วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

CPALLยอดขาย-กำไรQ2เด้ง

CPALLยอดขาย-กำไรQ2เด้ง

บริษัทจดทะเบียน วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2556 
ผู้เข้าชม : 15 คน 

นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/56 ทั้งยอดขายและกำไรน่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งปีตั้งเป้าขยาย 550 สาขา และการเติบโตของสาขาเดิมประมาณ 5% ซึ่งทั้งปียอดขายน่าจะเติบโตได้ประมาณ 15% จากปีก่อน
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกน่าจะมีการเติบโตตามการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่คาดการณ์ไว้ในระดับ 5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อน่าจะเติบโต 3% เมื่อธุรกิจค้าปลีกมีการเติบโตก็น่าจะส่งให้บริษัทมีการเติบโตได้ตามเป้าหมาย
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด ระบุว่า CPALL มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2/56 จากการขยายสาขาเพิ่มราว 100-150 สาขา ประกอบกับมีโมเมนตัมบวกต่อยอดขายจากโปรโมชั่นแลกซื้อสินค้า Disney & Winnie the Pooh ที่ใช้สิทธิได้ถึงเดือน เม.ย. และสภาพอากาศร้อนมากขึ้นทำให้สินค้าประเภทเครื่องดื่มและไอศกรีมติดอันดับสินค้าขายดีในไตรมาส 2/56 รวมทั้งคาดว่าร้านเซเว่นฯ จะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1/56
สำหรับการซื้อกิจการ MAKRO เป็นไปตามกำหนดจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือน ส.ค.นี้ โดย CPALL จะเริ่มรับรู้ผลการดำเนินงาน MAKRO ในไตรมาส 4/56 ซึ่งรวมในประมาณการแล้ว นอกจากนี้แม้ CPALL จะมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากการกู้เงินราว 1.7 แสนล้านบาทเพื่อซื้อ MAKRO แต่มองว่าจุดแข็งโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งครอบคลุมค้าส่ง-ค้าปลีก
ทั้งนี้ CPALL มีทางเลือกระดมทุนโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเช่น การเติบโตของกระแสเงินสดหลังควบรวม, การออกกองทุน REIT รวมทั้งการนำบริษัทลูกอื่นๆ เข้าจดทะเบียนในตลาด จากการควบรวมจะหนุนกำไรสุทธิ 3 ปีข้างหน้าเติบโต 24% จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 63 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) ระบุว่า CPALLมีแนวโน้มยอดขายในไตรมาส 2/56 เบื้องต้นโตลดลง เนื่องจากตั้งแต่ไตรมาส 2/55 การผลิตและส่งสินค้าของกลุ่ม Supplier เริ่มกลับสู่ภาวะปกติแล้ว จึงประเมินอัตราการเติบโตของสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 2/56 จะเป็นบวกลดลงและให้น้ำหนักการเติบโตของผลการดำเนินงานช่วงเหลือของปีจะอยู่ขึ้นกับการเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรเป็นหลัก เช่น การใช้กลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่มอาหาร เป็นต้น
ขณะที่การควบรวมกิจการกับ MAKRO ในไทย จึงประเมินไม่เห็นผลบวกต่อตัวเลขประมาณการกำไรระหว่างก่อนและหลังควบรวมอย่างมีนัยยะในช่วง1-2 ปีข้างหน้า จึงคาดกำไรสุทธิปี 2556-2557 อยู่ที่ 13,944 ล้านบาทและ 15,042 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 26% จากปีก่อน และ 8% จากปีก่อน ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ด้วยความไม่ชัดเจนจากประโยชน์ที่จะเพิ่มขึ้นทั้งด้านอำนาจการต่อรองและมูลค่าแฝงในที่ดินที่มีอยู่ของ MAKRO ซึ่งสวนทางกับฐานะการเงินที่จะตึงตัวขึ้นอย่างชัดเจน จึงคาดอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E Ratio) หลังควบรวมจะเพิ่มขึ้นเหนือ 5 เท่า จึงคงคำแนะนำ “รอซื้อเมื่ออ่อนตัว” โดยมีราคาเป้าหมายปี 2556 ที่ 49 บาท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น