกตรวจสอบเกี่ยวกับการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินสกุลต่างๆเช่นกัน

• ธนาคารขนาดใหญ่ 4 แห่งของจีนมีหนี้เสียเพิ่มขึ้น 3.5% ซึ่งสูงสุดนับแต่ปี 2010 หลังมีการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นจนส่งผลให้เกิดกำลังการผลิตส่วนเกิน ซึ่งกดดันความสามารถในการทำกำไร และอาจทำให้รัฐบาลเพิ่มมาตรการควบคุมการลงทุนในอุตสาหกรรมซีเมนต์และกระดาษ รวมถึงอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินสูงเพื่อป้องกันการเกิดหนี้เสียเพิ่ม (ธนาคาร 4 แห่งดังกล่าว ได้แก่ Industrial & Commercial Bank of China Ltd., China Construction Bank Corp., Agricultural Bank of China Ltd. และ Bank of China Ltd. โดยมีหนี้เสียรวมกันอยู่ที่ 329.4 พันล้านหยวน (54 พันล้านดอลลาร์))

• เอ็ตซูโร ฮอนดะ ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ เสนอให้รัฐบาลญี่ปุ่นลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากระดับ 37% ให้เหลือ 29% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และให้สอดคล้องกับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ยังเห็นว่าค่าจ้างแรงงานในญี่ปุ่นควรเพิ่มขึ้นเกิน 1% ในปี 2014 เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากจะมีการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งจะกระทบต่อการใช้จ่ายผู้บริโภค

• ธ.กลางญี่ปุ่น (BOJ) คงวงเงินมาตรการซื้อหลักทรัพย์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไว้ที่ระดับ 60-70 ล้านล้านเยน (711 พันล้านดอลาร์) ต่อปี และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ใกล้เคียงระดับ 2% ตามกรอบเป้าหมายที่กำหนดในปีงบประมาณ 2015 ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนเม.ย.ปีหน้า

• ดัชนี PMI ภาคการผลิตญี่ปุ่นเดือน ต.ค. ขยายตัวสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี สู่ระดับ 54.2 จุด บ่งชี้ว่าอุปสงค์ภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะยอดการสั่งซื้อใหม่ที่ปรับสูงขึ้น

• ชาร์ป คอร์ป มีผลกำไรจากการดำเนินงานในช่วงเดือน เม.ย.-ก.ย. ที่ 3.382 หมื่นล้านเยน ซึ่งเป็นผลจากยอดขายจอ LCD ที่ปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางเงินเยนที่อ่อนค่า หลังจากที่บริษัทประสบภาวะขาดทุน 1.6890 แสนล้านเยนในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

• คนงานอินโดนีเซียทั่วประเทศเกือบ 3 ล้านคน เริ่มผละงานประท้วงเป็นเวลา 2 วัน เพื่อเรียกร้องให้มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ หลังจากเงินเฟ้อสูงขึ้นจนเป็นเหตุให้ค่าครองชีพปรับสูงขึ้น

• ธปท. เผย ดัชนีอุปโภคบริโภคเอกชนเดือน ก.ย.ติดลบ 6.1% ส่วน ไตรมาส3/56 ติดลบ 2.1%จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายสินค้าคงทนที่ยังคงหดตัว และการใช้จ่ายในสินค้าไม่คงทนที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง สะท้อนจากยอดจำหน่ายยานยนต์ และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่ชะลอตัว ขณะที่ปริมาณการใช้เชื้อเพลิงชะลอลง

• ธปท.ประเมินการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 เติบโตเป็นบวกจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าจะยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นผลจากภาคการส่งออกที่ฟื้นตัว แม้ว่าการส่งออกในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาจะขยายตัวได้เพียง 0.2% เท่านั้น

• ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธ.ไทยพาณิชย์ (EIC) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้ 3.4% ในปี 2013 และ 4.5% ในปี 2014 โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2013 ที่ต่ำกว่าการประมาณการเดิม เนื่องจาก 1) การส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปีขยายตัวได้เพียง 0.1% ซึ่งต่ำกว่าที่คาด 2) การบริโภคภาคเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหมวดยานยนต์ชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด และ 3) การใช้จ่ายภาครัฐต่ำกว่าเป้าหมายทั้งในส่วนของการลงทุนในงบประมาณ และการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่นอกงบประมาณ สำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2014 นั้น ปัจจัยสนับสนุนหลักจะมาจากการส่งออกที่ EIC ประเมินว่าจะขยายตัวได้ 8% โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากนี้เศรษฐกิจในปี 2014 ยังจะได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่น่าจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น

• ก.พาณิชย์ เตรียมทบทวนเพิ่มสัดส่วนเงินทุนจดทะเบียนร้านทอง หลังพบว่า ผู้ค้าทองคำบางรายมีทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท แต่กลับมีมูลค่าการซื้อขายทองคำต่อวันสูงถึง 100 ล้านบาท และยังพบความผิดปกติจากกรณีต่างชาติมาใช้ชื่อคนไทยจดทะเบียนนิติบุคคลอีกด้วย นอกจากนี้จะให้มีการรายงานการครอบครองทองคำในแต่ละวัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการฉ้อโกงในอนาคตระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเหมือนกับประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย และมาเลเซีย ที่เกิดความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ

Equity Market


• SET Index ปิดที่ 1,442.88 จุด เพิ่มขึ้น 11.76 จุด (+0.82%) ด้วยมูลค่าซื้อขาย 37,547 ล้านบาท ดัชนีฯมีความผันผวนเนื่องจากปัจจัยทางการเมืองเป็นประเด็นหลัก หลังมีการ นำ พ.ร.บ. นิรโทษกรรมเข้าสู่การพิจารณาในสภาฯ เพื่อโหวตวาระ 2 ท่ามกลางการออกมาผู้ชุมนุมของกลุ่มต่อต้านต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

• ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดที่ระดับ 2,141.61 จุด ลดลง 18.85 จุด หรือ -0.87 % ซึ่งเป็นผลมาจากนักลงทุนขายหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน หลังธนาคารขนาดใหญ่ 4 แห่งของจีนมีอัตราส่วนหนี้เสียเพิ่มขึ้น และขายหุ้นกลุ่มเภสัชภัณฑ์ หลังผลการดำเนินงานออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม

กลุ่มนักลงทุน ล้านบาท



นักลงทุนสถาบัน -633.02
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ -79.12
นักลงทุนต่างชาติ -1,589.82
นักลงทุนทั่วไป 2,301.96

Fixed Income Market

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 0.00 ถึง +0.06% มูลค่าการซื้อขาย 53,114 ล้านบาท สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตร ธปท. อายุ 14 วัน วงเงิน 30,000 ล้านบาท

• รัฐบาลไทย มีแผนออกพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ปีละ 1,000-1,500 ล้านดอลลาร์ ต่อเนื่องนาน 10 ปี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการระดมทุนโครงสร้างพื้นฐาน และสร้างฐานตลาดบอนด์ของไทยในต่างประเทศ

• ธ.ออมสิน คาดว่า ยอดเงินฝากของธนาคารฯในสิ้นปีนี้จะทำได้ประมาณ 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10-20% โดยในช่วง 9 เดือนมียอดเงินฝากแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท