ชื่อ:  news_img_503603_1.jpg
ครั้ง: 404
ขนาด:  38.3 กิโลไบต์

ช่วงสงกรานต์ผมได้ไปท่องเที่ยวสาธารณรัฐเชคโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงปร้ากที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ และเช่นเคย นอกจากความบันเทิงหย่อนใจแล้ว ผมก็มักจะ “วิเคราะห์” ถึงประวัติศาสตร์ ความเป็นไป สถานะปัจจุบัน และคิดไปถึงอนาคตว่าประเทศหรือดินแดนที่ผมกำลังเดินอยู่นั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่มันคงไม่มีความหมายมากนักหากผมจะไม่โยงมาว่าข้อมูลที่ผมได้จากการศึกษาเมืองปร้ากนั้นมันมีความหมายอะไรกับเมืองไทย ลองมาดูกัน

ข้อแรกที่ผมเห็นก็คือ กรุงปร้ากนั้นดูเหมือนจะยังเป็นเมือง “โบราณ” เพราะอาคารบ้านเรือนและร้านค้าต่าง ๆ นั้นส่วนใหญ่มากเป็นตึกเก่าที่อาจจะสร้างมาแล้วหลายร้อยปี หรือบางแห่งอาจจะเป็นพันปี ตึกเหล่านี้มีความสวยงามเต็มไปด้วยศิลปะแต่ที่สำคัญยังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และก็แน่นอนว่าทุกอย่างภายในอาคารนั้นมีการปรับปรุงและใส่เครื่องมือและอุปกรณ์ของโลกสมัยใหม่ที่ทำให้มันทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการอยู่อาศัยและทำงานในโลกสมัยใหม่ ข้อนี้ถ้าจะพูดไปก็มีความละม้ายคล้ายกับเมืองหลวงของหลายประเทศในยุโรปที่มีการอนุรักษ์อาคารและของเก่า ๆ ไว้ ซึ่งผลพลอยได้ที่สำคัญก็คือ ทำให้เมืองสวยและน่าท่องเที่ยว ความแตกต่างของกรุงปร้ากเมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ ในยุโรปก็คือ ปร้ากนั้นแทบไม่มีตึกสูงเลย และบ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็ไม่แออัด นี่ทำให้ปร้ากนั้นเป็นเมือง “สบาย ๆ” ที่ดูผ่อนคลาย เมืองอาจจะไม่มีอะไรที่ “ยิ่งใหญ่” ระดับโลก แต่มันก็มีทุกอย่างครบ ไล่ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ของโบฮีเมียนไปจนถึงการแสดงละครเวทีและโอเปร่าชั้นนำไปถึงพิพิธภัณฑ์ที่มีอยู่มากมายและสถานที่ช็อปปิงของที่ระลึกที่สวยงามน่าสนใจ และนี่ทำให้การท่องเที่ยวน่าจะเป็นรายได้หลักอย่างหนึ่งของเชค
สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งอย่างหนึ่งเมื่อเดินตามสถานที่ท่องเที่ยวของปร้ากก็คือ ร้านนวดแบบไทยซึ่งเสนอการนวดทุกประเภทเช่น นวดแผนโบราณ นวดน้ำมันหรือนวดฝ่าเท้า โดยพนักงานที่ผมดูแล้วก็น่าจะเป็นคนไทยที่เดินทางไปจากเมืองไทยเป็นส่วนใหญ่ ราคาค่านวดนั้นถ้าใช้มาตรฐานของฝรั่งแล้วก็ถือว่าไม่แพง ราคาเริ่มต้นอาจจะ 300-400 บาทไทย ไม่ต่างจากเมืองไทยมากนัก เพียงแต่เวลาอาจจะสั้นกว่า สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งนั้นไม่ใช่ว่าเจอร้านนวดไทย แต่ผมทึ่งเพราะมันมีค่อนข้างมากและเห็นทั่วไปหมด ผมคิดว่าร้านนวดนั้นน่าจะเป็นเป็นธุรกิจที่ดีมากในเมืองท่องเที่ยวในแถบประเทศยุโรปที่มีอากาศหนาวเย็นที่คนเดินเที่ยวกันมากและจะรู้สึกเมื่อยอยากพักนวด การที่มีร้านนวดแบบไทยที่นักท่องเที่ยว “ทั่วโลก” เห็นและคุ้นเคยนั้น ผมคิดว่าเป็น “ทรัพย์สิน” ที่ประเทศไทยควรใช้ให้เป็นประโยชน์ ผมมองไปว่าธุรกิจการนวดนั้นเราน่าจะทำให้มันเป็น “ธุรกิจใหญ่” ที่ไทยสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพในประเทศและสามารถส่งออกได้ทั่วโลกตามเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ผมเองยัง “ฝัน”ว่าน่าจะมีบริษัทที่มุ่งมั่นทำร้านนวดไทยให้เติบโตและสามารถนำเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่ผมจะซื้อหุ้นลงทุนได้ด้วย

ข้อสังเกตเรื่องที่สองที่ทำให้ผมรู้สึกทึ่งก็คือ ผมได้มีโอกาสใช้บริการคนขับรถของสถานทูตไทยในกรุงปร้าก เขาเป็นคนหนุ่มอายุน่าจะซัก 30 เศษ ๆ ที่หน้าตาดีและการศึกษาก็น่าจะดีด้วย ผมไม่รู้ว่ารายได้เขาเป็นอย่างไร แต่ก็คงเดือนละหลายหมื่นบาทตามอัตราค่าแรงของคนขับรถในประเทศที่ “เจริญแล้ว” อย่างเชค ผมทึ่งเพราะเขาสามารถพูดได้หลายภาษาซึ่งแน่นอนรวมถึงภาษาอังกฤษที่พูดได้คล่องแคล่ว สามารถอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยวหรืองานอื่น ๆ ที่ “นาย” จะใช้ เช่น จองตั๋วดูคอนเสิร์ต แนะนำและพาไปแหล่งท่องเที่ยวหรือร้านอาหารที่น่าสนใจได้ ว่าที่จริงเขาคงทำได้อีกหลาย ๆ อย่างรวมถึงการ “รับแขก” การแต่งตัวของเขานั้นดูดีเท่า ๆ กับหรือดีกว่าเราที่เป็นแขกซะอีก เมื่อได้คุยกันเขาบอกว่าเขาชอบเมืองไทยมากและมาพักผ่อนที่ประเทศไทยทุกปี ปีละครั้งโดยการเก็บเงินจากรายได้พิเศษเช่นค่าโอทีจากการขับรถ เป็นต้น และนี่คือสิ่งที่ผม “ทึ่ง” ที่ว่าพนักงานขับรถของสถานทูตไทยในเชคนั้น สามารถเที่ยวเมืองไทยได้ทุกปี แต่พนักงานขับรถสถานทูตเชคในไทยนั้น ผมเชื่อว่าไม่สามารถไปเที่ยวเชคได้ อย่าว่าแต่ทุกปีเลย

ประเด็นก็คือ ถ้าเราเชื่อว่างานอย่างเดียวกันน่าจะมีคุณค่าเท่ากันหรือใกล้เคียงกันไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไหน พนักงานขับรถไทยก็น่าจะสามารถไปเที่ยวต่างประเทศไกล ๆ ได้ซักปีละครั้งตามพนักงานขับรถเชค แต่นี่ไม่ใช่ ดังนั้น อาจจะแปลว่า คนขับรถเชคมีหรือได้รับคุณค่าสูงเกินไป หรือถ้าจะพูดแบบนักลงทุนก็เรียกว่า Over Valued หรือไม่ก็คนขับรถไทยได้รับคุณค่าหรือเงินรายได้น้อยเกินไป หรือถ้าพูดแบบหุ้นก็คือ Under Valued แต่ก็อาจจะมีคนเถียงว่า “คุณภาพ” ของคนขับรถเชคนั้นสูงกว่าคนขับรถไทยมากเนื่องจากเหตุผลข้างต้นที่บอกว่าคนขับรถเชคนั้นสามารถทำอะไรต่าง ๆ ได้เหนือกว่าคนขับรถไทยมาก ดังนั้น “ราคา” ของคนขับรถเชคนั้นสมเหตุผลแล้วเช่นเดียวกับคนขับรถไทยที่ทำงานอย่างอื่นไม่ค่อยได้นอกจากขับรถ


ในความรู้สึกของผมที่ต้องวิ่งหาคนขับรถที่บ้านในเมืองไทยอยู่เรื่อย ๆ เพราะคนขับรถมักจะไม่อยู่นานเพราะเขาอยากไปขับแทกซี่หรือหางานอื่นทำ แต่ในเวลาเดียวกัน คนขับรถที่เชคนั้น เมื่อได้งานแล้วก็มักจะต้อง “เกาะไว้ให้แน่น” เพราะงานแบบนี้อาจจะหายากโดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำลงเรื่อย ๆ ผมคิดว่า มองโดยเปรียบเทียบแล้ว คนขับรถเชคน่าจะ Over Value กว่าคนขับรถไทย และถ้าเป็นหุ้น เราก็คงต้อง Switch หรือขายหุ้นคนขับรถเชคและมาซื้อหุ้นคนขับรถไทย เพราะในที่สุดแล้ว ทุกอย่างก็ต้องวิ่งไปสู่ “พื้นฐาน” ความหมายก็คือ ในอนาคต คนขับรถเชคก็อาจจะมาเที่ยวเมืองไทยได้น้อยลง อาจจะ 2 ปีครั้ง ในขณะที่คนขับรถไทยอาจจะไปเที่ยวเชคได้ 3 ปีต่อครั้ง

ที่ผมยกเรื่องคนขับรถมาพูดนั้น เพื่อที่จะนำไปสู่ภาพใหญ่ที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร มันก็น่าจะมีความสัมพันธ์คล้าย ๆ กันนั่นคือคนเชคก็อาจจะบริโภคได้น้อยลงเมื่อเทียบกับคนไทย ถ้ามองจากตัวเลขก็คือ เศรษฐกิจเชคจะโตช้ากว่าเศรษฐกิจไทยไปเรื่อย ๆ ในระยะเวลาหนึ่ง หรือไม่ก็ค่าเงินของเชคอาจจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเงินบาททำให้คนเชคมาเที่ยวเมืองไทยได้น้อยลงในขณะที่คนไทยไปเที่ยวเชคได้มากขึ้น และสุดท้ายก็คือ ประเทศไทยก็อาจจะกลายเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ใกล้เคียงกับเชคโดยที่รายได้หลักของไทยอาจจะมาจากอุตสาหกรรมที่หลากหลายรวมถึงการท่องเที่ยวและมีชื่อเสียงในด้านของการเป็นประเทศที่ให้บริการ “นวด” ที่โดดเด่นคล้าย ๆ กับอิตาลีที่มีเรื่องของแฟชั่นหรือฝรั่งเศสที่มีไวน์เป็นสินค้าที่โดดเด่น ในขณะที่เชคเองก็ยังคงโดดเด่นเรื่องการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมบางอย่างเช่นเรื่องของ นาโนเทคโนโลยีหรือการแพทย์บางด้าน เป็นต้น

สุดท้ายที่ผมไม่ใคร่ได้เห็นในกรุงปร้ากก็คือ เรื่องของข่าวและความเคลื่อนไหวของธุรกิจและตลาดหุ้น ตามร้านหนังสือซึ่งผมมักจะต้องแวะเยี่ยมเยือนทุกเมืองที่ไปนั้น หนังสือเกี่ยวกับธุรกิจและหุ้นดูเหมือนจะมีน้อย ซึ่งนี่แตกต่างจากกรุงเทพที่เรามีหนังสือหุ้นออกใหม่หรือแม้แต่เก่าที่ได้รับความนิยมสูง หรือแม้แต่ประเทศในเอเซียอย่างสิงคโปร์หรือมาเลเซียที่ผมไปก็มักจะพบว่าชั้นที่เกี่ยวกับธุรกิจและหุ้นจะมีหนังสือดังอยู่พอสมควร และนี่ทำให้ผมสรุปว่า เมืองไทยเรานั้น ยังเป็นประเทศที่กำลังเติบโตคึกคักและยังน่าจะโตต่อไปพอสมควรและนี่ก็เอื้ออำนวยต่อการลงทุนโดยเฉพาะของชาว VI ทั้งหลาย