วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โบรกฯชี้หุ้นไทย
สัปดาห์นี้ปรับขึ้น
ซื้อตัวที่ร่วงหนัก

ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน 2556 
ผู้เข้าชม : 20 คน 

หุ้นไทยสัปดาห์นี้ ลมแรงสงบชั่วคราว กูรูแนะช่วงดัชนีปรับฐานเก็บของดีเข้าพอร์ต เน้นหุ้นราคาลงลึกและได้ประโยชน์จากโครงการรัฐบาลเป็นหลัก เช่น BBL, SIRI, PS, KTB, CK, HMPRO, ITD, STEC, CK, UNIQ, SCC, SCCC, DCC, GLOBAL, AOT, MINT, CENTEL, THAI, INTUCH, ADVANC, BEC, MCOT, GRAMMY, WORK และ JMART

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด ( มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงสัปดาห์นี้ (24-28 มิ.ย. 56 ) คาดว่าแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติแบบแรงๆ ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะวันแรกของสัปดาห์นี้ เนื่องจากความกังวลเรื่องมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณอย่าง QE เริ่มลดน้อยลง แต่ความผันผวนยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง เนื่องจากเรื่อง QE ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
ดังนั้น นักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนและติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ มองว่ากรอบการลงทุนช่วงสัปดาห์นี้อยู่ที่ระดับ 1,380-1,460 จุด นักลงทุนสามารถหาจังหวะเข้าลงทุนได้ สำหรับหลักทรัพย์ที่เหมาะแก่การลงทุนในสัปดาห์นี้ นักลงทุนควรเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่ราคาลงลึกมากๆ จากแรงขายช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นหลัก
สำหรับหลักทรัพย์ที่ราคาลงลึกๆ และเหมาะแก่การลงทุน มี 3 อุตสาหกรรมด้วยกัน ประกอบด้วย หุ้นกลุ่มธนาคาร หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และหุ้นกลุ่มค้าปลีก คือ หุ้น KTB หุ้น CK และหุ้น HMPRO ส่วนหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ระดับกลางๆ ทั่วๆ ไป นักลงทุนสามารถลงทุนซื้อ-ขายได้ตามปกติ
นายรณกฤต กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหลังจากนี้ไปจนถึงเดือนกันยายนของปีนี้ ช่วงเดือนดังกล่าวธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการประชุมเรื่อง QE อีกครั้ง การลงทุนช่วงดังกล่าว แนะว่านักลงทุนควรเน้นการลงทุนโดยดูผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นหลัก รวมถึงอัตราราคาเมื่อเทียบกับตลาดฯ
สำหรับหลักทรัพย์ที่เหมาะแก่การลงทุนรอบนี้มี 3 กลุ่มด้วยกัน คือ หุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ประกอบด้วย หุ้น KTB หุ้น BBL หุ้น SIRI หุ้น PS และหุ้น CK
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยปีนี้ เชื่อว่าดัชนีมีโอกาสแตะ 1,700 จุด โดยปัจจัยบวกที่เข้ามาสนับสนุนจะมาจากภายในประเทศเป็นหลัก
นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซียไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (24-28 มิ.ย. 56) มองว่าความผันผวนจากการลงทุนเริ่มเบาบางลงตามความคลายกังวลเรื่องมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE จนกว่าจะมีการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เรื่องตัวเลขเศรษฐกิจและ QE ภายในเดือนกันยายนนี้
ดังนั้น แรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติรอบนี้ ถือเป็นการปรับพอร์ตของนักลงทุนเหล่านี้ ซึ่งโอกาสที่นักลงทุนเทขายทำกำไรยังคงมี ด้านนักลงทุนไทยจำเป็นต้องระมัดระวังการลงทุนอย่างใกล้ชิดเพราะการลงทุนครั้งนี้จะมีความยากขึ้น
ทั้งนี้ เชื่อว่าการปรับลงของหลักทรัพย์ครั้งนี้จะยืดเยื้อประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งถือเป็นปกติ เนื่องจากเวลาหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรงในแต่ละรอบการฟื้นตัวใหม่จะใช้ระยะเวลา 2-3 เดือน ฉะนั้น กลยุทธ์การลงทุนรอบนี้อาจจะเล่นยากขึ้น
ด้านนักลงทุนระยะสั้น มองว่าควรดูเงินอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน และอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวเป็นหลัก เพราะเป็นตัวบ่งชี้ถึงเงินทุนไหลเข้า นอกจากนักลงทุนต้องติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิดแล้ว นักลงทุนควรยึดหลักปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์จะดีที่สุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่เหมาะแก่การลงทุนรอบนี้ เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานทุกตัวที่อยู่ในตลาด เนื่องจากหุ้นดังกล่าวไม่มีการปรับราคาขึ้นมานานแล้ว ประกอบกับแนวโน้มการเติบโตและความต้องการการใช้พลังงานในอนาคตมีค่อนข้างสูง ส่วนดัชนีหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสแตะเกิน 1,600 จุดได้ ด้วยปัจจัยบวกภายในประเทศ
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มหุ้นไทยช่วงสัปดาห์นี้ (24-28 มิ.ย.) คาดว่าปัจจัยเรื่องมาตรการ QE ยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดทุนไทย เนื่องจากนักลงทุนให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวค่อนข้างมาก ส่งผลให้มีการเทขายทำกำไรอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากคลายกังวลเรื่องดังกล่าวแล้ว เชื่อว่าเม็ดเงินจะไหลกลับเข้าประเทศจีนและเกาหลีเป็นหลัก เพราะประเทศเหล่านี้มีอัตราการเติบโตที่ดีมาก
ปัจจัยเสี่ยงเริ่มปรากฏขึ้นจากการที่ประธานธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ออกมาพูดถึงโอกาสที่เฟดอาจจะชะลอการซื้อสินทรัพย์พันธบัตรจากเท่าที่เคยทำอยู่ ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้การคาดการณ์ “Long–end” ของดอกเบี้ยเริ่มสูงขึ้น และค่าเงินสกุลสหรัฐแข็งค่าขึ้น ประเด็นที่น่าจับตามองในครึ่งปีหลัง คงไม่พ้นการดำเนินการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของนโยบายการคลังผ่านการลงทุนของภาครัฐ จะเป็นปัจจัยหลักที่มาช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ
ส่วนการเลือกหุ้น เน้นหุ้นกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะหมวดก่อสร้าง เช่น หุ้น ITD, STEC, CK, UNIQ และหมวดวัสดุก่อสร้าง เช่น หุ้น SCC, SCCC, DCC, GLOBAL หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เช่น หุ้น AOT, MINT, CENTEL, THAI กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม เช่น หุ้น INTUCH, ADVANC, BEC, MCOT, GRAMMY, WORK และ JMART

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น