วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

PTTGCกำไรพุ่ง 2.58หมื่นล้าน ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 07 พฤศจิกายน 2556

PTTGCกำไรพุ่ง
2.58หมื่นล้าน

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 07 พฤศจิกายน 2556 
ผู้เข้าชม : 4 คน 

"PTTGC" ยิ้ม 9 เดือนแรกพุ่งทะยาน 25,856 ล้านบาท หลังไตรมาส 3/56 ฟาดกำไรสุทธิอีก 9,609 ล้านบาท แม้มีบันทึกค่าใช้จ่ายน้ำมันรั่วที่เกิดขึ้นจริงรวมตั้งสำรองเข้ามาอีก 1,059 ล้านบาท

                นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3/56 บริษัทมีกำไรสุทธิ 9,609 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดไตรมาส 2/56 ที่มีกำไรสุทธิ 4,171 ล้านบาท แต่ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ได้ 12,878 ล้านบาท ส่วนภาพรวมงวด 9 เดือนแรกปี 2556 มีกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 25,856 ล้านบาท เติบโตกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ทำได้ 24,239 ล้านบาท
                ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/56 บริษัทบันทึก Stock gain และ NRV สุทธิรวม 3,768 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นระหว่างไตรมาสและอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงเป็นผลให้บริษัทรับรู้ Stock gain และ NRV จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม มีค่าใช้จ่ายจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่เกิดขึ้นจริงรวมทั้งตั้งสำรองค่าใช้จ่ายรวม 1,059 ล้านบาท
                สำหรับในไตรมาส 3/56 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 106 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5  เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เมื่อเทียบกับงวดก่อนหน้า เนื่องจากความกังวลต่ออุปทานที่อาจจะหายไปจากเหตุการณ์ความไม่สงบในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
                โดยธุรกิจโรงกลั่นส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าและส่งผลให้ Market GRM ไตรมาสนี้อยู่ที่ 3.49 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 2.38 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในไตรมาสนี้อยู่ที่ 98%
                ขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์มีกำไรขั้นต้นต่อตัน (P2F) อยู่ที่ 260 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 325 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พาราไซลีนและเบนซีนกับวัตถุดิบคอนเดนเสทที่ปรับลดลง จากอุปทานพาราไซลีนและเบนซีนที่ตึงตัวลดลงอัตราการใช้กำลังผลิตสารอะโรเมติกส์รวมอยู่ที่ 91%
                ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์มีอัตราการผลิตลดลงมาอยู่ที่ 75% เนื่องจากวัตถุดิบก๊าซธรรมชาติที่ลดลงจากการปิดการดำเนินการผลิตฉุกเฉินของโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 5 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ขณะที่อัตราการผลิตของโพลีเมอร์ลดลงมาอยู่ที่ 88% เนื่องจากโรง LDPE มีการหยุดฉุกเฉินเป็นจำนวน 78 วัน ทำให้บริษัทมีโอเลฟินส์ส่วนเกินลดลง ทั้งนี้ ราคาผลิตภัณฑ์ HDPE เฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1,489 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 3%
                ดังนั้น จากสภาพการตลาดและการดำเนินงานของบริษัทข้างต้น จึงส่งผลให้ในไตรมาส 3/56 บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 16,388 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 2/56 ที่ได้ EBITDA 11,466 ล้านบาท แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ได้ EBITDA 18,581 ล้านบาท ส่วนภาพรวมงวด 9 เดือนแรกปี 2556 บริษัทมี  EBITDA รวม 44,273 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ได้ 41,106 ล้านบาท
                นายบวร เปิดเผยอีกว่า โรงผลิตเม็ดพลาสติก LDPE กำลังการผลิต 300,000 ตันต่อปี กลับมาเดินเครื่องแล้วตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 2556 ซึ่งนับเป็นการหยุดดำเนินการผลิตจริง 2.5 เดือน น้อยกว่าที่คาดว่าต้องใช้เวลาดำเนินการประมาณ 3.5 เดือน เพื่อซ่อมแซมกระบอกสูบใน Booster/Primary Compressor
                ส่วนอุบัติเหตุฟ้าผ่าที่อุปกรณ์ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 5 ของ PTT ปัจจุบันโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 5 กลับมาเดินเครื่องได้อย่างเป็นทางการ โดยมีกำลังการผลิตประมาณ 50% ทำให้บริษัทได้รับวัตถุดิบที่มากขึ้นสำหรับไตรมาส 4/56 ด้วยเช่นกัน ซึ่งนับเป็นระยะเวลาหยุดเดินทั้งสิ้น 9 สัปดาห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น