บล.กรุงศรี : รายงานภาวะตลาดประจำเดือนพ.ค. 56


ชื่อ:  g.jpg
ครั้ง: 1839
ขนาด:  28.2 กิโลไบต์


เดือน พ.ค. จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 1,530-1,600(+10/10) จุด

ในทางเทคนิคคาดว่าดัชนี SET Index ภายในเดือนพฤษภาคม 56 จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 1,530-1,600 จุด ในลักษณะการแกว่งตัวขึ้น (Sideways up) ด้วยเหตุผล

1. หลังจากการปรับฐานมา 4 สัปดาห์ ทำให้ตลาดลดความชันจากการปรับขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน พร้อมกับมีการสร้างฐานระยะสั้น ทำให้ช่วงกลางเดือนเมษายน เริ่มมีการฟื้นตัวผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน (ที่ 1,530 จุด) โดยก่อนหน้านั้นมีการตัดลงที่แนวเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วันในเดือนมีนาคมและเมษายนจนทำให้เกิดการพักฐาน ซึ่งการพักฐานนั้นนานพอสมควรในระดับ 4 สัปดาห์ และการวกกลับตัดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันขึ้นมาใหม่ ทำให้ตลาดมีโมเมนตัมในระยะสั้นมากพอที่จะปรับขึ้นแบบระยะสั้นได้ โดยจุดที่ตลาดทดสอบจะอยู่บริเวณ 1,590—1,600—1,630 จุด แต่จะเป็นสัญญาณปรับขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ(ประมาณ 2 สัปดาห์) ภาวะของการ overbought ก่อนหน้าคลายตัวลงพอสมควรจึงทำให้การปรับขึ้นมีเสถียรภาพในเชิงกราฟ

2. เครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ เช่น MACD ผ่อนคลายลงเล็กน้อย มีค่าเป็นบวกบ้างแล้ว อาจทำให้ตลาดปรับขึ้นได้ แต่ค่าเป็นบวกนี้ ยังทำให้ตลาดไม่สามารถไปไหนได้ไกลนัก

3. แม้ดัชนีมีโอกาสแกว่งตัวขึ้น แต่ก็ยังมีแนวต้านสำคัญๆรอทดสอบอยู่(เช่น 1,590 1,600 และ 1,630 จุดตามลำดับ)หุ้นที่มีโอกาสเกิดสัญญาณขาขึ้น มีการฟอร์มตัวของแนวโน้มราคาที่น่าสนใจ สำหรับการเข้าซื้อพบอยู่หลายหลักทรัพย์ การเลือกมองหุ้นที่มีโอกาสขึ้นต่อเน้นหุ้นขนาดกลาง จะช่วยให้การเข้าซื้อหุ้นนั้นมีโอกาสปรับขึ้นเด่นมีโอกาส outperform ดัชนีได้

เชิงเทคนิค..เน้นเลือกซื้อหุ้น THAI, AAV และ SOLAR


คาดกำไรปี 56 ชะลอตัวจากปัจจัยเฉพาะกลุ่มอาหาร แนะนำน'NEUTRAL'TUF น่าสนใจที่สุดในแง่ความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐาน

หุ้นกลุ่มอาหารที่เราติดตามอยู่ (CPF, KBS, KSL, TUF) คาดจะมีผลประกอบการปี 56 ลดลง YoY ผลจากความผันผวนระหว่างส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ โดยเฉพาะโรคระบาด (EMS) ในกุ้งที่กดดันต้นทุนการผลิตและปริมาณขายจะส่งผลประทบต่อธุรกิจส่งออกกุ้งและอาหารกุ้งของทั้ง CPF และ TUF ในช่วง 1H56 ขณะที่ธุรกิจน้ำตาล (KBS, KSL) ได้รับ
ผลกระทบจากราคาน้ำตาลตลาดโลกที่ตกต่ำ ด้วยแรงกดดันจากภาวะอุปทานส่วนเกินจากผู้ผลิตรายใหญ่ อาทิ บราซิล เป็นต้น คาดว่าผลประกอบการ 1H56 ออกมาไม่ดีนักและทำให้บริษัทเกือบทั้งหมดมีกำไรก่อนรายการพิเศษปี 56 ลดลงจากปีก่อน โดยเชื่อว่า TUF จะฟื้นตัวเร็วกว่ากลุ่มเนื่องจากฐานะทางตลาดที่แข็งแกร่งและความสามารถของผู้บริหาร

คาดผลประกอบการ 1Q56 หรือ ม.ค.-มี.ค.56 ยังไม่ดี

คาดว่าผลประกอบการ 1Q56 ของหุ้นกลุ่มนี้เป็นระดับต่ำสุดของปี CPF ยังประสบปัญหาความผันผวนของราคาเนื้อสัตว์และต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับสูงขึ้น, TUF เช่นเดียวกับ CPF ที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดในธุรกิจกุ้ง ขณะที่ธุรกิจทูน่ายังไม่สามารถปรับเพิ่มราคาขายได้ ส่วน KBS คาดผลประกอบการดีขึ้น QoQ ผลจากฤดูกาลส่งออกน้ำตาล แต่แย่กว่า 1Q55 ผลจากปริมาณและราคาขายน้ำตาลมีแนวโน้มลลลง ขณะที่ KSL (งบ 2Q56 ปิดเม.ย. 56) คาดจะมีผลประกอบการดีขึ้น QoQ แต่แย่ลง YoY เช่นเดียวกัน

คงน้ำหนักการลงทุน “เท่าตลาด”

แม้ผลประกอบการปี 56 ของหุ้นกลุ่มนี้เกือบทุกตัวมีแนวโน้มลดลงแต่เชื่อว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 57 ตามภาวะอุปสงค์-อุปทานที่ดีขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มอาหารในภูมิภาคแล้ว (13.3xP/E) และให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลกว่าปีละ 4% จะจำกัด downside เราเลือก TUF เป็น หุ้น Top pick

กลุ่มธนาคาร แนะนำ 'Neutral' กำไรสุทธิรวม 1Q56 เติบโต YoY และQoQ

กำไรสุทธิงวด 1Q56 เพิ่มขึ้น 26%YoY และ 74%QoQ ธนาคาร 9 แห่ง (BBL, KBANK, KK, KTB, LHBANK, SCB, TCAP,TISCO, TMB) รายงานกำไรสุทธิรวม 1Q56 ที่ 47 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 26%YoY จาก 1) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2) รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ, กำไรจากเงินลงทุน และรายได้เงินปันผล และ 3) อัตราภาษีลดลง เทียบกับ 4Q55 กำไรรวมปรับเพิ่มขึ้น 74%QoQ จากปัจจัยฤดูกาลที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและสำรองหนี้ฯ ปรับลดลง กอปรกับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ด้านสินเชื่อเติบโต 2.4%QoQ ส่วน NIM ทรงตัว YoY แต่ลดลง QoQ ที่ 2.8% เนื่องจากอัตราผลตอบแทนของสินเชื่อลดลง และคุณภาพสินเชื่อดีขึ้น NPL ratio เฉลี่ยลดลง QoQ ที่ 3%

คาดกำไรรวม 2Q56 เติบโต YoY และ QoQ

คาดผลการดำเนินงานของกลุ่มฯ งวด 2Q56 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ราว 50 พันล้านบาท เติบโต YoY และ QoQ เนื่องจาก 1) กำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากที่กลุ่มธนชาตขายธนชาตประกันชีวิต (TLIFE) ให้ บมจ. พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต 2) การเติบโตต่อเนื่องของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจากการขยายตัวต่อเนื่องของสินเชื่อ และ 3) รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต

คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มฯ “เท่ากับตลาด”

คงคำแนะนำการลงทุน “เท่ากับตลาด” จากมุมมองบวกต่อการเติบโตของกำไรสูงต่อเนื่องในปี 56 และพื้นฐานแข็งแกร่ง แต่การประเมินมูลค่า (valuation) กลุ่มฯ ซื้อขาย P/BV ที่ 1.9 เท่าสูงสุดรอบ 9 ปี และอัตราผลตอบแทนจำกัด นอกจากนี้ การเติบโตของธนาคารอาจมีข้อจำกัดจากความผันผวนของเศรษฐกิจต่างประเทศ,การแข็งค่าอย่างรวดเร็วของค่าเงินบาทกระทบต่อธุรกิจส่งออก และภาระการตั้งสำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้น กลยุทธ์การลงทุน เลือกธนาคารที่ผลการดำเนินงานจะเติบโตดีต่อเนื่องใน Q2 และมีอัตราผลตอบแทนการลงทุนสูง เลือก TCAP และ KBANK เป็นหุ้นเด่น

กลุ่มปิโตรเคมี แนะนำ 'Neutral'ส่วนต่างราคาโอเลฟินส์หนุนกำไร 1Q56ส่วนต่างราคาโอเลฟินส์ขยายตัวแข็งแกร่ง QoQ และ YoY

ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์-วัตถุดิบช่วง 1Q56 กลับมาขยายตัวโดดเด่นทั้ง QoQ และ YoY เป็นผลจากความต้องการใช้ที่สูงขึ้นในช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีน และราคาวัตถุดิบที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบ โดยช่วง 1Q56 ส่วนต่างราคาเอทิลีน-แนฟทาเท่ากับ US$434/ตัน (+27%QoQ, +89%YoY) ส่วนต่างราคาโพรพิลีน-แนฟทา US$345/ตัน (+14%QoQ, +33%YoY) และเม็ดพลาสติก HDPE-แนฟทา US$521/ตัน (+16%QoQ, +39%YoY)

คาดกำไรสุทธิ 1Q56 ขยายตัว 19%QoQ และ 8%YoY

คาดหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีที่เราติดตาม (IVL, PTTGC) มีกำไรสุทธิ 1Q56 รวมกัน เท่ากับ 1.3 หมื่นล้านบาท (+19%QoQ, +8%YoY) ผลจากการฟื้นตัวของ PTTGC ที่มีส่วนต่างราคาทั้งโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ดีขึ้น โดยเราคาดกำไรสุทธิ 1Q56 ของ PTTGC ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท (+17%QoQ, +24%YoY) ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิของ IVL ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 300 ล้านบาท (+134%QoQ, -82%YoY) จากภาวะอุปทานส่วนเกินในผลิตภัณฑ์ PTA และ PET ในภูมิภาคเอเชีย


คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” ผลประกอบการผันผวน

แม้ผลประกอบการของกลุ่มปิโตรเคมีปี 56 มีแนวโน้มขยายตัว 11%YoY ตามส่วนต่างราคาปิโตรเคมี อีกทั้งระดับราคาหุ้นในเชิงเปรียบเทียบถือว่าอยู่ระดับต่ำ โดยซื้อขายที่ระดับ 10xP/E เทียบกับ SET ที่ระดับ 15.7xP/E แต่การเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังปี 56 ต้องพึ่งพาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคาดหมายได้ยาก ขณะที่ผลประกอบการรายไตรมาสยังคงผันผวนตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ เราเลือก PTTGC (ซื้อ/มูลค่าพื้นฐาน 90 บาท) เป็นหุ้น Top pick จากแนวโน้มผลประกอบการปี 56 ที่ขยายตัว และแผนการขยายกำลังการผลิตและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคต

กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แนะนำ 'Overweight'รายใหญ่ล้วนจะเติบโตใน 1Q56ผลประกอบการ 1Q56 จะเติบโตโดดเด่นทั้ง YoY และ QoQ

เราคาดการณ์ผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้ง 3 ราย (ITD, CK และ STEC) ล้วนแสดงผลประกอบการที่ดีต่อเนื่องใน 1Q56 โดยที่ STEC และ CK จะแสดงผลกำไรเติบโตเป็น 334 ล้านบาท (+11%YoY และ +15%QoQ) และเติบโตหลายเท่าตัวเป็น 9 พันล้านบาท ตามลำดับ ในขณะที่ ITD จะสามารถพลิกผลประกอบการของธุรกิจหลักเป็นผลกำไรได้ใน 1Q56 เป็น 100 ล้านบาทเทียบกับผลขาดทุนใน 1Q55 ผู้ประกอบการที่จะพลิกฐานะทางการเงินได้อย่างชัดเจนใน 1Q56 คือ CK ที่บันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้น TTW และกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการเปลี่ยนวิธีบันทึกมูลค่าหุ้น TTW จากต้นทุนเฉลี่ยเป็นมูลค่าตลาดเข้ามาเสริมส่วนของผู้ถือหุ้นซึ่งช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอย่างมีนัยสำคัญจาก 2.8 เท่า ณ สิ้นปี 55 เหลือ 1.6 เท่า

งานประมูลภาครัฐจะส่งผลบวกต่อผลประกอบการของรายใหญ่

แม้ว่าในอดีต STEC ถือว่าเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงรายเดียวที่สามารถแสดงผลประกอบการที่เป็นผลกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่เราคาดว่านับตั้งแต่ปี 56 เป็นต้นไป ผู้ประกอบการรายใหญ่อีก 2 ราย ได้แก่ CK และ ITD จะเริ่มพลิกผลประกอบการมาเป็นกำไรได้ และคาดหวังการเติบโตของผลกำไรต่อไปในอนาคตโดยมีปัจจัยบวกจากการรับงานใหม่จนฐาน Backlog ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นระดับสูงสุดใหม่ และการเปิดประมูลครั้งใหญ่ของภาครัฐตามแผนงานโครงสร้างพื้นฐาน 7 ปีรองรับการเติบโตของผลประกอบการในอีก 3 ปีข้างหน้า

คงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด”

การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้างโดยเฉพาะรายใหญ่ที่มีศักยภาพสูงในการรับงานโดยตรงจากภาครัฐ เลือกหุ้น Top Pick เป็น STEC (มูลค่าพื้นฐาน 32 บาท) ซึ่งเราประเมินว่ามีความพร้อมสูงในการเข้าประมูลโครงการของภาครัฐประกอบกับแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่องภายใต้สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง

กลุ่มที่อยู่อาศัย แนะนำ 'Neutral' Presales เติบโตแข็งแกร่งใน 1Q56

คาดผู้ประกอบหลายรายสามารถทำยอด Presales สูงเป็นประวัติการณ์ (อาทิ PS และ LPN) ผลจากการเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่เชิงรุกนับตั้งแต่ต้นปีโดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมในทำเลใหม่แต่นับจากนี้ความกังวลของ ธปท. เกี่ยวกับความร้อนแรงของภาคอสังหาริมทรัพย์จะส่งผลให้ผู้ประกอบการระมัดระวังมากขึ้นสำหรับการเปิดโครงการใหม่

ผลประกอบการ 1Q56 ส่วนใหญ่จะเติบโต YoY และลดลง QoQ

คาดการเติบโต YoY เป็นผลจากฐานต่ำใน 1Q55 ที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากน้ำท่วมหนักในปลายปี 54 แต่คาดส่วนใหญ่จะลดลง QoQ ผลจากขาดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ๆเข้ามารับรู้เป็นรายได้ใน 1Q56 ในขณะที่คอนโดมิเนียมที่เปิดขายในช่วงปี 53-54 ได้เริ่มต้นรับรู้เป็นรายได้ใน 4Q55 ผู้ประกอบการเหล่านี้ ได้แก่ LPN (+16%YoY และ -72%QoQ), PS (+61%YoY และ -19%QoQ), และQH (+51%YoY และ -36%QoQ) ยกเว้นเพียง AP (-32%YoY และ -68%QoQ) และ LH (-6%YoY และ -11%QoQ)

คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด”

ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายแสดงยอด Presales ที่แข็งแกร่งใน 1Q56 แต่ในปัจจุบันที่ ธปท. เฝ้าติดตามภาวะความร้อนแรงของภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างใกล้ชิดถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการตัดสินใจเปิดโครงการใหม่ๆหลังจากนี้หาก ธปท. ออกมาตรการสกัดความร้อนแรงในอนาคตซึ่งเราคาดว่าเป้าหมายหลักน่าจะเป็นกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับ Low-end จนถึง Mid-end เลือกผู้ประกอบการที่มีความหลากหลายและความสมดุลย์กันทั้งในด้านรูปแบบโครงการและการเจาะตลาดในทุกระดับราคาขายเป็น Top Pick ได้แก่ PS (มูลค่าพื้นฐาน 36 บาท) และ LH (มูลค่าพื้นฐาน 14 บาท)

กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค แนะนำ 'Neutral' โรงกลั่นหนุนกำไรสุทธิ 1Q56

เราคาดการณ์กำไรสุทธิกลุ่มพลังงานใน KSS Coverage จำนวน 8 บริษัท มีกำไรสุทธิ 5.4 หมื่นล้านบาท (+27%QoQ, -24%YoY) ได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่ขยายตัวโดดเด่นของธุรกิจโรงกลั่น ซึ่งเป็นผลมาจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้นจากฤดูหนาวที่ยาวนานมาจนถึง 1Q56 รวมถึงการทยอยปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในภูมิภาคทำให้อุปทานน้ำมันสำเร็จรูปลดลง โดยเราคาดการณ์กำไรสุทธิ TOP เท่ากับ 3.8 พันล้านบาท (+98%QoQ, -47%YoY) และ BCP เท่ากับ 1.5 พันล้านบาท (+33%QoQ, -37%YoY) รวมถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่มีกำไรเพิ่มขึ้น 47%QoQ และ 11%YoY เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ลดลง อีกทั้งธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่ผ่านช่วงฤดูกาลต่ำใน 4Q55 ที่ผ่านมา

ผลประกอบการรายไตรมาสผันผวนสูง

เราประเมินว่าผลประกอบการรายไตรมาสของกลุ่มพลังงานในปี 56 มีแนวโน้มผันผวนสูงตามการเคลื่อนไหวที่รุนแรงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ในเบื้องต้น เราคาดว่าราคาน้ำมันที่ลดลงในปัจจุบัน (ดูไบเหลือ US$101/บาร์เรล เทียบกับ 1Q56 ที่ US$108/บาร์เรล) จะส่งผลให้กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นบันทึกผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ซึ่งส่งกระทบต่อกำไรสุทธิโดยรวมของกลุ่มพลังงานที่เราประเมินว่าทั้งปี 56 จะเติบในระดับ 10%YoY

คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” ราคาหุ้นถูก

แม้ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานมีความน่าสนใจในเชิงมูลค่า โดยซื้อขายที่ระดับ 9.6xP/E ต่ำกว่า SET ที่ระดับ 15.7xP/E แต่ผลประกอบการทั้งปี 56 ของกลุ่มยังคงอ่อนไหวตามราคาน้ำ มันดิบ อีกทั้งผลประกอบการใน 2Q56 อาจถูกกดดันจากผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันของธุรกิจโรงกลั่น เราเลือก BCP (ซื้อ, มูลค่าพื้นฐาน 37 บาท) เป็นหุ้น Top pick มีจุดเด่นจากแนวโน้มกำไรสุทธิปี 56 ที่เติบโต 33%YoY ตามระดับการกลั่นที่สูงขึ้น 47%YoY และการเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าจากโครงการโซล่าร์ฟาร์มเฟส 2 ตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ผ่านมา

กลุ่มพาณิชย์ แนะนำ 'Neutral'คาดกำไร 1Q56 ส่วนใหญ่ลดลง QoQ

คาดว่าบริษัทในกลุ่มพาณิชย์ (BIGC, BJC, CPALL, HMPRO,MAKRO และ ROBINS) จะรายงานกำไรสุทธิงวด 1Q56 ต่ำสุดของปีที่ 7.54 พันล้านบาท (-4%QoQ. +10%YoY) อ่อนตัว QoQ หลังผ่านพ้นฤดูกาลการใช้จ่ายสูงสุดใน 4Q55 ส่วน YoY ยังคงเป็นทิศทางขาขึ้นจากการขยายสาขาเชิงรุกของผู้ประกอบการ รวมถึงกำลังซื้อและความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในต่างจังหวัดภายหลังการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการนำรายการส่งเสริมการขายมาใช้เพื่อเร่งยอดซื้อซึ่งกดดันอัตรากำไรขั้นต้น ขณะที่การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศจะเป็นปัจจัยลบต่อการขยายตัวของกำไรไตรมาสแรกเช่นกัน ส่วนการลดลงของอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 23% เป็น 20% จะไม่สามารถชดเชยผลกระทบเหล่านี้ได้ทั้งหมด


คาดผลประกอบการปี 56 เติบโตต่อเนื่อง

เราประมาณการกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มฯ ปี 56 เติบโต 22%YoY ที่ 33.9 พันล้านบาท ด้วยปัจจัยสนับสนุน (i) มาตรการของรัฐช่วยกระตุ้นการบริโภค (ii) การขยายสาขาเชิงรุกต่อเนื่อง (iii) อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นตามส่วนผสมผลิตภัณฑ์และการประหยัดขนาดจากการสั่งซื้อสินค้า และ (iv) อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลปรับลดลงเหลือ 20% จาก 23% ในปี 55 คาดกำไรรายไตรมาสจะฟื้นตัว QoQ ตั้งแต่ 2Q56 เป็นต้นไป และเข้าสู่ระดับสูงสุดใน 4Q56

คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด”

ราคาหุ้นของกลุ่มฯ ซื้อขายเฉลี่ยที่ 30xP/E ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับ 15xP/E ของ SET สะท้อนความคาดหวังเชิงบวกต่อการเติบโตของผลประกอบการปี 56 ไปแล้ว เรายังคงเลือก HMPRO (ซื้อ/มูลค่าพื้นฐาน 15.20 บาท) เป็น Top Pick จากความโดดเด่นการเติบโต ของกำไรสุทธิปี 56 สูงสุดในกลุ่มฯที่ 30%YoY และมีแนวโน้มปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานอีก 2 บาทจากการเข้าสู่ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ขณะที่ CPALL (เก็งกำไร, มูลค่าพื้นฐาน 48.00 บาท) เริ่มน่าสนใจจากแผนเข้าซื้อกิจการ MAKRO การรวมงบการเงินจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิปี 57 ราว 8-10% และสร้างผลประโยชน์ร่วมในระยะยาวให้กับบริษัทฯ ซึ่งจะทำให้หุ้นมี P/E ในอนาคตที่ถูกลงเช่นกัน

กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ แนะนำ 'NEUTRAL'คาดกำไร 1Q56 เติบโตโดดเด่น 87%YoY

คาดหุ้นกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ที่เราติดตามอยู่ (MAJOR WORK VGI) มีกำไรสุทธิ 1Q56 รวมกันที่ 537 ล้านบาทเติบโตโดดเด่น 87%YoY สูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมโฆษณาโดยรวม ซึ่งนีลเส็น (ประเทศไทย) รายงานตัวเลขการใช้งบโฆษณาผ่านสื่อใน 1Q56 ที่2.6 หมื่นล้านบาทเติบโตเพียง 1% YoY

• MAJOR คาดกำไรสุทธิ 176 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% YoY ตามการเติบโตของธุรกิจโรงภาพยนต์แม้ฟอร์มหนังไม่โดดเด่นแต่ได้ผลบวกจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นราว 30 สาขาจากปีก่อน

• VGI คาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5 เท่าตัวจากปีก่อนเป็น 252 ล้านบาท ผลจากธุรกิจสื่อในระบบขนส่งมวลชนและสื่อในร้านค้าที่เติบโตดีสูง 30%YoY และ 17%YoY ตามลำดับ รวมถึงส่วนแบ่งรายได้ที่จ่ายให้ BTSC ที่ลดลงจากเดิม 50% เหลือ 5%

• WORK คาดกำไรสุทธิ 109 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% YoY โดยช่องฟรีทีวีที่มีการปรับขึ้นค่าโฆษณาเฉลี่ย 10%YoY ตั้งแต่ต้นปี และได้เวลาออกอากาศเพิ่มขึ้น 22% ส่วนช่องดาวเทียมมีการปรับอัตราค่าโฆษณาเพิ่มเฉลี่ย 50%YoY

คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด”

ภาพรวมปี 56 เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ภายใต้ KSS Coverage ที่ 2.4 พันล้านบาทเติบโตสูงถึง 36%YoY แต่ด้วยราคาหุ้นของกลุ่มสื่อที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 27% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนความคาดหวังผลประกอบการที่เติบโตดีในปีนี้ไปแล้วส่วนใหญ่ ทำให้เราเลือกซื้อหุ้นที่พื้นฐานดีแต่ราคาหุ้นยัง Underperform กลุ่ม ได้แก่ MAJOR มูลค่าพื้นฐาน (มูลค่าพื้นฐาน 25.10 บาท) รับผลบวกจากการรุกขยายสาขาถึง 119 แห่งในปีนี้ และภาพยนต์ฟอร์มใหม่ที่เข้าฉายมากขึ้นจากปีก่อน และ WORK (มูลค่าพื้นฐาน 61 บาท) จากผลประกอบการปีนี้ที่เติบโตดีจากธุรกิจฟรีทีวี และทีวีดาวเทียม

กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แนะนำ 'Underweight'คาด 1Q56 เติบโตจากปัจจัยเฉพาะ

คาดหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่เราติดตามอยู่ (DELTA, HANA, SVI) มีกำไรก่อนรายการพิเศษ 1Q56 เติบโต 42%QoQ และ 56%YoY ผลจากปัจจัยเฉพาะของแต่ละบริษัท โดยคาดว่า DELTA จะมีการเติบโตโดดเด่นสุดจากความสามารถรักษายอดขายสินค้าและอัตรากำไรขั้นต้นสูงอย่างเพาเวอร์ซัพพลายสำหรับอุปกรณ์ Data Center ไว้ได้ในระดับปกติ แม้จะเป็นช่วงนอกฤดูกาล รวมถึงความสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายการขายและค่าวิจัย/พัฒนา ทำให้ SG&A/sales ลดลง ขณะที่การเติบโตของ HANA เป็นผลจากฐานต่ำหลังอุทกภัย ส่วน SVI คาดว่ากำไรก่อนรายการพิเศษลดลงทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากคำสั่งซื้อที่ยังคงชะลอตัว แต่คาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี 56

อุปสงค์ต้นน้ำของอุตสาหกรรมดีขึ้นต่อเนื่อง

ดัชนี SEMI book-to-bill ratio เดือน มี.ค. 56 ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็น 1.14x และสามารถทรงตัวเหนือระดับ Benchmark ที่ 1.0x ติดต่อกันเป็นเดือนที่สาม และเป็นจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 2 ปี 6 เดือนบ่งชี้ว่าอุปสงค์ต่อเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นวัถุดิบต้นน้ำยังคงเติบโต และจะส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยที่เป็นผู้ผลิตขั้นกลางของอุตสาหกรรมในอีก 1 ถึง 2 ไตรมาสถัดไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เราคาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิต
จะกลับสู่ระดับเดียวกับก่อนเกิดอุทกภัย ปี 54 หลังติดตั้งเครื่องจักรใหม่แล้วเสร็จ เราคาดว่ามูลค่าสั่งซื้อ และส่งมอบเซมิคอนดักเตอร์ จะขยายตัวต่อเนื่องในเดือน เม.ย. 56

คงน้ำหนักการลงทุน “น้อยกว่าตลาด”

ความสามารถในการหาลูกค้าของผู้ประกอบการที่ได้รับผลจากอุทกภัยเพื่อเพิ่มอัตราการใช้กำลังผลิต ยังคงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเร่งตัวของผลประกอบการ อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่เราจะปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มฯ ใน 2H56 ซึ่งคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานจะเติบโตอย่างมีนัยยะเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี SVI (ซื้อ, มูลค่าพื้นฐาน 4.80 บาท) ยังคงเป็น Top Pick คาดกำไรปกติปี 56 จะกลับมาขยายตัว 90%YoY โดดเด่นสุดในกลุ่มฯ เราแนะนำทะยอยเข้าลงทุน SVI เนื่องจากการเริ่มฟื้นตัวของผลประกอบการยังคงต้องรอในไตรมาสที่สอง

กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แนะนำ 'NEUTRAL'คาดกำไร 1Q56 เติบโต 20%QoQ และ 6%YoY

กลุ่มไอซีทีที่เราติดตามอยู่ (ADVANC DTAC TRUE INTUCH และ THCOM) คาดมีกำไรจากการดำเนินงาน 1Q56 ที่ 1.54 หมื่นล้านบาท (+20%QoQ , +6%YoY) การเติบโต YoY เป็นผลจากกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ADVANC DTAC และ TRUE) มีรายได้จาก Non-voice เพิ่มกว่า 30%YoY ส่วน THCOM คาดกำไรจากการดำเนินงานเติบโต 171% สูงสุดในกลุ่ม ผลจากการขยายธุรกิจ iPSTAR และประสิทธิภาพในการทำกำไรที่ดีขึ้นหลังยกเลิกธุกิจMfone ที่มีผลขาดทุน โดยภาพรวมทั้งกลุ่มยังรับสิทธิประโยชน์ทางด้านอัตราภาษีที่ลดลงจาก 23% เหลือ 20%

ปี 56 ลงทุนขยายโครงข่าย 3G เพื่อรองรับการเติบโต

ในปีนี้คาดว่ากลุ่มผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนจะมีการเร่งลงทุนขยายโครงข่าย 3G เพื่อรองรับการเติบโตของการใช้งานด้านข้อมูลที่คาดยังเติบโตราว 30%YoY โดยกลุ่มผู้รับประโยชน์คาดว่าเป็นกลุ่มผู้รับงานวางระบบ อาทิ SAMTEL AIT และ LOXLEY ส่วนกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์แม้คาดรายได้จะเติบโตจากตลาด non voice แต่ตั้งแต่ไตรมาส 2 ก็มีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากค่าตัดจำหน่ายโครงข่ายที่กดดันประสิทธิภาพในการทำกำไร ในขณะที่ THCOM คาดว่าผลการดำเนินงานจะ Outperform กลุ่ม หลังยกเลิกธุรกิจ Mfone ทำให้ไม่ต้องแบกรับผลขาดทุนราว 600 ล้านบาทต่อปี และการขยายตลาด iPSTAR ทั้งในประเทศที่ได้ทำสัญญาเพิ่มกับ TOT และขยายตลาดต่างประเทศในจีน และ อินเดีย

คงน้ำหนักการลงทุน “เท่าตลาด” เลือก THCOM เป็น Top pick

แม้แนวโน้มผลประกอบการของกลุ่ม ICT ยังเติบโตดี แต่ราคาหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นสะท้อนประเด็นดังกล่าวไปแล้ว ดัชนีของกลุ่มไอซีทีในปี 56 ซื้อขายที่ 19xP/E สูงกว่า SET ที่ 25x เราเลือก THCOM เป็น Top pick จากการเติบโตก้าวกระโดดของผลการดำเนินงานปี 56 และ Upside จากการยิงดาวเทียมไทยคม 7 -9 ใน 3ปีข้างหน้า ที่ยังไม่รวมในประมาณการ

BCP แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานเท่ากับ 37 บาท (Sum-of-the-parts)คาดการณ์กำไรสุทธิ 1Q56 ขยายตัว QoQ แต่ลดลง YoY


เราคาดการณ์กำ ไรสุทธิ 1Q56 เท่ากับ 1.5 พันล้านบาท (+33%QoQ, -37%YoY) ผลประกอบการที่ขยายตัว QoQ เป็นผลจากค่าการกลั่นรวมขยายตัวเป็น US$10.5/บาร์เรล (+9%QoQ) และระดับการกลั่นน้ำมันเพิ่มเป็น 100 พันบาร์เรล/วัน (+18%QoQ) หลังจากจากโรงกลั่นหน่วยที่ 3 กลับมาดำเนินงานตามปกติตั้งแต่เดือน พ.ย. 55 อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิที่ชะลอตัว YoY ถูกกดดันจากค่าการกลั่นรวมอ่อนตัวลง 16%YoY เนื่องจากผลของกำไรสต๊อกน้ำมันจำนวนมากใน 1Q55 ขณะที่ระดับการกลั่นทรงตัวที่ระดับ 100 พันบาร์เรล/วัน

ประมาณการกำไรสุทธิปี 56 เติบโต 33%YoY

เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 56 เท่ากับ 5.7 พันล้านบาท (+33%YoY) แม้คาดว่าค่าการกลั่นพื้นฐานมีแนวโน้มชะลอตัวเหลือ US$7.8/บาร์เรล (-6%YoY) แต่กลับได้แรงหนุนจากระดับการกลั่นที่เพิ่มเป็น 108 พันบาร์เรล/วัน (+47%YoY) หลังจากโรงกลั่นทุกหน่วยกลับมาดำ เนินงานตามปกติ รวมถึงรับรู้ผลประกอบการของธุรกิจโซลาร์ฟาร์มจำนวน 2 เฟส (กำลังการผลิตตามสัญญา PPA รวม 70 เมกะวัตต์)

คงคำแนะนำ “ซื้อ” กำไรสุทธิและเงินปันผลเด่นสุดในกลุ่ม

การเติบโตของกำไรสุทธิปี 56 ถือว่าโดดเด่นที่สุดในกลุ่มพลังงาน (เฉลี่ย 10%YoY) อีกทั้งผลตอบแทนเงินปันผลระดับ 4.8% ปี 56 สูงสุดในกลุ่มพลังงานเช่นกัน (เฉลี่ย 4.5%) อีกทั้งแผนการประกาศการลงทุนรอบใหม่ (วงเงิน 3 พันล้านบาท) ภายใน 2H56 เพื่อ
สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคตจะช่วยหนุนราคาหุ้นระยะสั้น คงมูลค่าพื้นฐานเท่ากับ 37 บาท (Sum-of-the-parts) ราคาหุ้นปัจจุบันให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจทั้งจากส่วนต่างราคา (7.2%) และเงินปันผล (4.8%) พร้อมกับซื้อขายที่ระดับ 8.4xP/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 12.7x

CPALL แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาพื้นฐาน 48 บาท

ก่อหนี้เพื่อซื้อกิจการ ขจัดความกังวลต่อการเพิ่มทุนระยะสั้น

CPALL จะซื้อหุ้น MAKRO ที่ราคา 787 บาทต่อหุ้น จากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน
154.4 ล้านหุ้น (64.35%) หรือมูลค่ารวม 121.5 แสนล้านบาท (คาดเสร็จเดือน มิ.ย.56) จากนั้นจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ส่วนที่เหลือ 85.5 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 67.34 หมื่นล้านบาท (คาดเสร็จเดือน ส.ค. 56) โดยใช้แหล่งเงินทุนจากเงินกู้ระยะสั้น (Bridging Loan) จากสถาบันการเงิน ราว 90% ของมูลค่าซื้อกิจการ และที่เหลือจะใช้เงินสดภายในกิจการ เรามองว่าจะขจัดความกังวลต่อการเพิ่มทุนในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม จะทำให้ Net Debt/EBITDA เพิ่มขึ้นจากศูนย์เป็น 7x ในปี 56 และคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 3x ในปี 58

ก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน (Synergy) ในระยะยาว

ผลจาก (i) เพิ่มความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ เป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่อันดับสามของเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) (ii) ทั้งร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และ Makro Cash and Carry Store ต่างก็เป็นผู้นำในเซกเมนต์ของตัวเอง (iii) ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดการสั่งซื้อสินค้าที่มากขึ้นอย่างมีนัยยะ คาดว่าจะช่วยประหยัดต้นทุนได้ราว 1.5 ถึง 2 พันล้านบาทต่อปี และจะเห็นผลชัดเจนตั้งแต่ปี 57 (iv) สามารถขยายสาขาภายใต้ชื่อ Makro ทั้งในไทยและประเทศใกล้เคียง (v) ที่ตั้งสาขา Makro กว่า 90% อยู่บนที่ดินของตัวเอง (Freehold) จึงมีโอกาสที่ CPALL จะใช้ประโยชน์จากที่ดินเหล่านี้ เช่น การใช้พื้นที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าและการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น และ (vi) การปรับกล ยุทธ์ของ MAKRO มาเน้นผู้ประกอบการโรงแรม และร้านอาหาร (HoReCa) มากขึ้น จะเอื้อประโยชน์ต่อ CPALL และบริษัทกลุ่มซีพี ในการสร้างความแข็งแกร่งช่องทางการจำหน่ายสินค้าอาหารสด

“เก็งกำไร” คาดผลประกอบการขยายตัวจากประมาณการเดิม

การรวม MAKRO เข้ามาในงบการเงิน กรณีเข้าซื้อหุ้น 64.35% และ 100% จะทำให้กำไรสุทธิ CPALL ปี 56 เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมอีก 1-2% และปี 57 อีก 8-10% ซึ่งจะทำให้มูลค่าพื้นฐานตามวิธี DCF เพิ่มขึ้นจาก 48 บาท เป็น 61 - 67 บาทต่อหุ้น แต่มีความเสี่ยงต่อการเพิ่มทุนในระยะยาว เนื่องจากกระแสเงินสดมีแนวโน้มตึงตัวหลังการก่อหนี้ นอกจากต้องชำระดอกเบี้ยจ่ายสูงขึ้นอย่างมีนัยยะตั้งแต่ปี 57 แล้ว ยังต้องการใช้เงินลงทุนเพิ่มเพื่อขยายสาขา และการจ่ายปันผล

CPF แนะนำ 'ขาย' ราคาพื้นฐาน 28 บาท คาดรายงานกำไรใน 1Q56 แต่ขาดทุนในธุรกิจหลัก

คาดว่าธุรกิจหลักยังคงขาดทุนราว 2.5 พันล้านบาท ซึ่งดีขึ้นจากการขาดทุน 5.6 พันล้านบาทใน 4Q55 แต่แย่ลงจาก 1Q55 ที่มีกำไรก่อนรายการพิเศษราว 2.3 พันล้านบาท การขาดทุนเป็นผลจากธุรกิจกุ้งและอาหารสัตว์น้ำยังคงผลิตต่ำกว่าระดับคุ้มทุน ขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงไก่และหมูปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ ตามราคาขายบ่งบอกว่าความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจเนื้อสัตว์อาจไม่ได้ดีขึ้นมาก โดยไตรมาสนี้ราคาเนื้อไก่อยู่ที่ 40.6 บาทต่อก.ก. (+8%QoQ, +17%YoY) และเนื้อหมูอยู่ที่ 63 บาทต่อก.ก. (+18%QoQ, +19%YoY) ) ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากปัจจัยฤดูกาลและยังไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามเชื่อว่า CPF จะรายงานผลประกอบการ 1Q56 ที่มีกำไร ผลจาก (i) กำไรจาก CPP (ถือหุ้น 74%) ซึ่งคาดจะมีกำไรส่งผ่านให้ CPF ราว 1.5 พันล้านบาทต่อไตรมาส (ii) กำไรจาก CPALL (ถือหุ้น 31%) ซึ่งคาดจะมีกำไรส่งผ่านให้ CPF ราว 900-1000 ล้านบาทต่อไตรมาส

ปัญหาหวัดนกในจีนยังคงต้องรอประเมินผลกระทบ

ระยะสั้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการบริโภคไก่ในจีนและจะกระทบความต้องการอาหารไก่ของ CPP (CPF ถือหุ้น 66%) ที่คิดเป็นสัดส่วนราว 23% ของรายได้รวมของ CPP (ธุรกิจอาหารสัตว์ในจีนคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของรายได้รวมของ CPP โดยอาหารไก่ และสุกรคิดเป็นสัดส่วน 35% และ 47% ของยอดขายอาหารสัตว์)

คงคำแนะนำ “ขาย”ราคาหุ้นไม่ถูก

ความผันผวนของธุรกิจฟาร์มสัตว์และต้นทุนวัตถุดิบยังคงกดดันผลประกอบการในช่วง 1H56 ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน (15xP/E) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 13.3xP/E และให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเพียง 3.3% ต่อปี ยังไม่ถูกพอชดเชยความเสี่ยงด้านผลประกอบการ รวมถึงมีโอกาสถูกปรับลดประมาณการกำไรในระยะต่อไป เราคงมูลค่าพื้นฐานที่ 28 บาท อิงกับเป้าหมาย P/E ระดับ 13x ซึ่งใกล้เคียงค่าเฉลี่ยของกลุ่มอาหาร (13.3xP/E)

MAJOR แนะนำ 'ซื้อ' ราคาพื้นฐาน 25.10 บาท คาดกำไรจากการดำเนินงาน 1Q56 เพิ่มขึ้น 3%YoY

เราคาดกำไรจากการดำเนินงานใน 1Q56 ที่ 176 ล้านบาท ลดลง 4%QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้น 3%YoY สำหรับรายได้จากธุรกิจโรงภาพยนต์คาดเติบโต 2%YoY เป็น 1.0 พันล้านบาท แม้มีภาพยนต์ที่ทำรายได้ดีเพียง 2 เรื่อง คือคุณนายโฮ (96 ล้านบาท) และพี่มากพระโขนง (รับรู้รายได้ในไตรมาสนี้เพียง 4 วันราว 101 ล้านบาท) แต่ได้ผลบวกจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น ส่วนรายได้จากโฆษณาปรับเพิ่มขึ้น 5%YoY เป็น 177 ล้านบาท

แนวโน้มผลประกอบการ 2Q56 คาดเติบโตโดดเด่น

จากภาพยนต์ที่คาดจะทำรายได้ดีหลายเรื่อง อาทิ พี่มากพระโขนง (รายได้เกิน 515 ล้านบาทแล้ว) และที่คาดจะทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทอีกหลายเรื่อง ได้แก่ Iron Man3 , Fast & Furious 6 และ Man of Steel (Super Man) เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี56 ที่ 1 พันล้านบาท (+ 27%YoY) จากปัจจัยสนับสนุน (i) ภาพยนต์ฟอร์มใหญ่ที่เข้าฉายมากขึ้นจากปีก่อน (ii) การขยายสาขาโรงภาพยนต์เพิ่มถึง 119 โรง เป็น 532 โรง (iii) ประสิทธิภาพการทำกำไรดีขึ้น โดยผลบวกเต็มปีการขอปรับส่วนแบ่งรายได้ (Film hire) จากโรงภาพยนต์ในต่างจังหวัดขึ้นเฉลี่ย 2% ในช่วงกลางปี 55 และอัตราภาษีนิติบุคคลที่ลดจาก 23% เหลือ 20%

คงคำแนะนำ “ซื้อ” ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง

ผลประกอบการมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องปี 56-57 ตามแผนในการเปิดโรงภาพยนต์แห่งใหม่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มสัดส่วนโรงดิจิตอลมากขึ้น กอปรกับการเป็นผู้นำธุรกิจโรงภาพยนต์ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดจะสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ 18.6xP/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มบันเทิงที่ 25x และจ่ายปันผลสม่ำเสมอด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผลราว 5% ต่อปี รวมถึงมี Upside จากมูลค่าพื้นฐานกว่า 16% เราคงมูลค่าพื้นฐานปี 56 ที่ 25.10 บาท (อิงวิธี DCF ที่ส่วนลด 10.4%, Terminal growth rate ที่ 3%)

PS แนะนำ 'ซื้อ' ราคาพื้นฐาน 36 บาท ระดับ Presales ใน 1Q56 สูงเป็นประวัติการณ์

ยอด Presales โดยรวมใน 1Q56 เท่ากับ 12.3 พันล้านบาท (+117%YoY และ +41%QoQ) เป็นระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ กลุ่มโครงการที่มียอด Presales เพิ่มขึ้นโดดเด่น ได้แก่ บ้านเดี่ยว (+129%YoY และ +32%QoQ) และคอนโดมิเนียม (+84%YoY และ+161%QoQ) ในขณะที่บริษัทยังรักษาระดับยอด Presales โครงการทาวน์เฮ้าส์ไว้ที่ 4.8 พันล้านบาทใกล้เคียงกับ 4Q55 แนวโน้มยอด Presales รายปีของบริษัทยังอยู่ในช่วงขาขึ้นและ
สมมติฐาน Presales ทั้งปี 56 ของเราที่ 35.4 พันล้านบาท (+20%YoY) มีความเป็นไปได้สูเนื่องจากสัดส่วน Presales ใน 1Q56 สูงถึง 35% ของสมมติฐานทั้งปีของเรา

ผลประกอบการจะต่ำสุดใน 1Q56 และเร่งตัวขึ้นในไตรมาสที่เหลือ

ผลประกอบการ 1Q56 ของบริษัทคล้ายกับรายใหญ่โดยส่วนใหญ่นั่น คือ เติบโต YoY และ ลดลง QoQ เราคาดการณ์กำไรสุทธิใน 1Q56 จะเท่ากับ 1 พันล้านบาท (+61%YoY และ -19%QoQ) การลดลง QoQ เนื่องจากไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างเสร็จใน 1Q56 และรายได้ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มโครงการแนวราบ ซึ่งเราคาดการณ์รายได้ใน 1Q56 จะเท่ากับ 6.6 พันล้านบาท (+42%YoY และ -21%QoQ) ฐานะทางการเงินยังคงแข็งแกร่งโดยที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.86 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มและพร้อมรองรับการเปิดโครงการเชิงรุกนับตั้งแต่ 2Q56 เป็นต้นไป

คงคำแนะนำ “ซื้อ” การเติบโดดเด่นกว่ากลุ่มและราคาหุ้นถูก

ผลประกอบการปี 56 ที่จะเติบโตกว่า 40%YoY สูงกว่ากลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ด้วยกัน (+14%YoY) และยอด Presales ที่กลับมาเติบโตจนเป็นระดับสูงสุดใหม่ใน 1Q56 รวมถึงราคาหุ้นปัจจุบัน 11.8xP/E ที่ค่อนข้างถูก ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม (15xP/E) และจุดสูงสุดเดิม (18xP/E) เป็นปัจจัยสนับสนุนการเข้าลงทุน เราคงมูลค่าพื้นฐานที่ 36 บาท (อิง 14.5xP/E ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี)

PTTGC แนะนำ 'ซื้อ' ราคาพื้นฐาน 90 บาท โอเลฟินส์หนุนกำไร 1Q56 ดีขึ้น 17%QoQ และ 24%YoY

คาดกำไรสุทธิ 1Q56 เท่ากับ 1.2 หมื่นล้านบาท (+17%QoQ,+24%YoY) หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.7 พันล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน 1.1 หมื่นล้านบาท (+16%QoQ,+14%YoY) ได้แรงหนุนหลักจากส่วนต่างราคาเอทิลีน-แนฟทาเพิ่มเป็น US$434/ตัน (+27%QoQ, +89%YoY) และ HDPE-แนฟทา US$521/ตัน (+16%QoQ, +39%YoY) เช่นเดียวกับสายอะโรเมติกส์ ส่วนต่างราคาพาราไซลีน-คอนเดนเสทเท่ากับ US$666/ตัน (+4%QoQ, +14%YoY) และเบนซีน-คอนเดนเสท US$435/ตัน (+0%QoQ, +149%YoY) ในทางกลับกัน ธุรกิจโรงกลั่น ค่าการกลั่นลดเหลือ US$4.2/บาร์เรล (-10%QoQ, +11%YoY) และขาดทุนจากสต๊อกน้ำ มัน US$0.9/บาร์เรล แย่กว่าขาดทุน US$0.6/บาร์เรล ใน 4Q55 และกำไร US$4.9/บาร์เรล ใน 1Q55

ปิดซ่อมบำรุงตามแผนงานกดดันผลประกอบการ 2Q56

เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 56 ที่ 3.74 หมื่นล้านบาท (+10%YoY) พร้อมกับคาดว่าผลประกอบการ 2Q56 มีแนวโน้มชะลอตัวเหลือ 7.2 พันล้านบาท (-41%QoQ) จากแผนการปิดซ่อมบำรุงโรงงานปิโตรเคมีและโรงกลั่น ยิ่งกว่านั้นหากราคาน้ำมันดิบ (ดูไบ) ทรงตัวที่ระดับ US$100/บาร์เรล จนสิ้น 2Q56 อาจทำให้มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันร่วมด้วย (เทียบราคาน้ำมันดิบสิ้น 1Q56 ที่ US$107/บาร์เรล)

คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาหุ้นถูก

ราคาปัจจุบันให้ส่วนต่างจากมูลค่าพื้นฐาน (32%) และผลตอบแทนเงินปันผล (5.5%) พร้อมกับซื้อขายที่ระดับ 8.2xP/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 14.2xP/E ขณะที่ผลประกอบการมีศักยภาพขยายตัวในอนาคตจากแผนการขยายกำลังการผลิตโรงงานปิโตรเคมี การรุกสู่ต่างประเทศ และแผนเพิ่มผลิตภัณฑ์กลุ่ม HVS คงมูลค่าพื้นฐานเท่ากับ 90 บาท (DCF, WACC 10%, Terminal growth rate 2.0%)

STEC แนะนำ 'ซื้อ' ราคาพื้นฐาน 32 บาท คาดการณ์ผลประกอบการ 1Q56 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ

คาดการณ์กำไรสุทธิใน 1Q56 เท่ากับ 334 ล้านบาท (+11%YoY และ +15%QoQ) ผลจากการรับงานประมูลใหม่จากภาครัฐที่ต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โครงการหลักที่รับรู้เป็นรายได้ใน 1Q56 ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, และ โรงไฟฟ้า IPPของ Gulf JP ผลักดันรายได้ใน 1Q56 เพิ่มขึ้นเป็น 5.7 พันล้านบาท (+34%YoY และ +4%QoQ) นอกจากนี้บริษัทยังคงดำรงสถานะ Net Cash ซึ่งเป็นจุดเด่นของบริษัทที่ต่อเนื่องมานานกว่า 4 ปีและพร้อมประมูลงานใหม่ในอนาคตทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน

Backlog สูงเป็นประวัติการณ์รองรับผลประกอบการ 3 ปีข้างหน้า

ความต่อเนื่องของการรับรู้รายได้ยังคงเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้าซึ่งเป็นผลจาก 1) การรับงานก่อสร้างเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันโดยมีมูลค่างานใหม่รวมกันประมาณ 38 พันล้านบาท เข้ามาเสริมฐาน Backlog ปัจจุบันจนเป็นมูลค่าสูงสุดใหม่ที่ 70พันล้านบาท โดยเฉพาะงานภาครัฐที่มีอายุงาน 2-3 ปี ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) สัญญาที่ 1 และอาคารรัฐสภาแห่งใหม่และ 2) การเปิดประมูลโครงการภาครัฐรอบใหญ่ที่จะเริ่มต้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป รวมถึงการประมูลก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าทั้ง IPP และ SPP ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญสูงและมี Track Record ที่ดี

คงคำแนะนำ “ซื้อ” โอกาสเติบโตต่อเนื่องจากงานใหม่

การผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีโอกาสชนะประมูลด้วย Track Record ที่มีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างสาธารณูปโภคที่หลากหลายรูปแบบ และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งพร้อมสำหรับการประมูลโดยเฉพาะในรอบประมูลโครงการภาครัฐครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จะเป็นโอกาสในการเติบโตต่อเนื่องในระยะสามปีข้างหน้า เราคงมูลค่าพื้นฐานที่ 32 บาท อิงกับ 32.25x P/E ซึ่งเป็นค่าสูงสุดย้อนหลัง 3 ปี

TCAP แนะนำ 'ซื้อ' ราคาพื้นฐาน 50 บาท กำไรสุทธิ 1Q56 เพิ่มขึ้น 57%YoY และ 46%QoQ

TCAP รายงานกำไรสุทธิงวด 1Q56 แข็งแกร่งที่ 1.95 พันล้านบาท (+57%YoY, +46%QoQ) ปัจจัยสนับสนุนการปรับเพิ่มขึ้นของกำไรมาจาก 1) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น YoY 2) รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจหลักทรัพย์ 3) กำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น และ 4) ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานลดลงจากนโยบายการควบคุมต้นทุนการ
ดำเนินงาน ด้านสินเชื่อ 1Q56 เติบโตที่ 2.1%QoQ จากการขยายตัวของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนตเป็นหลัก ด้าน NIM ลดลง QoQ ที่ 2.6% จากอัตราผลตอบแทนของสินเชื่อลดลง ส่วน cost to income ratio ลดลง YoY และ QoQ ที่ 49.6% เนื่องจากการเติบโตของรายได้ กอปรกับควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้ดี หนี้เสียลดลง QoQ ทำให้ NPL ratio ลดลงที่ 4.2% และ coverage ratio เพิ่มขึ้นเป็น 74.7%

รับรู้กำไรพิเศษจากการขายธุรกิจประกันชีวิตใน 2Q56

TCAP จะรับรู้กำไรพิเศษจากการขายหุ้นทั้งหมดของธนชาตประกันชีวิต (TLIFE) กอปรกับธุรกิจธนาคารยังคงเติบโตต่อเนื่องเป็นปัจจัยหลักทำให้ผลการดำเนินงานงวด 2Q56 จะสูงสุดของปี สำหรับปี 56 เราคาดการณ์กำไรสุทธิปี 56 ที่ 10.9 พันล้านบาท (+98.8%YoY) หากไม่รวมรายการกำไรจากเงินลงทุน เราคาดว่ากำไรจากดำเนินงานปกติปี 56 เติบโต 15.6%YoY เป็น 14.9 พันล้านบาท

คงคำแนะนำ “ซื้อ” Valuation ถูกสุดในกลุ่มธนาคาร

เราคงมุมมองบวกต่อพื้นฐานแข็งแกร่ง กำไรงวด 2Q56 สูงสุดของปี และการทำสัญญาธุรกิจ bacassurance กับกลุ่มพรูเด็นเชียลระยะยาวรวม 15 ปี จะช่วยชดเชยกำไรที่ขาดหายไปจากการขาย TLIFE ได้ นอกจากนี้ เงินกองทุนจะเพิ่มขึ้นราว 2% จากการขาย TLIFE ทำให้งบดุลแข็งแกร่งขึ้นรองรับการขายธุรกิจในอนาคต ด้านการประเมินมูลค่า TCAP ซื้อขายที่ 1.1xP/BV ถูกสุดในกลุ่มธนาคาร

THCOM แนำนำ 'ซื้อ' ราคาพื้นฐาน 36.2 บาท คาดกำไร 1Q56 เติบโตทั้ง QoQ และ YoY

เราคาดกำไรสุทธิใน 1Q56 ที่ 355 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น โดดเด่น 186% QoQ และ 738%YoY แม้ว่าไตรมาสนี้รายได้จากธุรกิจดาวเทียม (iPSTAR และไทยคม 5) คาดเพียงแค่ทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่ได้ผลบวกจากการที่ต้นปี 56 บริษัทได้ยกเลิกการดำเนินธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ Mfone ซึ่งปกติมีผลขาดทุนเฉลี่ยไตรมาสละ 120 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้จากการให้บริการรวมปรับลดลง 5% QoQ และ 3% YoY ในขณะที่ EBITDA Margin ปรับเพิ่มขึ้นจาก 41% ใน 1Q55 และ 48% ใน 4Q55 เป็น 51%

คาดปี 56 – 57 เติบโตเฉลี่ยกว่า 4 เท่าตัวจากปี 55

ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก 1) การขยายตลาด iPSTAR โดยตลาดภายในประเทศได้มีการเซ็นสัญญากับลูกค้า TOT ใช้แบนด์วิธเพิ่มราว 4% ในขณะที่ตลาดต่างประเทศ สำหรับตลาดจีน มีการเซ็นสัญญากับบริษัท Vast ในการขายช่องสัญญาณดาวเทียมทั้งหมดในจีนซึ่งคิดเป็น 24% ของแบนดฺวิช ในขณะที่ตลาดอื่นๆที่มีศักยภาพการเติบโตสูงได้แก่ ตลาดอินเดีย คาดเพิ่มแบนดฺวิช 2% ต่อปี ในปี 55 - 56 รองลงมาเป็นตลาด ออสเตรเลีย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย 2) การยกเลิกธุรกิจ Mfone ในกัมพูชาซึ่งมีผลขาดทุนราว 500 ล้านบาทต่อปี ส่งผลให้ EBITDA Margin ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนที่ 45% เป็น 51.7% 3) การยิงดาวเทียมไทยคม 6 ที่จะยิงช่วง 3Q56 และรับรู้รายได้ใน 4Q56 โดยคาดมีกำไรตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินการ จากที่ปัจจุบันมี Presales แล้ว 40% ของ Utilization สูงกว่าระดับคุ้มทุน ณ ที่ 30%

คงคำแนะนำ “ซื้อ” จากแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว

คาดผลการดำเนินงานในปี 56 ที่เติบโตโดดเด่นสุดในกลุ่มสื่อสารระยะยาวโตต่อเนื่องจากแผนในการยิงดาวเทียมดวงใหม่ ไทยคม 7 และคาดจะเริ่มจ่ายปันผลเป็นปีแรกที่ 0.73 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล 2.2% เราคงมูลค่าพื้นฐานปี 56 ที่ 36.20 บาทอิงวิธี DCF (WACC 10% ตลอดอายุสัญญาสัมปทานปี 2565)

TUF แนะนำ 'ซื้อ' ราคาพื้นฐาน 66 บาท คาดรายงานกำไรสุทธิ 1Q56 ลดลงทั้ง QoQ และ YoY

คาดว่า TUF จะรายงานกำไรสุทธิ 1Q56 ที่ระดับ 532 ล้านบาท จากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน 290 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงาน 242 ล้านบาท (-60%QoQ, -80%YoY) การแย่ลงทั้ง QoQ และ YoY เป็นผลจาก (i) ธุรกิจกุ้งมีปริมาณขายอาหารกุ้งและส่งออกกุ้งลดลง ผลจากโรคระบาด EMS (ii) ธุรกิจทูน่า OEM ยังไม่สามารถปรับเพิ่มราคาขายผลิตภัณฑ์ตามต้นทุนที่ปรับขึ้น


คาดผลประกอบการจะฟื้นตัวใน 2Q56 แต่จะเร่งตัวตั้งแต่ 3Q56


การอ่อนตัวของประกอบการ 1Q56 เกิดจากปัจจัยกดดันพร้อมกันทั้งสามปัจจัยทั้งการปรับขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบทูน่าขณะที่ไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นตามได้, โรคระบาด EMS ในธุรกิจกุ้งที่กดดันความต้องการอาหารกุ้งและวัตถุดิบกุ้งและการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อย เรายังมองโอกาสฟื้นตัวใน 2Q56 ตามปัจจัยฤดูกาลสำหรับธุรกิจทูน่าและอาหารทะเลอื่นๆ และคาดว่าจะกลับมาเร่งตัวตั้งแต่ 3Q56 เป็นต้นไปเมื่อปัญหาในธุรกิจกุ้งคลี่คลายลง ขณะที่ธุรกิจอื่นๆจะสนับสนุนการเติบโตตลอดช่วงที่เหลือของปี ทั้ง MWB และผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูงอื่นๆรวมถึงปลากระป๋องยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง, COS ในสหรัฐฯ คาดว่าผลประกอบการจะกลับมามีกำไร รวมถึงธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐ จะเริ่มทำการตลาดจริงจังในปีนี้หลังได้ผู้บริหารครบทีมแล้ว

คงคำแนะนำ “ซื้อ”จากโอกาสเติบโตหลังปี 56

คาดว่าผลประกอบการจะถึงจุดต่ำใน 1Q56 และจะเริ่มฟื้นตัวใน 2Q56 ขณะที่การเป็นผู้นำตลาดที่มีความแข็งแกร่งทั้งด้านตราผลิตภัณฑ์และความได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตหลังปี 56 ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน (12.7xP/E) เริ่มซื้อขายถูกกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มอาหารในภูมิภาค (13.3xP/E) รวมถึงโอกาสจ่ายปันผลต่อเนื่องด้วยผลตอบแทนปันผลราว 4% ต่อปี และโอกาสเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการ เราคงมูลค่าพื้นฐานปี 56 ที่ 66 บาท อิงกับเป้าหมาย P/E ที่ 15 เท่า (+1SD ของข้อมูลย้อนหลัง 4 ปี)