เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้แวะไปทำธุระแถวเยาวราช. และก็ได้สัมผัสปรากฏการณ์ "ตื่นทอง" แผงแขวนสร้อยทองงี้โล่งเลย. อดประหลาดใจไมได้ว่าทำไมต้องขนาดนี้. อะไรคือบรรทัดฐานที่ทำให้คนคิดว่าต่ำกว่า 20,000/บาท คือ ถูก. มันใช่เหรอ? และจุดนี้ที่ซื้อคือการซื้อเก็บยาว อีก 10 ปีค่อยว่ากัน หรือซื้อเก็งกำไรระยะสั้น หรือยังไง

บทวิเคราะห์ออกมาเพียบ ส่วนใหญ่จะในเชิง Technical ว่าแนวรับ-ต้านที่มีนัยยะสำคัญอยู่ตรงไหน ที่ Extreme หน่อยก็คือ การมองว่า ทองคำ ไม่ใช่สินทรัพย์ปลอดภัย หรือ Safe haven อีกต่อไป. จะเหลือ $800 อีกครั้ง ฯลฯ รับข้อมูลไปไม่พิจารณาให้ดีอ่วมแหงๆ

ผมว่าก่อนคิดว่ายังไงต่อไป เราต้องพิจารณาที่มากันก่อน. ราคาทองคำเลี้ยงข้างในกรอบ $300-500 อยู่ 20 ปี (ช่วงปี 1980-2001+/-) และหลังจากนั้นก็ดีดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกเกือบทศวรรษที่ผ่านมาจนกระทั่งไป Peak @ $1,921 จะบอกว่าเพราะประธานาธิบดี Richard Nixon การยกเลิก Gold standard ใน US dollar (เรียกเหตุการณ์นี้ว่า Nixon shock) ก็ไม่เชิง เพราะประกาศยกเลิกไปตั้งแต่ปี 1971 (และก็ต้องศึกษาเพิ่มเติมเข้าไปอีกว่าทำไมต้องยกเลิก. นั่นเพราะสมัยก่อนธนบัตร US dollar มีเขียนว่า "Redeemable in gold หรือสามารถนำไปขึ้นเป็นทองคำได้" ที่ต้องทำก็เพื่อให้ธนบัตรนั้นมีมูลค่า ไม่งั้นมันก็คือกระดาษเปล่าๆ Link: http://goo.gl/qTXS) แต่กว่าจะได้เปลี่ยนเป็นเรื่องเป็นราว (คือเลิกผูกธนบัตรกับทองคำอย่างเป็นทางการ) ก็ปี 1976 ซึ่งทำให้ทองดีดขึ้นจากระดับที่ผูกไว้ที่ $35 ต่อ Ounce เป็นหลักร้อย

แต่ก็ไม่ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมราคาทองถึงนิ่งอยู่เป็น 20 ปีหลังจากนั้น และจะบอกว่าจากการวินาศกรรมอาคาร World trade center (รึเปล่า?) ในปี 2001 *คนเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิต* ซึ่งเป็นเหตุให้ประเทศสหรัฐฯ ตัดสินใจบุกประเทศอัฟกานิสถาน และอีรัก และ FED จำเป็นปั๊มเงินออกมาจำนวนมากเพื่อ Finance สงครามอ่าวเปอเซีย ผลคือเงินเฟ้อสูงขึ้น นักลงทุนเริ่มเล็งเห็นว่าเงิน US dollar มีแต่จะด้อยค่า *คนเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยในทรัพย์สิน* เลยแห่ไปซื้อทอง. ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะในปี 1991 ประเทศสหรัฐก็ประกาศสงครามกับอีรัก โทษฐานที่ไปบุกคูเวต ราคาทองก็ยังนิ่งๆ อยู่ที่ระดับ $350+/- อีกเป็น 10+ ปี มันน่าคิดนะ.

สังเกตุดีๆ มักเกิดเหตุการณ์หรือภาวะบางอย่างที่ไปสร้าง "จุดเปลี่ยน" หรือ Trigger ให้ทองคำจากที่ออกข้างมา 20 ปีเริ่มเป็น Uptrend อะไรเป็นเหตุที่แท้จริง ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน มีแต่สมมุติฐานทั้งนั้น พอที่จะมีทฤษฏีอธิบายเหมือนกัน เขาเรียกว่า Black swan effect เขียนไว้ในหนังสือชื่อเดียวกันโดย Nassim Nicholas Taleb - Link:http://goo.gl/MxYT7 สรุปไว้ว่า "บทมันจะมาก็มา บทมันจะไปก็ไป" เมื่อทองคำเริ่มสร้างฐานที่ระดับ $450 อีกครั้งในปี 2005 ก็ไล่ราคาขึ้นไปและไม่เคยลงมาที่ระดับนั้นอีกเลย.

ในบรรดาสมมุติฐานทั้งหลาย ผม "เชื่อ" วาการที่ราคาทองจะเปลี่ยนได้ระดับ $500 ไป $1,900 (เกือบ 4 เด้ง) ได้นั้น บทบาทในตลาดทุนโลกต้องเปลี่ยน. มันไม่ใช่แค่สกุลเงิน US dollar เท่านั้นที่ลดมูลค่าแต่มันกับสกุลเงินทั่วโลก ไม่ว่าถือสกุลอะไรก็เงินเฟ้อหมด วิธีการรับมือกับเงินเฟ้อในระยะยาวกว่าคือต้องโยกไปในสินทรัพย์อื่นๆ ที่ถ้าดีที่สุด ต้องเป็นสินทรัพย์ไม่สามารถสร้าง Supply เพิ่มขึ้นได้อีก เช่น ที่ดิน แปลว่า เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 2 เท่าตัวที่ดินมีเท่าเดิม ผลคือ ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว (Ok ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น มันมีเรื่องทำเล กรรมสิทธิ์ ฯลฯ แต่สำหรับการเปรียบเทียบนี้ก็น่าจะใช้ได้อยู่) ที่รองลงมาคือ ทองคำ เพราะหาได้ยาก และทุกวัฒนธรรมมองทองคำเป็นโลหะมีค่า (มีผลนะครับ) ถามว่าพวกเพชร หรือหินมีค่าได้มั้ยก็ได้เหมือนกัน แต่มันเริ่มเฉพาะเจาะจงละ. มีรายละเอียดพวกคุณภาพ สี ความใส ฯลฯ ทองคำเป็น สินค้าที่แพร่หลายมากกว่า และมาตรฐานทองคำก็ค่อนข้างนิ่ง อย่างบ้านเราก็ 96.5%

ก็ไม่แปลกว่าทำไมนักลงทุนถึงมองทองคำเป็น Safe haven ก็เพราะมีมูลค่าในทุกวัฒนธรรม ขึ้นเงินที่ไหนก็ได้ สภาพคล่องเหลือเฟือ แต่อย่างที่บอก นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ และ Gold standard ก็ถูกยกเลิกไปกว่า 20 ปี เพิ่งจะมาขึ้น ผม "เชื่อ" ว่ามันเกิด Triggering events คนเริ่มหวั่นใจในความปลอดภัยของชีวิต (และทรัพย์สิน) จากการก่อการร้าย ทองคำเริ่มซื้อขายได้สะดวก Gold ETF เปิดตัวในปี 2003 และสกุลเงินสุดท้ายที่ยกเลิก Gold standard คือ Swiss Franc ยกเลิกในปี 2000 เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งอาจไม่สร้างกระแสมากพอให้ทองคำดีดตัวขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นช่วงเวลาใกล้ๆ กัน แม้จะไม่ได้เกี่ยวกัน มันสร้าง Black swan effect ซึ่งไปเตะตานักลงทุน.

นี่แหละ ตัวเร่งปฏิกริยา

บทบาทของทองคำเปลี่ยนตั้งแต่ปี 1971 แล้ว แต่เพราะไม่มีตัวเร่ง ไม่มี "เหตุ" ราคาก็ไม่ไปไหน วิ่งในกรอบ. พอเกิดเหตุการณ์ (ที่อ้างมาข้างต้น) เท่านั้น มุมมองนักลงทุนเปลี่ยนเริ่มโยกเงินมาเป็นทองคำ ราคาทองคำขึ้น มีการเก็งกำไรเข้ามาเอี่ยว. พอเริ่มเก็งกำไร ราคาทำ New high หรือสร้าง All time high คนก็ยิ่งซื้อ ยิ่งซื้อก็ยิ่งเก็งกำไร ฯลฯ จนทำให้ราคาขึ้นในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา

แล้วการที่ราคาทองคำลงในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาละ จะกลับขึ้นขาขึ้นแล้วหรือยังลงต่อได้อีก? ก็ต้องทวนเงื่อนไขว่า บทบาทของทองคำยังเป็น Safe haven อยู่มั้ย. ทุกประเทศทั่วโลกหยุดปั๊มเงินอัดเข้าระบบเศรษฐกิจแล้วใช่มั้ย. มีการสร้าง Supply ทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ? คำตอบคือ "ไม่" ครับ. ตราบใดที่ยังมีการปั๊มเงินพิมพ์แบงค์ ทองคำก็จะยังเป็น Safe haven ไม่เปลี่ยนแปลงครับ

อ้าว! แล้วที่ราคาลงหนักสุดในรอบ 30 ปีละ? คำถามนี้ต้องตอบ 2 ส่วน; 1) เวลาเราคำนวณการลงในขาขึ้น เราต้องคำนวณเป็นสัดส่วน (%) นะครับ ไม่ควรคำนวณเป็นส่วนต่าง.

Sub-prime crash ทองขึ้นไปสูงสุด @ $1,033.90 และลงมาต่ำสุด @ $681.0 ลงมา $352.9 หรือ 34.14% และ
ช่วง Sideway ใหญ่ยักษ์ที่ผ่านมา ทองขึ้นไปทำจุดสูงสุด @ $1,923.7 และลงมาต่ำสุด @ $1,321.5 ลงมา $602.2 หรือเพียง 31.30% มองแบบนี้ทองราคาลงช่วง Sub-prime "รุนแรง" กว่าตอนนี้เสียอีก.

และ 2) (ผมเชื่อว่า) เป็นเพียงการทำกำไรในขาขึ้นช่วงที่ผ่านมาเท่านั้น.

ชัดเจนว่าราคาสร้างฐานที่ระดับ $1,550+/- และก็ยังเป็น "แนวรับสุดท้าย" ของขาขึ้นด้วย. ถ้าซื้อทองเพื่อเก็งกำไร นี่คือราคาสุดท้ายที่ต้องปิดสถานะซื้อ.. และที่บอกๆ กันว่าทองกลับตัวแล้ว ด้วยภาพนี้ "ยากครับและไม่เร็ว" สังเกตุว่าราคาออกข้างอยู่กว่า 18 เดือนก่อนที่จะกลับตัวจาก Uptrend และหลุดลงมา อย่าเพิ่งประมาทว่า Reversal pattern จะลงแค่นี้ครับ. รอให้เห็น Bullish reversal ชัดๆ เสียก่อน ยังไงก็ซื้อทันครับ.

เพราะทองคำยังเป็น Safe haven อยู่ สำหรับการออม (ผมซื้อทองคำแท่งเพื่อออมเท่านั้น) ยังไม่มีความจำเป็นต้องขาย. แต่ควรใช้ Hedging techniques พวก Gold futures/option เพื่อลดแรงกดดันหากทองคำลงต่อ สำหรับการเก็งฯ ผมว่า Technical play บน TF day ก็น่าจะ Bias short ต่อได้ หลุด $1,400 ก็น่าจะเห็น $1,200

*** มุมมอง Technical ส่วนตัว: Reversal pattern มักไม่จบที่ 161.8% มักจะได้เห็น 261.8% ลองไป Backtest ดู

-Freedom trader-