วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

ลุ้นพี/อีตลาด13เท่า ดันดัชนีปีนี้1,600จุด ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 09 กันยายน 2556

ลุ้นพี/อีตลาด13เท่า
ดันดัชนีปีนี้1,600จุด

ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 09 กันยายน 2556 
ผู้เข้าชม : 8 คน 

“สุเทพ พีตกานนท์” บล.โนมูระ เผยหากพี/อี ตลาดฯขึ้นแตะ 13 เท่า โอกาสดัชนีหุ้นไทยจะปิดสิ้นปีนี้เกิน 1,600 จุด ประกอบกับกำไรของ “บจ.” เติบโตดี 18% และเศรษฐกิจครึ่งปีหลังฟื้นตัว แนะเก็บกลุ่มเดินเรือ ชิปปิ้ง รับเหมา วัสดุก่อสร้าง และกลุ่มสื่อสาร  
นายสุเทพ พีตกานนท์ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยปีนี้แตะที่ระดับ 1,600 จุดมีโอกาสค่อนข้างสูง เนื่องจาก สถิติการขยับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมา ค่า P/E แตะที่ระดับ 13-15 เท่า ดัชนีมักจะอยู่ที่ระดับ 1,600 จุด ซึ่งดัชนีระดับ 1,600 จุด ช่วงที่ผ่านมา ค่า P/E ดังกล่าวก็อยู่ที่ 13 เท่า  
ดังนั้น ค่า P/E หุ้นไทยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 12 เท่า โดยมีโอกาสที่จะแตะที่ระดับ 13 เท่าได้ และนั่นหมายความว่าดัชนีหุ้นไทยที่ 1,600 จุดย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้แน่นอน ทั้งนี้ จะเห็นว่า แนวโน้มการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนต่างชาตินั้นยังคงมีอยู่ เนื่องจาก P/E หุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก  
“ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะอยู่ในระดับดี จากอัตราการเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ผลการทำกำไรของธุรกิจบจ.ยังเติบโตในระดับสูงที่ 18% P/E หุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำที่ 12 เท่ากว่า รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐด้วย ซึ่งปัจจัยบวกเหล่านี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาบวกได้อีกครั้ง” นายสุเทพ กล่าว  
นายสุเทพ กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนของนักลงทุนช่วงนี้ แนะว่า ปัจจัยลบอย่างมาตรการเชิงนโยบาย QE ยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อนักลงทุน ดังนั้น นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์การลงทุนอย่างใกล้ชิด เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพเป็นหลัก นักลงทุนควรดูที่ตัวบริษัทมากกว่าดูที่ดัชนี โดยเลือกลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการดี มีอัตราการเติบโตทางกำไรต่อเนื่อง มีอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับดีต่อเนื่อง สำหรับหลักทรัพย์ที่เหมาะแก่การลงทุนช่วงนี้ ประกอบด้วย หุ้นกลุ่มเดินเรือ กลุ่มชิปปิ้ง และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง 
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือการลงทุนในกลุ่มที่มีความมั่นคงของกำไรสุทธิ ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร เนื่องจากอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ส่งผลให้เกิดแรงกระตุ้นต่อการบริโภคและการลงทุน, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 
เนื่องจาก ยังคงมีโครงการทั้งของภาครัฐบาลและเอกชนที่รอการก่อสร้างอีกมากใน 3 ปีข้างหน้า ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้น ประกอบกับฐานะทางการเงินของเจ้าของโครงการที่ดีกว่าในช่วงปี 1997 ดังนั้น ความเสี่ยงที่จะเกิดการหยุดชะงักของการก่อสร้างจึงมีน้อยมาก  
สำหรับธีมการลงทุนในระยะ 1 ปีข้างหน้า คือ การลงทุนในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ในกรณีที่รัฐบาลสามารถผลักดันให้เกิดโครงการลงทุนได้ ได้แก่ ธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง และ วัสดุก่อสร้าง รวมถึง หุ้นสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับการรับเหมางานระบบ และการลงทุนในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยสหรัฐ และญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัว กลุ่มประเทศในยุโรปกำลังหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนใกล้ถึงจุดต่ำสุด   


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น