ตั้งแต่เปลี่ยนใจเทเงินหมดเป๋าให้ “หุ้นพื้นฐาน” พอร์ตติดจรวดพุ่งพรวด 40% ในช่วง 3 ปี “บอม” ธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์ เอ็มดี “มิลล์คอน สตีล"
ชื่อ:  news_img_516879_1.jpg
ครั้ง: 1313
ขนาด:  24.8 กิโลไบต์

“ขอคำปรึกษาเรื่องหุ้นจากผู้ใหญ่รับรองไม่มีขาดทุน” 


“บอม” ธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ “มิลล์คอน สตีล” (MILL) ในฐานะเพื่อนสนิทและพี่เขย “หมู” สิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล บุรุษวัย 35 ที่รู้จักการลงทุนในตลาดหุ้นมาตั้งแต่อายุ 16 ยังคงยึดคอนเซปต์นี้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน

หนุ่มนักเรียนนอกศิษย์เก่า University of California at Berkeley กำเงินลงทุนที่แม่ให้มาไม่ถึงหลักแสนบาท ไปลองเล่นหุ้นเมื่อปี 2536 ช่วงนั้นเขายังเรียนอยู่เพียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเห็น “น้าชาย” สุเทพ (ไม่เปิดเผยนามสกุล) และ “คุณพ่อ” ธีระศักดิ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์” ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ “เสี่ยปู่” สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล และ “เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์ ประสบความสำเร็จในการลงทุน

หุ้น นวนคร (NNCL) คือ หุ้นตัวแรก เขาซื้อตามคนในครอบครัว แม้จะ “เล่นไม่เป็น” แต่เขาก็ได้กำไรนิดหน่อยพอให้ชื่นใจ ก่อนจะหายไปพักใหญ่ และกลับมาอีกครั้งในปี 2544 คราวนี้มาพร้อมเงิน 3 ล้านบาท เปิดพอร์ตลงทุนกับบล.กิมเอ็ง แบ่งเป็นเงินพอร์ตเดิมของคุณพ่อที่โอนมาให้ 1 ล้านบาท ที่เหลือเป็นเงินของแม่ และเงินสะสมของตัวเองตั้งแต่สมัยเรียนในสหรัฐอเมริกา

หวนคืนสังเวียนรอบนั้น!! เขาทยอยช้อนหุ้นพื้นฐาน ไล่มาตั้งแต่หุ้น ปตท.(PTT) ซื้อ 70 บาท ขาย 75 บาท หุ้น อะโรเมติกส์ (ATC) ซื้อ 25 บาท ขาย 50-60 บาท หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อย่อเป็น INTUCH ซื้อ 13-14 บาท ขาย 20 บาท รวมแล้วในพอร์ตจะมีหุ้นราว 7-8 ตัว ก่อนจะปรับสัดส่วนการลงทุนมาเป็นหุ้นพื้นฐาน 10-20% และหุ้นเสี่ยงสูง 70-80%

“เซียนหุ้นหนุ่ม” เพิ่งค้นพบสไตล์การลงทุน “ถูกใจใช่เลย” เมื่อ 5-6 ปีก่อน “หุ้นพื้นฐานเท่านั้นที่ข้าต้องการ” เขาเทน้ำหนักในหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้น เรื่อยๆจาก ระดับ 60% เป็น 90% ที่เหลือเป็นหุ้นแนวหวือหวา เล่นตามกระแสข่าวเป็นหลัก

วันนี้พอร์ตลงทุนเติบโตมากถึง 30-40% เมื่อเทียบกับ 2-3 ปีก่อน!! หนุ่มบอม เปิดประเด็นตอนใกล้จบบทสนทนากับ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek”
มูลค่าลงทุนเพิ่มเป็นเท่าไร ขอไม่บอกตัวเลขละกัน เอาเป็นว่าตอนนี้ชีวิตแสนจะ “แฮปปี้” ตั้งแต่ลงทุนในตลาดหุ้นมา ก็หวังจะเห็นวันนี้ (ยิ้ม) “ผมอยากให้พอร์ตลงทุนค่อยๆเติบโตอย่างมั่นคง น้อยๆแต่นานๆ

อีก 5 ปีข้างหน้า อยากเห็นพอร์ตขยายตัว 50% หรือเฉลี่ยปีละ10%!!

ถามว่าอะไรทำให้พอร์ตเติบโตจากเมื่อก่อน? น่าจะเป็นเพราะการจัดสรรพอร์ตให้เหมาะสมกับตัวเอง “ผมมักแบ่งพอร์ตลงทุนเป็น “หุ้นพื้นฐานดีๆ” ที่มีค่า P/E ไม่สูงเกินไป และจ่ายปันผลสม่ำเสมอราวๆ 70% ตอนนี้น่าจะมีประมาณ 4 ตัว ที่เหลืออีก 30% เป็นหุ้นประเภท “เทิรน์อะราวด์” มีอยู่ในพอร์ต 3 ตัว”
ยอมรับว่าพอร์ตลงทุนช่วงนี้ไม่เหมือนช่วงแรกๆที่มีหุ้นพื้นฐานแค่ 10-20% เน้นถือแค่ 3-4 เดือน ที่เหลืออีก 70-80% เป็นหุ้นเสี่ยงสูง ตอนโน้นยังหากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้ แต่วันนี้รู้แล้วว่าลงทุนแบบไหนจะได้กำไร (ยิ้ม)

เขา เล่ารายละเอียดของหุ้นพื้นฐาน 4 ตัว ซึ่งอยู่ในกลุ่มสื่อสาร ธนาคาร และชิ้นส่วนยานยนต์ ให้ฟังว่า ชอบ “หุ้นสื่อสาร” มานานแล้ว ซื้อก่อนมีข่าวเรื่องโครงข่าย 3G หุ้นกลุ่มนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง แถมยังมีโอกาสพัฒนาความสวยขึ้นเรื่อยๆ ภาพรวมหุ้นกลุ่มนี้ยังเป็น “กำไร”
ส่วนตัวมองว่า แม้วันนี้จะมีโครงข่าย 3G แล้ว แต่อนาคตจะมีการพัฒนาขึ้นไปเป็นโครงข่าย 4G อีก เรียกว่าศักยภาพดีไม่หยุดยั้ง หุ้นกลุ่มนี้เสียอย่างเดียวมีเรื่องพัวพันวุ่นวายเกี่ยวกับการเมืองเยอะไปหน่อย แต่เชื่อว่าเรื่องนี้จะกระทบธุรกิจเพียงสั้นๆ ตราบใดที่เทคโนโลยียังอัพเดทใหม่ตลอดเวลา อนาคตกลุ่มนี้ก็ยังมีอยู่ “โอกาสเจ๊งไม่มีหรอก”

ส่วน “หุ้นชิ้นส่วนยานยนต์” ซื้อมาตั้งแต่รัฐบาลออกนโยบายคืนภาษีรถคันแรก กลุ่มนี้เขาเติบโตทุกปี ราคาหุ้นไม่ผันผวนเหมือนธุรกิจอื่นๆแถมยังจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอทุกปีเฉลี่ย 50% ของกำไรสุทธิ เรียกว่าตอบโจทย์การลงทุนของตัวเองมากๆ แม้ว่าวันนี้ธุรกิจดังกล่าวจะได้รับผลกระทบจากนโยบายคืนภาษี หลังคนแห่คืนใบจองรถจำนวนมากก็ตาม

แต่สุดท้ายก็จะกระทบเพียงเล็กน้อย เพราะเนื้อในเขาดีมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม แถมนักลงทุนต่างชาติยังเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมประกอบการชิ้นส่วนรถยนต์มากขึ้นด้วย วันนี้เมืองไทยกลายเป็นศูนย์กลางของธุรกิจนี้ไปแล้ว อนาคตมาร์เก็ตแชร์ของธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์จะใหญ่ขึ้น “หนุ่มบอม” เชื่อเช่นนั้น

สุดท้าย คือ “หุ้นธนาคาร” ธุรกิจแบงก์เปรียบเสมือน “เสาหลัก” ของประเทศ “ผมเชื่อว่าทุกแบงก์ในเมืองไทยมีศักยภาพสูงมาก และมีระเบียบวินัยดีสุดๆ (พูดด้วยท่าทางมั่นใจมาก) จากการพูดคุยกับผู้บริหารแบงก์หลายท่านพบว่าแต่ละคนมีวิสัยทัศน์ค่อนข้างระมัดระวังในการปล่อยกู้ มีมุมมองที่ดีในการทำธุรกิจ เชื่อว่าอนาคตจะมีการพัฒนาองค์กรไปในทางที่ดีขึ้น
หลังวิกฤติปี 2540 ธนาคารเมืองไทยได้ปรับตัวไปมากแล้ว ทุกแบงก์มีภูมิต้านทานขึ้นสูงมาก เมื่อเทียบกับในอดีต ทุกวันนี้หลายๆแบงก์สามารถดันผลประกอบการให้เติบโตมากขึ้น ชนิดแทบไม่มีหนี้เสียเพิ่มเลย หรือเพิ่มในส่วนน้อย จริงอยู่ราคาหุ้นแบงก์ “ผันผวน” มาก แต่เมื่อผลประกอบการออกมาดี ราคาหุ้นก็จะดีดกลับมาเอง

“เซียนหุ้นรายใหญ่” เล่าถึงพอร์ต “หุ้นเทิร์นอะราวด์” ว่า หุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสกลับมาและไม่กลับมา ฉะนั้นก่อนจะเข้าไปลงทุนต้องทำการบ้านเยอะหน่อย ตอนนี้กำลังเล็งจะช้อน 2-3 ตัว โดยเฉพาะ “กลุ่มวัสดุก่อสร้าง” มองว่าอีก 5 ปีข้างหน้า หุ้นกลุ่มนี้จะกลับมา เมืองไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา ฉะนั้นต้องมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งรัฐบาลต้องใส่เงินลงทุนจำนวนมาก “วัสดุก่อสร้าง” คงเป็นสิ่งสำคัญมากในอนาคต

ถามถึงกลยุทธ์การลงทุน “หุ้นเทิร์นอะราวด์” เขาตอบว่า ผู้บริหารต้องมีความโปร่งใส ไว้ใจได้ ที่สำคัญธุรกิจของเขาต้องมีแววจะกลับมา ก่อนซื้อหุ้นกลุ่มนี้มักถามตัวเองเสมอว่า เพราะอะไรถึงต้องซื้อหุ้นตัวนี้ เป้าหมายการลงทุนคืออะไร อีกนานไหมจะเทิร์นอะราวด์ ส่วนใหญ่หุ้นกลุ่มนี้จะมีอายุในพอร์ตแค่ 1 ปี

ช่วงที่ตลาดหุ้นบูมๆก็ขายหุ้นทำกำไรไปหลายตัว เพราะค่า P/E สูงเกินไป ที่สำคัญสถานการณ์ตอนนั้นสามารถขายทำกำไรได้ ส่วนช่วงตลาดหุ้นลงมาเยอะๆ ถือเป็นจังหวะที่ดีเลยช้อนซะเลย เน้นหุ้นพื้นฐานดีๆ เหมือนเคยตลาดหุ้นบ้านเรามีสวยๆเพียบ โดยเฉพาะหุ้นสื่อสาร หลายตัวราคาลงมาค่อนข้างเยอะ

ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในอาการผันผวน นักลงทุนหลายคนบอกว่า คงมีหน้าตาแบบนี้อีกสักพัก และอาจหวือหวาหนักขึ้น หุ้นไทยวันนี้ไม่เหมือนเมื่อ 3-5 ปีก่อน เพราะนักลงทุนมีเงินมากขึ้น สามารถซื้อหุ้นเพื่อรออนาคตได้ อีกอย่างเครื่องมือทางการเงินที่ใช้ในการเล่นเก็งกำไรมีจำนวนมากขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ละจะเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดหุ้นมีความร้อนแรง เราอาจเห็นหุ้นขึ้นแรงลงแรง กราฟอาจมีลักษณะเป็นฟันปลา ต่อไปคงไม่เห็นราคาหุ้นนิ่งๆอีกแล้ว
อยากประสบความสำเร็จเรื่องลงทุนต้องมีวินัย ครั้งแรกคุณต้องทำความเข้าใจกับตัวเองก่อนว่า เราต้องการอะไรในการลงทุน “ผมไม่ได้อยากจะรวยเพียงข้ามวัน ข้ามคืน ขอแค่ให้พอร์ตมีความมั่นคงและในอนาคตสามารถมีเงินก้อนหนึ่งไว้เลี้ยงดูครอบครัวหลังเกษียณก็พอแล้ว ไม่ได้หวังว่าพรุ่งนี้ต้องเป็นมหาเศรษฐี หรือวันนี้ต้องได้กำไร 30-40%

“หนุ่มบอม” ตอกย้ำ “ต้นกำเนิดการลงทุน” ให้ฟังว่า “ผมรักเรื่องหุ้นๆ ตามญาติพี่น้อง ไม่ชอบได้ไง เกิดมาก็เจอคนในครอบครัวเกือบ 10 คน ที่มีมูลค่าลงทุนรวมกันใหญ่ระดับ “พันล้านบาท” ทุกคนเล่นหุ้นหมด แม้กระทั้ง “อาม่า” อายุ 70 ปี ยังลงทุนเลย แต่ซื้อเล็กๆน้อยๆ ท่านบอกว่า “ต้องลงทุนเดี๋ยวคุยกับลูกหลานบนโต๊ะกินข้าวไม่รู้เรื่อง”
แม้วันนี้จะรู้จักการลงทุนมากกว่าเดิมแล้ว แต่ทุกครั้งที่มีปัญหาหรือไม่เข้าใจ ก็จะขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ตลอด ถือว่าโชคดีมากที่คนในครอบครัวเข้าใจ “น้าสุเทพ” ชายคนนี้มักให้คำปรึกษาเสมอ (ยิ้ม) ท่านมักสอนให้ดูค่า P/E และมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) เพราะ “หุ้นดีๆ” จะมีค่า P/E ต่ำๆ และมี P/BV ต่ำกว่า 1.5 เท่า ยิ่งหุ้นตัวไหนมีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตตลอด จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ “ผมจะหาจังหวะจับจองเป็นเจ้าของ”

ที่ผ่านมาทำการบ้านเรื่องหุ้นๆไว้เยอะ เรียกว่าเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤติต่างๆ ฉะนั้นไม่ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง ชายชื่อบอม รับมือได้ทุกสถานการณ์ ถ้าเจอหุ้นพื้นฐานดี แต่ราคาสูง ก็จะ "รอ" พอราคาลดลงอยู่ในระดับที่ไม่แพงจะเข้าไปช้อนทันที ปกติจะปฎิบัติการช้อนหุ้นช่วงลงหนักๆ หรือช่วงที่มีข่าวร้าย แต่ต้องเป็นเรื่องที่ไม่น่ากระทบธุรกิจ
เล่นหุ้นแค่ Part Time ไม่ใช่เรื่องหลักที่ต้อง “โฟกัส”

หน้าที่สำคัญของเรา!! คือ นั่งบริหาร “มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์” ฉะนั้นเวลาส่วนใหญ่จะอยู่ที่นี่ หากมัวแต่นั่งดูราคาหุ้นคงกระทบกับงานประจำ อนาคตหากเข้าสู่วัยเกษียณคงต้องปรับพอร์ตลงทุนใหม่ “การลงทุนดีๆเปรียบเสมือนเราเดินไปหาเนื้อคู่” ต้องศึกษาดูใจก่อนว่าเข้ากันได้ไหม ถ้าได้ค่อยตกลงเป็นแฟนกัน แต่หากไม่ได้ก็ควรเลิกกัน ดันทุรังอยู่ต่อ สักวันก็ต้องทิ้งกันอยู่ดี
15% ตัวเลข EBIT MARGIN ปีหน้า
“บอม” ธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ “มิลล์คอน สตีล” บอกว่า กำไรก่อนภาษีและต้นทุนทางการเงิน หรือ EBIT MARGIN ในปี 2557 จะเพิ่มขึ้นแบบ “ก้าวกระโดด” จาก 7-8% เป็น 10-15% ขณะที่รายได้จะเติบโต 30-40% หลังบริษัทมีการผลิตเหล็กในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นเหล็กที่มี “กำไรขั้นต้น” สูงกว่าเหล็กในอุตสาหกรรมก่อสร้าง

หากเราสามารถเข้าซื้อกิจการ “อุตสาหกรรมเหล็กกล้าไทย” (TSSI) มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท ที่ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนทางกฎหมายได้สำเร็จ เราจะสามารถผลิตเหล็กในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ได้ ปัจจุบันเหล็กลักษณะนี้มีความต้องการใช้มากขึ้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ ล่าสุดที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแผนการเพิ่มทุน เพื่อซื้อกิจการ TSSI เรียบร้อยแล้ว
ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทจะมีหน้าตาเปลี่ยนไปมาก!! “นักธุรกิจหนุ่ม” การันตี

เรียกว่า มีทั้งความยั่งยืนและมั่นคง ทุกวันนี้เราได้เสริมเขี้ยวเล็บ เสริมแขน เสริมขา เสริมรากฐานให้บริษัทเรียบร้อยแล้ว เท่ากับว่าเราจะมีรายได้ และกำไรขั้นต้นมากขึ้น เรียกว่ามากกว่าสะตลาดอีก เรื่องบริการเราไม่เป็นรองใคร เราพร้อมทำทุกอย่างให้ลูกค้ามีต้นทุนค่าขนส่ง และต้นทุนก่อสร้างลดลง

ถามถึงทิศทางธุรกิจในปี 2556 เราเชื่อว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 17,000-18,000 ล้านบาท หรือเติบโต 10-15% จากปี 2555 ที่มีรายได้รวม 16,600 ล้านบาท หลังรัฐบาลผุดโปรเจคมากมาย อาทิ โครงการรถไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เป็นต้น ขณะที่แนวโน้มการบริโภคเหล็กโดยรวมยังคงเพิ่มขึ้นจากปีก่อน

ในแง่ของอัตรากำไรขั้นต้น น่าจะยืนประมาณ 8% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่อยู่ระดับ 5% หลังโครงการ Green Mill ซึ่งเป็นการผลิตเหล็กคุณภาพสูง สามารถเดินเครื่องในเชิงพาณิชย์ได้ในปีนี้ ทำให้ต้นทุนการผลิตของ MILL ปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก

ที่ผ่านมาเราได้ปรับภาพลักษณ์องค์กร ด้วยการแต่งตั้ง “วิษณุ เครืองาม” ขึ้นเป็นประธานกรรมการ และได้แต่งตั้ง “พินิจ จารุสมบัติ” เป็นประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัท ท่านให้ข้อคิดและนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัทมากมาย


ที่มา BIZWEEKONLINE