วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

นายกรัฐมนตรีเดินทางไปญี่ปุ่น ชักชวนนักลงทุนมาไทย

การเมืองชายขอบ

คอลัมน์ วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 4 คน 

ในขณะที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปญี่ปุ่น ชักชวนนักลงทุนมาไทย ชูจุดขายอนาคตของอาเซียน ซึ่งกำลังจะก้าวกระโดดไปพร้อมกัน ผ่านการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ที่มีไทยเป็นศูนย์กลาง
ถามว่าการเมืองบ้านเราทำอะไรกันอยู่ ก็มีคนมากางเต๊นท์สนามหลวง อ้างว่ามีม็อบ 3 หมื่น 5 หมื่น ไล่รัฐบาลไงครับ
ในเฟซบุ๊คก็มีม็อบ “ไทยสปริง” คุยว่าลงชื่อ 3 หมื่นคน ซ้ำยังมี “หน้ากากขาว” อาละวาด ทั้งที่ V for Vandetta เป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อเสรีภาพ นี่เอามาใช้ปกป้องรัฐประหารและการใช้กระสุนจริงปราบม็อบ
เห็นภาพม็อบสนามหลวงใส่ชุดทหารปลดแอก ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แล้วผมก็ขำปนเศร้า พรรคคอมมิวนิสต์เป็นอดีตไปนานแล้ว อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ตกยุคหมดสมัยไปนานแล้ว แม้ต้องยกย่องจิตใจต่อสู้ เสียสละ ของสหายในอดีต แต่เครื่องแบบ ทปท.ควรเชิดชูไว้บนหิ้ง ไม่ใช่เอามาใส่เป็นตัวตลก เพื่อรับใช้เป้าหมายทางการเมือง
ภาพมันตัดกันอย่างน่าขำ ยิ่งลักษณ์กำลังพูดถึงการก้าวกระโดดใหญ่ทางเศรษฐกิจใน 10-20 ปีข้างหน้า ขณะที่อดีตคอมมิวนิสต์แก่ๆ กับอดีตนักปราบคอมมิวนิสต์แก่ๆ ยังเรียกหารัฐประหาร หรืออยากให้ศาลล้มรัฐบาลอีกครั้ง ส่วนฝ่ายค้าน ก็เอาแต่ปกป้องรัฐประหาร รัฐธรรมนูญ และการสลายม็อบ ทำอย่างไรก็ก้าวไม่พ้น “ทักษิณ”
กระแสหลุดโลกเหล่านี้ควรจะตกไปนานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสื่อเอียงข้างช่วยกระพือ แต่ของจริงต้องถามว่าประชาชนทั่วไปเอาด้วยไหม หรือเบื่อหน่ายเต็มที คำตอบน่าจะเห็นได้ไม่ยาก
ภาคธุรกิจ นักลงทุน ประชาชนทั่วไป ล้วนแต่มองไปข้างหน้า กลุ่มทุนทั้งหลายต่อให้เคยเป็นปรปักษ์กับทักษิณ วันนี้ทำมาหากินดีกว่า มีเค้กให้แบ่งเหลือเฟือ อีกไม่นาน ขบวนเคลื่อนไหวการเมืองที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ถอนรากถอนโคนในสังคมไทย จะเริ่มกลายเป็นตัวตลก ได้แต่ร้องตะโกนอยู่ชายขอบ โดยอาจมีแฟนคลับคลั่งไคล้จำนวนหนึ่ง ผูกพันกันอยู่ในทีวีดาวเทียม วิทยุชุมชน เว็บไซต์ เฟซบุ๊ค หรือหนังสือพิมพ์บางฉบับ แต่ไม่สามารถสร้างผลสะเทือนอะไร มีแต่ระบายอารมณ์ค้างเท่านั้น
เรื่องเศร้าคือ สภาพเช่นนี้จะเกิดกับทั้งเหลืองและแดงที่สุดโต่ง เสื้อเหลืองที่ต้องการล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” เพ้อหาสังคมใสสะอาดปราศจากคอร์รัปชั่น เสื้อแดงที่ต้องการ “โค่นล้มอำมาตย์” ชำระประวัติศาสตร์ปราศจากความเหลื่อมล้ำ อาจต้องกลายเป็น “การเมืองชายขอบ” กันทั้งคู่ แม้เสื้อแดงบรรลุเป้าหมายระดับหนึ่ง คือประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งสถาปนาขึ้นอย่างมั่นคง และหลายประเด็นที่เป็นเหตุผลก็ได้รับการถ่ายทอดสู่สังคม
ประเทศต้องกลับสู่ประชาธิปไตยปกติ จึงเดินไปข้างหน้าได้ ถ้ามัวแต่กลัวทหารจะยึดอำนาจ ศาลจะยุบพรรค ตัดสิทธิ 312 ส.ส. ส.ว. แล้วใครจะมาลงทุนในประเทศไทย
“ประชาธิปไตยปกติ” ไม่ได้หมายความว่าเรามีรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ดีพร้อม ถูกทุกอย่าง แต่ต้องถกเถียงกันได้ด้วยเหตุผล พ้นไปจากการเมืองเสื้อสี ไม่เอาความเกลียดชังเป็นที่ตั้ง ซึ่งถ้าไม่สามารถกลับสู่สภาพนั้นได้ สังคมและประชาชนนั่นเองจะเสียหาย
ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าจะเป็นเหลืองเป็นแดง ก็ควรมีความเห็นของตัวเอง ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับโรงไฟฟ้าถ่านหินของ “เสี่ยเพ้ง” (ที่อุตส่าห์พาสื่อไปดูงานเมืองนอก) มีความเห็นด้วยข้อมูล เหตุผล ไม่ใช่มาจาก Agenda ทางการเมือง เช่น เห็นเป็นอาวุธล้มรัฐบาล หรือเป็นแดงก็ต้องปกป้องรัฐบาล
หรือบ้างก็มีอคติ จนหูเบา เช่น เชื่อว่ากระทรวงพลังงานแกล้งทำให้ไฟดับภาคใต้เพื่อจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน นี่เป็นตัวอย่างความไร้สติที่กระพือกันมา 7 ปี คนกรุงบางคนจบปริญญา จบหมอ จบ ดร. แต่เชื่อข่าวลือในฟอร์เวิร์ดเมล์ หรือแฟนเพจ มากกว่าคิดวิเคราะห์ตามที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น