วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

BCPลุ้นงบไตรมาส3 กำไรพุ่ง1.4พันล้าน ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 10 กันยายน 2556

BCPลุ้นงบไตรมาส3
กำไรพุ่ง1.4พันล้าน

ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 10 กันยายน 2556 
ผู้เข้าชม : 4 คน 

"บางจาก" ลุ้นกำไรไตรมาส 3 เติบโตไม่ต่ำกว่า 1,400 ล้านบาท รับค่าการกลั่นทะยาน 6.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แถมมีบันทึกกำไรสต๊อกเกิน 1,000 ล้านบาท โบรกฯย้ำคำแนะนำ “ซื้อ” วางเป้าหมายราคา 40 บาท
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด จำกัด เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นหลังจากได้คุยกับผู้บริหารของบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ได้คาดผลประกอบการไตรมาส 3/56 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 2/56 และผลการดำเนินงานปกติจะพลิกกลับมาเป็นกำไร รวมถึงมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 1.4 พันล้านบาท
สำหรับในไตรมาส 3/56 แม้บริษัทจะยังมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและไม่มีเงินชดเชยจากประกันน้ำท่วมเหมือนช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่จะมีน้ำหนักของปัจจัยบวกจากกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นอีก 7% (เทียบกับงวดก่อนหน้า) มาสู่ระดับ1 แสนบาร์เรลต่อวัน มีค่าการกลั่นฟื้นตัวขึ้นอีก 14% มาอยู่ที่ 6.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล รวมถึงรับรู้ผลของมูลค่าสต๊อกที่พลิกมาเป็นกำไรไม่น้อยกว่า 1 พันล้านบาท จากที่มีผลขาดทุน 919 ล้านบาท เมื่อช่วงไตรมาส 2
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ที่ผ่านมาของ BCP อยู่ที่จำนวน 406 ล้านบาท รวมงวดครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,605 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปี 2555 ทางบริษัทมีกำไรสุทธิรวม 1,071 ล้านบาท
นอกจากนี้ BCP ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาโครงการ Solar-rooftop ซึ่งคาดจะได้ข้อสรุปช่วงเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งภาครัฐมีแผนรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการดังกล่าว 200 เมกะวัตต์ โดยฝ่ายวิเคราะห์มองว่าข้อจำกัดของ Solar-rooftop อยู่ที่สถานที่ติดตั้งบนหลังคามีพื้นที่จำกัดซึ่งทำให้ BCP มีกำลังการผลิตเพิ่มไม่มาก
ขณะที่อัตราค่าไฟที่รัฐส่งเสริมมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจาก Adder 6.5–8 บาทต่อหน่วย เป็น Feed in tariff (FIT) ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนน้อยกว่า 6-7% ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน BCP มีโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์รวม 70 เมกะวัตต์ และมีแผนจะขยายเฟส 3 อีก 48 เมกะวัตต์ เริ่มก่อสร้างไตรมาส 3 ปีนี้ และเริ่มผลิตเดือนพ.ค. 2557 ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ให้น้ำหนักในโครงการนี้มากกว่า เนื่องจากได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐในรูปแบบ Adder อัตรา 8 บาทต่อหน่วย
สำหรับ BCP ยังมีแผนขยายธุรกิจหนุนการเติบโตระยะยาว โดยประเมินว่า BCP จะมีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี ในช่วง 2 ปีข้างหน้า (ปี 2557–2558) ได้แก่ เป้าหมายเพิ่มยอดขายน้ำมัน 5–10% ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป จากการเปิด Mini-BigC ภายในสถานีบริการเพิ่ม รวมทั้งส่วนแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากยอดขายของ Mini-BigC
อีกทั้งยังมีปัจจัยการเปลี่ยนหอกลั่น (โครงการ 3E) เริ่มช่วงครึ่งหลังงวดปี 2557 จะเพิ่มกำลังการกลั่นอีก 20% และมีค่าการกลั่นที่สูงขึ้นจากเทคโนโลยีการกลั่นที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มระยะที่ 3 ขนาด 48 เมกะวัตต์ จะเริ่มผลิตเดือนช่วงเดือน พ.ค. 2557 และโครงการ Biofuel ระยะที่ 2 เพิ่มกำลังผลิตอีก 80% เป็น 8.1 แสนลิตรต่อวัน เริ่มผลิตไตรมาส 1 ปี 2558
โดยประเมินผลการดำเนินงานงวดปี 2556 จะมีรายได้รวม 187,505 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5,164 ล้านบาท สูงกว่างวดปี 2555 ที่มีรายได้ 165,246 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4,273 ล้านบาท การฟื้นตัวของธุรกิจการกลั่นจะทำให้โรงกลั่น Stand alone อย่าง BCP มีความน่าสนใจในการลงทุน และมีแนวโน้มกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง แนะนำ “ซื้อ” ให้มูลค่าเหมาะสม 40 บาท
ขณะที่ราคาหุ้น BCP ล่าสุดในวานนี้ (9 ก.ย.) ได้ปิดการซื้อขายหุ้นอยู่ที่ระดับ 34.25 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือคิดเป็น 0.74% เมื่อเทียบกับราคาปิดก่อนหน้า 34 บาท ทำราคาสูงสุดของวัน 34.50 บาท ต่ำสุดของวัน 33.75 บาท มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวัน 116 ล้านบาท จึงถือเป็นการปิดบวกสวนวันกำหนดขึ้นเครื่องหมายผู้ซื้อไม่มีสิทธิรับปันผล (XD) จำนวน 0.60 บาทต่อหุ้น ในช่วงวานนี้
ทั้งนี้ นายวิเชียร อุษณาโชติ กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP ได้คาดการณ์ในช่วงที่ผ่านมาว่า ภาพรวมงวดปี 2556 ได้คงเป้าหมายทำ EBITDA รวมทั้งปีอยู่ที่ระดับ 9,600 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังจะได้รับผลประโยชน์จากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และสามารถชดเชยผลขาดทุนสต๊อกลอสที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2 ได้ทั้งหมด

ม็อบค้าน LPG รวมตัวหน้าศาลฯวันนี้
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า ในช่วงวันนี้ (10 ก.ย.) ทางผู้ชุมนุมคัดค้านการปรับขึ้นราคา LPG จะเตรียมจะไปรวมตัวกันหน้าศาลปกครอง เนื่องจากเป็นวันที่ศาลปกครองจะเปิดไต่สวนคำขอคัดค้านการปรับขึ้นราคาแอลพีจีที่ทางฝั่งประชาชนได้ยื่นฟ้องร้องเอาไว้
นอกจากนี้ จะใช้เวลาการรวบรวมรายชื่อให้ครบ 5 หมื่นรายชื่อภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้ โดยจะประสานไปยังเครือข่ายในต่างจังหวัดเพื่อให้ร่วมกันลงชื่อให้ได้จังหวัดละ 1,000 รายชื่อ ซึ่งหากทำได้ 76 จังหวัดก็จะได้ 76,000 คน เพื่อนำรายชื่อส่งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของรมว.พลังงาน และข้าราชการกระทรวงพลังงาน โดยต้องการให้ปลดบุคลากรดังกล่าวออกจากตำแหน่ง เนื่องจากนโยบายการปรับขึ้นราคาแอลพีจีทำให้ประชาชนเดือดร้อน และสร้างความไม่เป็นธรรม
ส่วนบรรยากาศการชุมนุมค้านการปรับขึ้นราคาแอลพีจีในช่วงเมื่อวาน ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมได้ชุมนุมกันที่บริเวณหน้าสำนักงานใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ถนนวิภาวดีฯ ขณะที่บริษัทในกลุ่มปตท.และบริษัทในเครือที่ทำงานในอาคาร ปตท.และเอ็นโก้ ได้แจ้งให้พนักงานสามารถเดินทางกลับบ้านได้ตั้งแต่เวลา 13.00 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น