วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จับตาfund flowไหลเข้ากองทุนหุ้นไทย

จับตา fund flow
ประเด็นหนึ่งที่น่าสังเกตในช่วงที่ผ่านมา คือการที่มี Fund Flow เข้ามาลงทุนกองทุนหุ้นไทยค่อนข้างมาก หลายคนอาจมีคำถามในใจว่าภาวะตลาดอย่างปัจจุบันนี้ มีเงินไหลเข้ากองทุนหุ้นจริงหรือ แล้ว Fund Flow ที่ไหลเข้ามาเหล่านี้ จะยังคงอยู่ในกองทุนหุ้นไทยไปยาวนานมากน้อยแค่ไหน... นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา กองทุนหุ้นไทยเป็นทางเลือกการลงทุนที่อยู่ในความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะจากนักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุน หรือกำลังมองหาทางเลือกการออม เห็นได้ชัดเจนในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งหากมองเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ไทย ที่ได้ประมาณ 14% ถือว่าเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในระดับสูงในระดับต้นๆเลยทีเดียว จนกระทั่งเมื่อผ่านเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี ภาวะการลงทุนเริ่มไม่เอื้ออำนวย ตลาดหลักทรัพย์ไทย ตกลงมาแรงๆ จนผลตอบแทนลดลงมาที่ 4% ล่าสุดคือเดือนสิงหาคม ผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ กลับหัวกลายเป็นติดลบ -7.01%

ดังนั้น เมื่อการลงทุนตลาดทุนในตลาดหุ้นมีความผันผวนมาก นักลงทุนจำนวนไม่น้อยจึงหันมาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นแทน แนวโน้มที่เกิดขึ้นนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่มอร์นิ่งสตาร์รวบรวมได้ โดยเมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงกลางปี 2555 จะเห็นว่า Fund Flow ยังไหลเข้ามาในกองทุนรวมหุ้น (ไม่นับรวมกองทุน LTF-RMF) อย่างต่อเนื่อง และไหลเข้าในจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ แม้ในบางช่วงเวลาที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงไปบ้าง แต่เม็ดเงินที่ลงทุนในกองทุนรวมกลับไม่ลดลงตาม และยังเป็นตัวเลขเงินไหลเข้าต่อเนื่อง 16 เดือนติดต่อกัน (พฤษภาคม 2555- สิงหาคม 2556) เป็นมูลค่ารวมกว่า 62,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในปี 2556 คิดเป็นมูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท เป็นมูลค่าเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักสำหรับกองทุนรวมหุ้น ซึ่งเงินจำนวนนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นการโยกย้ายเงินลงทุนมาจากหุ้นหรือตราสารหนี้มาพักไว้ในกองทุนรวมหุ้นบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามา ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนการเปิดบัญชีซื้อกองทุนที่เพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี

 สิ่งที่น่าสนใจต่อมาคือ กองทุนแบบใดมี Fund Flow ไหลเข้ามากที่สุด เพราะนั่นหมายถึงนักลงทุนให้ความนิยมลงทุนในหุ้นกองนั้นๆ มากที่สุดด้วย ผมจึงลองเปรียบเทียบกับการจัดแบ่งประเทศของมอร์นิ่งสตาร์ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ มีมากกว่า 100 กอง กับกองทุนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก มีอยู่ราว 40 กอง แม้ว่าสัดส่วนของกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ จะมีจำนวนมากกว่า แต่ทว่า Fund Flow ที่ไหลเข้ามาส่วนใหญ่กลับเทไปในกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กมากกว่า

 จากประมาณการเงินไหลเข้านับตั้งแต่ต้นปี ราว 46,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินไหลเข้ากองทุนหุ้นขนาดใหญ่เพียง 15,000 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่ไหลเข้าไปกองทุนหุ้นขนาดเล็กถึง 31,000 ล้านบาท

 สาเหตุที่กองทุนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน มาจากหลายปัจจัย ตั้งแต่นโยบายการลงทุนที่มีลักษณะชัดเจน ตรงไปตรงมา และในชื่อของกองทุนก็จะมีการระบุนโยบายการลงทุนเอาไว้ด้วยว่าลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กเท่านั้น อีกทั้งหุ้นที่กองทุนเหล่านี้เลือกลงทุน ต้องมีความโดดเด่น เช่นเป็นหุ้น Value Stock หรือ Dividend Stock ซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานดีหรือจ่ายปันผลสูงด้วย

เมื่อพิจารณาดูอันดับกองทุนที่มี Fund Flow ไหลเข้ามากที่สุด 10 อันดับแรก จะพบว่าเป็นกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กอยู่ถึง 7 กอง และ 3 อันดับแรกจากจำนวน 10 อันดับนี้ เป็นกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กทั้งสิ้นด้วย และใน 10 อันดับกองทุนหุ้นนี้ จำนวนกึ่งหนึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ซึ่งการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ จะสะท้อนกลับไปสู่ผลการดำเนินงานที่ดีของกองทุนด้วย นอกจากนี้ หากมองย้อนกลับไปดูในช่วงปี 2551 หุ้นขนาดใหญ่เป็นตัวนำที่ดันให้ตลาดฟื้นขึ้นมาจากวิกฤติในครั้งนั้นได้ 2 – 3 ปีต่อมา การปรับตัวขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ก็อาจจะไม่สูงมากอย่างที่ผ่านมา หุ้นขนาดกลางและเล็ก Outperform มากกว่า ยิ่งเมื่อมาดู Supply ในตลาดก็ที่มีกองทุนรวมหุ้นขนาดใหญ่อยู่หลายกองแล้ว บลจ. บ้านเราจึงหันมาออกกองทุนเพื่อเติมเต็มความต้องการของนักลงทุนให้ครบถ้วนในส่วนของหุ้นขนาดกลางและเล็กมากขึ้นนั่นเอง Fund Flow ที่ไหลเข้าสู่กองทุนรวมหุ้นนี้ เป็นผลดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมบ้านเรา ซึ่งพยายามโปรโมทและสนับสนุนให้คนไทยหันมาลงทุนในกองทุนรวม โดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ที่คิดอยากจะลงทุนหุ้นด้วยเอง แต่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุน ไม่มีประสบการณ์ และไม่มีเวลา ให้หันมาเริ่มต้นลงทุนผ่านกองทุนรวม ฉะนั้นเงินที่ไหลเข้ามาในกองทุนรวมจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมานี้ จึงน่าจะเป็นผลงานความพยายามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันให้นักลงทุนไทยหันมาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นได้มากขึ้นจริงๆ ผมยังเชื่อว่าแนวโน้มของเงินที่ไหลเข้ามาในกองทุนรวมหุ้น จะยังอยู่ต่อไปอีกพักใหญ่ทีเดียว นั่นเพราะนักลงทุนที่ได้ลองเข้ามาลงทุนแล้วเห็นประโยชน์ ในเรื่องของการกระจายความเสี่ยง และหากลงทุนในระยะยาวก็จะได้ผลตอบแทนที่ดี

 ในขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นด้วยตนเอง นับจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม ผลตอบแทนติดลบแล้วกว่า -7.01% ก็ตาม และโดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายนี้ (มิถุนายน - สิงหาคม) อัตราผลตอบแทนของหุ้นไทยติดลบถึง -17.14% ทีเดียว ดังนั้น การลงทุนในหุ้นไทยโดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงอย่างนี้ การลงทุนในกองทุนรวมหุ้น น่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่านั่นเอง อยากฝากคำแนะนำวิธีการลงทุนในกองทุนหุ้นอีกครั้ง โดยอันดับแรก นักลงทุนควรเข้าใจว่ากองทุนหุ้นมีความเสี่ยงสูงในระดับ 6 แม้ว่าจะมีผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้ความชำนาญดูแลให้ แต่ก็ยังมีโอกาสขาดทุนได้

อย่าลงทุนเพราะเห็นว่ากำลังอยู่ในกระแสหรือลงทุนตามเขาเล่าว่า แต่ต้องเป็นนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงสูงได้ ต่อมาคือการพิจารณานโยบายการลงทุน หรือสไตล์การบริหารกองทุน เช่นกองทุน Active Fund หรือ Passive Fund และควรเข้าไปศึกษารายละเอียดของหุ้นที่ลงทุนด้วยว่าลงทุนในหุ้นกลุ่มไหนบ้าง และสุดท้ายคือหาข้อมูลผลการดำเนินงานย้อนหลัง ว่ามี Track Record ที่ดีมากน้อยเพียงใด แม้ว่าผลงานในอดีตจะไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคตก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารในช่วงที่มาได้ดีแค่ไหนประกอบการตัดสินใจด้วย

 Kittikun Tanaratpattanakit Tweet Visit website

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น