วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เทคนิคการใช้ Technical Analysis

Friday, 17 May 2013

เทคนิคการใช้ Technical Analysis

« โอกาสทอง...จริงหรือ | Main | หุ้นลงตั้งหลักรับมือชะลอ QE »
นักลงทุนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่พอจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า  การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ก็คือ การวิเคราะห์แนวโน้มหุ้นจากกราฟราคาและปริมาณซื้อขายหุ้น รวมไปถึงกราฟที่เรียกว่า Indicator อีกหลายรูปแบบที่มีนักคิดค้นสร้างสูตรส่วนผสมแล้วเกิดเป็นกราฟที่ช่วยคาดคะเนทิศทาง เช่น RSI MACD ฯลฯ

                ที่จริงนอกจากในตลาดหุ้นแล้ว ในแวดวงตลาดค้าเงินตราต่างประเทศ ตลาดล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย เช่น น้ำมัน ทองคำ ฯลฯ ก็ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง

            จุดสำคัญที่ทำให้บรรดานักวิเคราะห์ นักลงทุน และนักเก็งกำไรจำนวนมากนิยมใช้การวิเคราะห์เทคนิค (ไม่ว่าจะใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หรือใช้เทคนิคล้วนๆ ก็ตาม)  ก็เนื่องจากสามารถทำนายทิศทางราคาต่อไปข้างหน้าได้พอสมควร บอกบริเวณราคาที่น่าจะมีแรงขายโต้จากแนวต้าน   และบอกราคาที่น่าจะมีคนช่วยกันซื้อจากแนวรับ เป็นต้น

              เรียกว่าฟันธงกันจะๆ โดยใช้ทฤษฎีเก่าแก่ที่นักเทคนิคชั้นนำของโลกเขียนไว้  รวมกับผลการสังเกตการณ์หรือผลทดสอบผลลัพธ์ของการใช้เครื่องมือทางเทคนิคแต่ละชิ้น

             สำหรับในแวดวงตลาดหุ้นไทยนั้น  ผมพบว่ามีการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาแล้วไม่ต่ำกว่า 27 ปี หรืออาจนานกว่านั้นก็ได้ ก่อนที่ผมจะเดินเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย

               ประมาณช่วงปี 2529-2530 วันที่ผมยังทำงานอยู่ที่ธนาคารแห่งหนึ่ง   และเป็นช่วงที่ผมเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นใหม่ๆ   มีนักลงทุนจำนวนหนึ่งในตลาดหุ้นที่ได้สนใจใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้ว

             ขณะที่ผมและเพื่อนๆ ที่ธนาคารก็ได้ใช้เวลาหลังเลิกงานทำการวิเคาะห์งบการเงินของบริษัทหุ้นที่เราสนใจ   และเพื่อความรอบคอบจึงนำข้อมูลวิเคราะห์ทางเทคนิคมาประกอบกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้วย

             สมัยนั้นยังไม่มี Software วิเคราะห์เทคนิคแพร่หลายในไทยแบบทุกวันนี้   ผมต้องเก็บดัชนีตลาดหุ้น  และราคาหุ้นของตัวที่เราสนใจ   และคำนวณหาเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่   จากนั้นให้เครื่อง PC ทำเป็นกราฟมานั่งเล็งหาสัญญาณซื้อขายกัน

              ปี 2531 ผมได้เข้ามาทำงานเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เต็มตัว ก็พบว่า ช่วงนั้นหลายๆ บล.รวมทั้ง บล.ที่ผมทำงานอยู่มีงานวิเคราะห์ทางเทคนิคบริการลูกค้าแล้ว  ด้วย Software Computer ที่ดีขึ้นพอสมควร

             
ผมเองเริ่มต้นชีวิตนักวิเคราะห์ด้วยการเป็นนักวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐาน    แต่มีบางจังหวะของชีวิตทำงานที่ได้รับโอกาสโดดข้ามไปทำงานวิเคราะห์ทางเทคนิคอยู่เต็มๆ ช่วง 2533-2535  ก่อนที่จะโยกกลับมาดูงานวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานควบไปกับการคุมทีมนักวิเคราะห์เทคนิคไปพร้อมกัน

          ชีวิตจึงคุ้นเคยกับบรรดานักวิเคราะห์ทางเทคนิครุ่นแรกๆ มากพอสมควร  และยืนยันได้เลยว่า  ประเทศไทยมีบุคลาการที่มีองค์ความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อเล่นหุ้น ไม่แพ้ประเทศย่านเอเซียด้วยกัน

             ยิ่งในยุค 15 ปีหลังที่บริการข้อมูลวิเคราะห์ทางเทคนิคแพร่หลายมาก  และสะดวกสบายไม่ต้องนั่ง Update  ข้อมูลราคาเข้าไปเอง  ความสนใจและสะดวกใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงแพร่หลายยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะวิ่งแซงหน้าการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานนะครับ

             เพราะในความเป็นจริง การวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานก็แพร่หลายกระจายไปถึงผู้ลงทุนเป็นอย่างมากและมากกว่าทางเทคนิคด้วยซ้ำ  รวมถึงบรรดาผู้ลงทุนก็มีความรู้ความสนใจในการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานยิ่งกว่าในยุคอดีต

                การวิเคราะห์ทางเทคนิค ก็มีทั้งจุดที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างดี และก็มีจุดโหว่บางมุมที่ต้องระวัง  จำเป็นต้องสั่งสมประสบการณ์และความชำนาญจากการเรียนรู้ที่ยาวนานเหมือนๆ กับวิชาความรู้ด้านอื่นๆ

             เทคนิคของการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคที่อยากนำเสนอกับคุณผู้อ่านหลายท่านที่ยังอยู่ในช่วงแรกๆ ของการฝึกฝนสนใจวิเคราะห์ทางเทคนิค มีดังต่อไปนี้
               1.      ไม่ควรใช้กับหุ้นที่มีการซื้อขายน้อย หรือมีคนคุมเกมราคาได้แนวรับกับแนวต้านจะจะไร้ความหมายทันที ถ้าหุ้นนั้นถูกซื้อขายด้วยนักลงทุนจำนวนน้อย    หรือเป็นหุ้นเล็กที่มีคนปั่นลากไปลากมาได้ 
หุ้นที่เหมาะกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือ หุ้นที่มีขนาดใหญ่และมีมูลค่าการซื้อขายโดยธรรมชาติมากๆ  และสม่ำเสมอมานาน  การคาดคะเนความคิดของคนส่วนใหญ่มีโอกาสถูกต้องมากขึ้นกว่าการคาดคะเนคนแค่ไม่กี่คน

               2.      ต้องปรับค่าการใช้ให้เหมาะสมกับหุ้นในแต่ละตัว ยกตัวอย่างเช่น  เปิดตำราต่างประเทศเขียนถึง RSI ซึ่งจะมีการบอกว่าระดับ 70% ขึ้นไปเป็นเขต Overbought ส่วน 30% ลงไปเป็นเขต Oversold ต้องไม่นำไปใช้โดยไม่ปรับแต่งหุ้นในประเทศไทยนั้น สวิงสวายยิ่งกว่าหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว  โดยเฉพาะต้นตำรับของตลาดหุ้นสหรัฐ  ซึ่งพิสูจน์ได้ด้วยค่าสถิติเปรียบเทียบ)                   ดังนั้นระดับ Overbought ของหุ้นไทยหลายหุ้น หรือ SET Index จึงอาจวิ่งเกิน 70% ได้เยอะแยะ  และยามดำดิ่งลงต่ำกว่า 30% ได้มากมาย
สิ่งที่ต้องศึกษาคือ  การเปิดกราฟย้อนหลังหลายๆ ปี และจดบันทึกว่า หุ้นตัวนั้นมักจะ Peak ด้วย RSI หรือ Indicators อื่น) แถวไหน เป็นต้น

               3.      ถ้าซื้อด้วยเทคนิค อย่าลืมปิดเกมด้วยเทคนิค
ถ้าคุณตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นใดด้วยสัญญาณทางเทคนิค (ที่วิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว)  โดยไม่ได้ให้น้ำหนักกับการพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดทางด้านปัจจัยพื้นฐาน
คุณก็อย่าลืมปิดเกมนั้นด้วยเทคนิคไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนในตอนจบ  โดยเฉพาะตอนขาลงนั้น หลายๆ ครั้งที่หุ้นประเทศไทยสามารถลงได้อย่างลึกล้ำและฉับไว
บรรดามือเก๋าในการเก็งกำไร จะมีจุด Stop loss ซึ่งหมายถึงกัดฟันขายปิดเกมเพื่อไม่ให้ขาดทุนเกินกว่านั้น
สัญญาณขายทางเทคนิคที่อาจจะมาจากการตกแนวรับใหญ่ การตกจากเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้ หรือ MACD ตัดลง ฯลฯ ก็เป็นจุดที่บอกชัดเจนสำหรับการตัดสินใจ

                 4.      อย่าใช้เวลาชั่ววูบในการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค
ในฐานะที่เคยรับบทวิเคราะห์ทางเทคนิคมาพอสมควร รวมถึงเป็นผู้สอนวิชาวิเคราะห์ทางเทคนิคมาประมาณกว่า 10 ปี ผมไม่คิดว่าจะสามารถใช้เวลาแค่ 1 นาทีดูกราฟหุ้นตัวที่เราไม่ได้ดูอยู่ประจำ แล้วฟันธง ขายไปเลยครับ  ซื้อไปเลยครับ มันน่าจะมีจุดโหว่เยอะ
ผมยกตัวอย่างคุณมองกราฟรายวันของหุ้นตัวหนึ่ง มีเส้นเฉลี่ย 4 เส้น มี Indicators อีก 3 ตัว คุณย่อมต้องใช้ความคิดพิจารณาระดับหนึ่ง  เช่น พบว่าเป็นสัญญานซื้อ
แต่ถ้าดูภาพที่ใหญ่ขึ้น  โดยเรียกกราฟรายสัปดาห์มาดู ก็พบว่ามีกรอบแนวต้านจากเส้นแนวโน้มใหญ่  หรือมี Peak ที่สำคัญมากเมื่อ 2 ปีก่อน รอจ่อเป็นแนวต้านอยู่สูงขึ้นไปแค่ 3% คุณก็ต้องเปลี่ยนใจเชื่อแนวต้านใหญ่มากกว่า เลยไม่ซื้อ
ดังนั้น แนะนำให้โปรดใช้เวลาพิจารณายาวกว่าชั่ววูบ ไม่ว่าคุณจะนิยามตัวเองเป็นนักเก็งกำไรที่สั้นมากก็ตาม

                  5.      ใช้บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานช่วยคัดกรองก็น่าจะเป็นประโยชน์การดูบทสรุปของนักวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐาน ไม่น่าจะทำให้คุณต้องเสียเวลามากนัก ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คุณหลุดเข้าไปเล่นหุ้นที่พื้นฐานธุรกิจไม่เหมาะสมกับราคา รวมถึงหลุดจากบรรดาหุ้นปั่นๆ
กรองขั้นแรกจากนักวิเคราะห์พื้นฐาน  แล้วต่อยอดด้วยสัญญาณเทคนิคที่พิจารณาอย่างดีน่าจะเป็นสูตรสำเร็จที่ดี  เช่นเดียวกับที่ผมได้รับฟังว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายคนก็ใช้วิธีนี้

วันนี้พื้นที่คอลัมน์เต็มแล้ว พบกันใหม่เดือนหน้า และฝากถึงบรรดาผู้ติดต่อกับผู้ลงทุน และนักวิเคราะห์ รวมถึง บจ.ว่า สมาคมฯ จะจัดอบรม “UPDATE ประเด็นเด็ด...กรณีพิพาท และแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องฯ ” ศุกร์ที่ 14 มิ.ย. 56 เวลา 18.00-21.00 น. ค่าสัมมนา 700-900 บาทเท่านั้น ติดต่อ 02-229-2355 begin_of_the_skype_highlighting 02-229-2355 FREE  end_of_the_skype_highlighting

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น