วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สื่อสายฟ้าแลบกับการลงทุน

Monday, 24 June 2013
สื่อสายฟ้าแลบกับการลงทุน
« เลือดนองตลาด | Main
ตั้งแต่มีระบบอินเตอร์เน็ตที่ทรงประสิทธิภาพผ่านระบบโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์แบบพกพาได้แล้ว   ผมก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ  มากมายเกิดขึ้นในโลก  ในทางสังคมนั้น  เหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นแล้วคน  “ประทับใจ” ก็จะเกิดการส่งต่อด้วยวิธีการต่าง ๆ  ผ่านระบบสื่อที่เป็นธุรกิจและ “สื่อสังคม” ทันทีราวกับ  “สายฟ้าแลบ”   ผลก็คือ  มันก็กลายเป็น  “Talk of the town”  หรือเรื่องที่คนพูดถึงและวิจารณ์กันอย่างกว้างขวางและส่งผลกระทบต่อไปเป็นทอด ๆ  บางเรื่องก็ทำให้คน  “ดังในชั่วข้ามคืน”  อย่างกรณีของนักร้องเกาหลีที่เต้นแบบ  “กังนัมสไตล์”  จนคนทั่วโลกคลั่งไคล้  ในทางตรงกันข้าม  มันก็อาจจะทำให้ธุรกิจหรือคนเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงได้เช่นกัน

          ในทางการเมืองนั้น  เหตุการณ์  “อาหรับสปริง”  และการชุมนุมอีกหลายอย่างเช่น  “Occupy Wall Street” ที่คนประท้วง “ความโลภและความเลวร้าย” ของระบบตลาดทุนในสหรัฐนั้น  ก็เป็นผลจากระบบของ  “สื่อสังคมแบบสายฟ้าแลบ” ที่ทำให้คนออกมารวมตัวกันเพื่อต่อต้านสิ่งที่พวกเขาคิดเหมือนกันและมีความคิด  “รุนแรง” กับเรื่องดังกล่าว  โดยที่คนเหล่านี้อาจจะมีจิตวิทยาหรือความเชื่อของตนที่มีมานาน  หรืออาจจะเป็นคนที่ได้รับข้อมูลที่ถูกส่งมาจากคนที่มีความคิดและความเชื่ออย่างนั้นมาอย่างต่อเนื่องทำให้เขาคล้อยตามและเข้าร่วมชุมนุมด้วย  ผลก็คือ  ม็อบนั้นเกิดเร็วและแรงกว่าที่เคยเป็นมาในอดีตที่คนไม่สามารถส่งต่อหรือติดต่อความคิดและการนัดหมายกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          ในทางเศรษฐกิจและการเงินเองนั้น  ผลกระทบจาก  “ข้อมูลสายฟ้าแลบ” นั้น  ส่งผลให้ระบบการเงินที่เป็นตัวแทนของเศรษฐกิจจริงเกิดการปั่นป่วนรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ   มติการประชุมของธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจชั้นนำเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกานั้นถูกส่งต่อทันทีไปทั่วโลก   คนที่มีอำนาจในการตัดสินใจทางเศรษฐกิจและการลงทุนแทบทุกประเทศต่างก็  “React” หรือตอบสนองโดยการปรับกลยุทธ์ทางด้านของอัตราดอกเบี้ย  อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน  และนโยบายในการจัดงบประมาณของประเทศ  ผลก็คือ  ในบางครั้งตลาดก็เกิดความปั่นป่วนเนื่องจากการ “เคลื่อนย้าย”  ของเม็ดเงินอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

          ช่วงเร็ว ๆ  นี้  ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยนั้น  บางวันดัชนีตกลงไปกว่า 40 จุดหรือประมาณ 3% ในช่วงเช้า  แต่พอถึงตอนบ่ายดัชนีกลับปรับตัวขึ้นเป็นประมาณเท่าเดิมได้  เช่นเดียวกัน  ในบางวันนั้นดัชนีเริ่มจากการบวกมากมายแต่แล้วก็กลับเป็นลบมากมายได้ในเวลาอันสั้น  ความผันผวนนั้นกว่า 5% ภายในวันเดียว  สำหรับคนที่ซื้อขายระยะสั้น ๆ  นั้น  การขาดทุนหรือกำไรต่อวันนั้นสูงลิ่วแทบจะไม่เคยปรากฏมาก่อน  เหตุผลนั้นไม่ใช่เรื่องที่มาจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว  “สื่อสายฟ้าแลบ”  ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นในเมืองไทยเพียง 2-3 ปีนี้มีผลต่อนักลงทุนมหาศาล   นักลงทุน   ว่าที่จริงก็เกือบทุกคนในสังคมของคนที่มีเงินรุ่นใหม่ในปัจจุบันนั้น   ต่างก็พกโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ตติดตัวตลอดเวลา  สายตาของพวกเขานั้น  ถ้าไม่ได้ทำงานหรือดูอย่างอื่นอยู่ก็จะอ่านข้อมูลข่าวสารที่มีคนส่งเข้ามาเป็นระยะ   เช่นเดียวกับที่บางครั้งเขาก็เป็นคนส่งข้อมูลที่เขาคิดหรือได้รับมาอีกต่อหนึ่งออกไปสู่คนอื่นอีกมากมายได้ด้วยการกดแป้นพิมพ์เพียงครั้งเดียว  ผลก็คือ  ทุกคนซื้อขายหุ้นกันตามข่าวสารนั้นและทำให้หุ้นผันผวนอย่างรวดเร็ว  “ตามข่าว”

          คนที่เป็น  “VI” นั้นควรที่จะต้องเข้าใจว่าปรากฏการณ์ของ “สื่อสายฟ้าแลบ”  และข่าวหรือข้อมูลต่าง ๆ  ที่ถูกส่งออกไปว่ามันอาจจะมีทั้งเรื่องจริงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง  หรือมันเป็นเรื่องที่ไม่จริงไม่ถูกต้องที่คนเข้าใจผิด  หรือมันเป็นเรื่องที่ไม่จริงไม่ถูกต้องและคนที่ส่งออกไปก็รู้แต่ต้องการให้มันมีผลต่อราคาหุ้นที่ตนถืออยู่หรือต้องการซื้อหรือขาย  ความสามารถในการที่จะแยกแยะหรือรับรู้ข่าวสารและข้อมูลที่ถูกต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งของการลงทุน   ในภาวะปัจจุบันนั้น  ผมคิดว่าการหาข้อมูลนั้นง่ายมาก  เราแทบไม่มีต้นทุนอะไรเลยโดยเฉพาะหลังจากกำเนิดของกูเกิ้ล  แต่การที่จะเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่ถูกต้องนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก  บางทีอาจจะยากกว่าในสมัยก่อนที่การผลิตข้อมูลและส่งออกไปมีราคาแพงมากเนื่องจากสื่อที่เป็นมหาชนนั้นมีจำกัด ดังนั้น  ข้อมูลที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่ถูกต้องจึงไม่สามารถผลิตและส่งออกมาได้ง่าย   แต่ในปัจจุบันนั้น  ทุกคนสามารถส่งข้อมูลให้คนเป็นร้อยเป็นพันได้และไม่มีใครมากรองหรือกีดกันข้อมูลนั้นเลย  ดังนั้น  ข้อมูลที่ท่วมท้นในตลาดหุ้นและการลงทุนในปัจจุบันจึงอาจจะมีที่ถูกต้องและมีคุณค่าในการใช้เวลาอ่านเพียง 1 ใน 10 หรือน้อยกว่านั้น  และถ้าเราอ่านไปเรื่อยโดยไม่แยกแยะเราก็ไม่ได้อะไร  ที่ยิ่งแย่ก็คือ  เราอาจจะรับในสิ่งที่ผิดหรือถูก  “ล้างสมอง” ให้เชื่อในสิ่งที่ผิดซึ่งจะทำให้แนวทางการลงทุนของเราไม่ประสบความสำเร็จ

          ถ้าจะลองมาดูว่าแต่ละวันเรารับอะไรมาบ้างและเรามีปฏิกริยาอย่างไรกับมันก็จะช่วยให้เราสามารถปรับปรุงตัวเองให้เป็น VI ที่ดีขึ้นได้

          สิ่งแรกก็คือ  ข่าวต่าง ๆ  ที่มักเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นโดยไม่มีความเห็นประกอบ  นี่ส่วนมากก็มักจะเป็นเรื่องของตัวเลข  เช่น ดัชนีหุ้น  ตัวเลขกลุ่มผู้ซื้อขายหุ้นแต่ละกลุ่ม  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้มักไม่เป็นปัญหา  แต่เหตุผลต่าง ๆ  ที่มักจะมีการอธิบายประกอบนั้น  เราก็ต้องระวังว่ามันอาจจะไม่จริงแต่เป็นความเห็นของนักวิเคราะห์เราก็อาจจะฟังแบบผ่าน ๆ  เนื่องจากมันอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรนักเพราะความเห็นหรือแม้แต่ความจริงที่ผ่านไปแล้วมักจะไม่มีผลอะไรกับราคาหุ้นในอนาคต

          ข้อมูลต่อมาที่มีมากมายไม่แพ้กันทุกวันก็คือ  การ “เชียร์หุ้น”  ทั้งซื้อหรือขายของนักวิเคราะห์และนักลงทุนที่อาจจะเป็นเพื่อนกับเราหรือที่เราได้รับผ่านเพื่อน  ว่าที่จริง เดี๋ยวนี้จะเป็นใครก็ไม่มีความหมายอะไรเพราะมันผ่านมาถึงเราได้ตลอด  ประเด็นก็คือ  การ “แนะนำหุ้น”  แทบจะทุกรายการนั้น  ผู้แนะนำนั้นต่างก็มี  “ผลประโยชน์ส่วนตัว” ทั้งสิ้น   บางทีก็อาจจะขัดแย้งกับคนที่เขาอยากให้ได้รับข่าวสาร  เช่น  แนะนำให้ซื้อในราคาสูงเพื่อเขาจะได้ขาย  หรือถึงบางคนไม่ต้องการขายแต่เขาก็อยากให้หุ้นที่เขาแนะนำขึ้นอยู่ดีถ้าเขาซื้อครบแล้ว   บางคน  เช่นนักวิเคราะห์เองนั้น  พวกเขาอาจจะไม่ได้มีหุ้นหรือต้องการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นโดยตรง  แต่พวกเขาก็ต้องการให้คนซื้อขายหุ้นบ่อยขึ้นเพื่อที่บริษัทเขาจะได้ค่าคอมมิสชั่นหรือได้ธุรกิจอื่นเพิ่ม  ผลประโยชน์ของเขาก็คือ  เงินเดือนและโบนัสและชื่อเสียงในการที่แนะนำถูกต้อง--ในระยะสั้น

          ข้อมูลที่มีมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ  “ข่าวลือ”  นี่ก็เป็นข่าวหรือเป็นข้อมูลที่ “ขายได้”  ในแง่ที่ทำให้คนเข้ามาอ่านหรือมารับเนื่องจากคนชอบฟังเรื่องที่ “ปิดลับ” หรือยังไม่ปรากฏต่อสื่อที่เป็น “ทางการ”  แต่เป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีผลกระทบต่อราคาหุ้น  ตัวอย่างมีมากมายรวมถึงเรื่องเช่น  การเทคโอเวอร์  การแจกหุ้นเพิ่มทุนหรือวอแรนต์ และเรื่องอื่น ๆ  อีกสารพัดเช่น  หุ้นตัวนั้นหรือตัวนี้มี “เซียน” กำลังเก็บหรือขาย  นี่ก็เป็นเรื่องของข้อมูลที่ฟังได้แต่จริง ๆ  แล้วผมคิดว่ามีประโยชน์น้อยมาก  ข้อแรกก็คือ  มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่จริงโดยเฉพาะถ้ามันไม่มีสัญญาณอย่างอื่นประกอบ  ข้อสองถ้ามันจริงแต่ตอนที่มันมาถึงเราคนอีกจำนวนมากที่อยู่ในระบบ  “สื่อสายฟ้าแลบ”  ก็รู้กันหมดแล้วซึ่งทำให้มันไม่มีประโยชน์ในแง่ของการลงทุน

          ทั้งหมดนั้นก็คือ “เสี้ยวเดียว” ของปรากฏการณ์ “ใหม่” ของโลกและประเทศไทยที่เราจะต้องเรียนรู้และรับกับมัน  เราหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่เราไม่จำเป็นที่จะต้องทำตามคนส่วนใหญ่  ผมเองนั้นพยายามที่จะไม่เปิดรับข้อมูลมากเกินไป  เราต้องกรองเอาเฉพาะข้อมูลที่เป็นประโยชน์  เราต้องเป็นคนเลือกและ  แสวงหาข้อมูลที่จะรับ  มิฉะนั้น  เราอาจจะกลายเป็น “เหยื่อ” ของคนที่มีเป้าหมายที่จะทำให้เราเชื่อในข้อมูลของเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น