ซีดาร์ โฮลดิ้ง ขายหุ้นอินทัชเกลี้ยงพอร์ตลงทุน หวังล้างภาพผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นต่างด้าว ส่งผลให้เทมาเส็ก เหลือการถือหุ้นผ่าน แอสเพนเพียง 41%


ชื่อ:  1.PNG
ครั้ง: 1828
ขนาด:  10.9 กิโลไบต์


จากสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ พบว่า โครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น (INTUCH) ล่าสุดบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ และมีฐานะเป็นบริษัทลูกของเทมาเส็ก หรือบรรษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ ได้ขายหุ้นอินทัช ที่ถืออยู่ทั้งหมดจากที่ถือ 13.35% ณ วันที่ 9 เม.ย.56 ส่งผลให้เทมาเส็กจะเหลือสัดส่วนการถือครองหุ้นอินทัช โดยผ่านบริษัทแอสเพน โฮลดิ้งส์ เพียงบริษัทเดียว จำนวน 41.62% และจากข้อมูลดังกล่าว สังเกตเห็นว่า สัดส่วนการถือครองหุ้นของบริษัทไทยเอ็นวีดีอาร์ ซึ่งเป็นบริษัทถือลงทุนโดยผู้ลงทุนต่างด้าวเพิ่มขึ้นจาก 13.35%เป็น 22.93%

ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวราคาหุ้นอินทัช (INTUCH) เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2556 ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง และมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น จนกระทั่งไปแตะระดับสูงสุดที่ 86.25 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบ 1 เดือน ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมา และ ล่าสุดปิดตลาดที่ ราคา 85 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท คิดเป็น 0.89% มูลค่าการซื้อขายรวม 2.3 พันล้านบาท

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีแรงเก็งกำไรเข้ามา เพราะคาดหวังว่าบริษัทอินทัช อาจจะได้รับเข้าคำนวณ ดัชนีเอ็มเอสซีไอ รอบใหม่ หรือครึ่งแรกของปีหน้า โดยจะประกาศรายชื่อช่วงสิ้นปีนี้ จึงทำให้ราคาปรับตัวขึ้นมาแรง อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นดังกล่าวยังคงต้องระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงรออยู่

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยให้แนะนำซื้อหุ้น เนื่องจากมองว่า จากนี้จะไม่มีประเด็นเรื่องซีดาร์ โฮลดิ้ง อดีตผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ เทมาเส็ก ได้ทำรายการเทขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น (INTUCH) ให้เป็นกังวลอีกต่อไป เพราะ

บริษัทดังกล่าวได้ขายเงินลงทุนออกทั้งหมดแล้ว ตามข้อมูลที่ได้หลังการปิดสมุดทะเบียน เพื่อสิทธิรับปันผลระหว่างกาล เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา ในอัตราหุ้นละ 2.37 บาท และเป็นฐานข้อมูลอย่างเป็นทางการที่มาจากตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทซีดาร์ ขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมา เนื่องจากต้องการลดบทบาทของการที่บริษัทอินทัช มีผู้ถือหุ้นเป็นนักลงทุนต่างประเทศ และเพื่อขจัดปัญหาในการมีสิทธิ์เข้าประมูลงานจากภาครัฐ

"ไม่มีแรงกดดันจากการขายหุ้นของซีดาร์อีกต่อไป ล่าสุด ไม่มีรายชื่อของบริษัทซีดาร์ โฮลดิ้ง ถือหุ้นในอินทัช แล้ว หากเทียบกับสัดส่วนที่เคยถือ 3.35% ณ วันที่ 10 ก.ค.56" นักวิเคราะห์กล่าว

เขากล่าวว่า ฝ่ายวิจัยได้แนะนำซื้อหุ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่ง หุ้นอินทัชเปรียบ เสมือนการลงทุนในหุ้นแอดวานซ์ (ADVANC) ในราคาที่ต่ำกว่า และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในระดับที่น่าสนใจ

นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่าโอกาสของหุ้นอินทัช ในการเข้าคำนวณในเอ็มเอสซีไอ (MSCI Global standard Indices) ในรอบครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งจะประกาศผลช่วงเดือน พ.ย. 56 ช่วย หนุนให้ต่างชาติสามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นอินทัช ได้มากขึ้น ทั้งนี้ฝ่ายวิจัย ยังให้น้ำหนักว่าอินทัช อาจไม่ถูกนำเข้า คำนวณในดัชนี MSCI ในรอบนี้ เพราะจะติดปัญหาเรื่อง Free float เช่นเดิม หากบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ ที่มีสัญชาติสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของหุ้นอินทัชในสัดส่วน 41% และยังไม่ลดสัดส่วนการถือหุ้นลง อย่างไรก็ดี ยังคงราคาเป้าหมายเดิมที่ 106 บาท แนะนำ ซื้อ

นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า บริษัทอินทัชในปีนี้น่าจะมีการเติบโตที่ดีตามบริษัทลูก ทั้งบริษัทแอดวานซ์ (ADVANC) และบริษัทไทยคม(THCOM) โดยยังคงประมาณการผลประกอบการปี 56 คาดมีกำไรสุทธิเติบโต 13%จากงวดเดียวกันปีก่อนเป็น 1.55 หมื่นล้านบาทซึ่งเป็นการเติบโตตามบริษัทลูก โดย บริษัทแอดวานซ์ รายได้คาดยังเติบโตดี จากตลาด Non-voice ที่เติบโตราว 25%จากปีก่อน จากกระแสความนิยมในตลาดสมาร์ทโฟนและการขยายโครงข่าย 3G บริษัทไทยคม ซึ่งไอพีสตาร์ ซึ่งคาดอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 50% จากการขยายตลาดอินเดีย จีน และในไทย และคาด ไตรมาส 4/56 จะเริ่มรับรู้รายได้จากการยิงดาวเทียมไทยคม 6 ซึ่งสามารถมียอดพรีเซลเกินจุดคุ้มทุนไปแล้ว

รวมถึงไม่ต้องแบกรับผลขาดทุนจากบริษัทเอ็มโฟน (Mfone) ราว 130 ล้านบาทต่อไตรมาสคงคำแนะนำซื้อเพราะกำไรเติบโตดี มีปันผลจูงใจ ขณะที่บริษัทมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ที่อัตราผลตอบแทนเงินปันผลกว่าปีละ 6 - 7% อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างทบทวนการปรับประมาณการของบริษัทลูกบริษัทไทยคมจากการยิงดาวเทียมไทยคม 7 ในปีหน้า

นอกจากนี้ประเด็นบวกจากการที่บริษัทอินทัช จะเข้าร่วมประมูลทีวีดิจิทัลในปลายปีนี้ ประเมินมูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 105 บาท ตามสัดส่วนการถือหุ้นแอดวานซ์ และหุ้นไทยคม โดยราคาปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานพอสมควร



ที่มา: BangkokBizNews