ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ชื่อ:  13714932371371493262m (1).jpg
ครั้ง: 2033
ขนาด:  54.0 กิโลไบต์
ในที่สุด "ศึกวันแดงเดือด" ของตลาดหุ้นไทยก็ปรากฏขึ้นให้นักลงทุนได้หวาดกลัวอีกครั้ง หลังจากรอบแรกเมื่อช่วงวันที่ 18-22 มี.ค.ดัชนีร่วงลึกถึง 119.16 จุด แต่ครั้งนี้สถานการณ์ดูจะร้ายแรงกว่า เพราะดัชนีนับตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.-12 มิ.ย.ปรับตัวลดลงเกือบ 200 จุด ทำให้นักลงทุนรายย่อยบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย แม้คนเล่นมาร์จิ้นจะถูกบังคับขายไม่มากแต่ก็ต้องหาเงินมาเติมหลักประกันเพิ่ม

ความยากของการหนีตายในตลาดหุ้นช่วงขาลง คือนักลงทุนส่วนใหญ่ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะขายตัดขาดทุน หรือควรถือต่อดี หรือควรซื้ออย่างไร "ประชาชาติธุรกิจ" จึงสำรวจความเห็นของนักลงทุนขาใหญ่ เปิดกลยุทธ์หนีตายจากสภาวะที่ตลาดหุ้นทิ้งดิ่งมานำเสนอ

โดย "ธำรงชัย เอกอมรวงศ์" หรือ "หยง" นักลงทุนขาใหญ่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค ฉายภาพตลาดหุ้นไทยว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบนี้ค่อนข้างแปลก เนื่องจากปกติการปรับตัวลดลงหรือเพิ่มขึ้นของดัชนีตามแนวรับและแนวต้าน มักจะมีการทดสอบในลักษณะเป็นแรงยื้อ ณ ระดับการซื้อขายนั้น ๆก่อน แต่ในรอบนี้พบว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับทรุดตัวอย่างรุนแรง โดยไม่มีแรงฉุดรั้งตามกรอบแนวรับเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต ถือเป็น "สัญญาณอันตราย" ที่ควรปรับพอร์ตการลงทุนในระยะสั้น

"ปกติแล้ว เรามักจะเห็นแรงยื้อเกิดขึ้นตามเส้นแนวรับและแนวต้านต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่าเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งแต่ละจุดของดัชนี ก่อนที่จะมีการตัดสินใจปรับตัวไปทางใดทางหนึ่ง แต่รอบนี้ไม่ใช่เลย มันมาแบบชนแนวรับแล้วหลุด ทะลุลงตลอด ซึ่งผมเองก็ล้างพอร์ตหุ้นไทยไปแล้ว เหลือถือแค่ 1-2 ตัวเท่านั้น"

"หยง" วิเคราะห์ต่อว่า แรงเทขายอย่างรุนแรงของนักลงทุนต่างชาติ มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาทในรอบนี้ ยังมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นอีกต่อเนื่อง และเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่าดัชนีจะปรับตัวลงลึกถึงระดับใด ดังนั้น โดยส่วนตัวมองว่า สภาพการซื้อขายในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.ยังไม่มีจังหวะสวย ๆ ของการลงทุนอย่างแน่นอน

"ถ้าหุ้นไม่สวย ไม่มีปัจจัยพื้นฐาน ไม่มีสตอรี่ ดันราคาให้เด่นแบบ ณเดชจริง ๆ ผมไม่ซื้อหรอก เพราะมันเสี่ยง หากเป็นนักลงทุนประเภทเก็งกำไรที่ยังถือหุ้นในพอร์ตอยู่ ผมว่าต้องทบทวนและตั้งคำถามกับตัวเองแล้วว่า ยังถือเพราะอะไร เพราะชั่วโมงนี้ ถ้าไม่มีเหตุผล ก็ควรเคลียร์พอร์ตให้หมดแล้ว"

ขณะที่ "ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สต็อคทูมอร์โรว์ (เว็บไซต์ S2M) และในฐานะนักลงทุน

ขาใหญ่ ซึ่งลงทุนแบบผสมผสานด้วยการทำกำไรโดยอ่านกราฟสัญญาณทางเทคนิค ได้ให้มุมมองว่า ดัชนีที่ดิ่งลงแรงรอบนี้ เป็นเพียงการปรับฐานระยะสั้นเท่านั้น ตลาดหุ้นต่อจากนี้ จะเห็นการแกว่งตัวขึ้นแรงลงแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะตลาดมี
ผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์ รอจังหวะอยู่ คนที่เห็นช่องว่างของราคาหุ้นบนปัจจัยพื้นฐานกับอารมณ์นักลงทุนที่ตื่นตระหนก ก็จะมีการปรับพอร์ตหาช่องทำกำไรกัน

"ผมเชื่อว่าภายในกลางเดือนสิงหาคม ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาได้ เพราะแนวโน้มกำไร บจ. (บริษัทจดทะเบียน) ยังคงเติบโต โดยเฉพาะหลังจากที่ทางการให้จ่ายภาษีนิติบุคคลลดลงเหลือ 20% เท่านั้น แถมพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเราก็ไม่แย่ ต่างจากยุโรปที่ยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้น การที่ต่างชาติขายรอบนี้ ก็เพียงทำกำไร แต่ในที่สุด ก็น่าจะมีเงินทุนไหลกลับได้"

ขาบอกว่า เมื่อภาวะ "ฝุ่นตลบ" เริ่มเข้าที่ระดับหนึ่ง ก็ควรจะหาหุ้นที่น่าสนใจเข้าซื้อ โดยยังให้น้ำหนักกับหุ้นในกลุ่ม
รับเหมาก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมีประเด็นโครงการลงทุน 2.2 ล้านล้านของรัฐบาลสนับสนุน รวมถึงหุ้นของ บจ.ที่เริ่มหันมาทำธุรกิจไฟฟ้าพลังงานทดแทน เช่น โซลาร์เซลล์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนค่า Adder จากรัฐบาล ทำให้แนวโน้มสร้างผลประกอบการได้อย่างมั่นคง

สัญญาณที่ส่งมาจาก 2 นักลงทุนขาใหญ่ เป็นเสียงสะท้อนให้นักลงทุนรายย่อยพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อสร้างทาง
รอดจาก "ศึกวันแดงเดือด" นี้ได้