วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

SCC มั่นใจกำไร Q4 แจ่มสุด

SCC มั่นใจกำไร Q4 แจ่มสุด
บริษัทจดทะเบียน วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2557  "SCC" แย้มไตรมาส 4 ทำกำไรสูงสุดรอบปีนี้ อานิสงส์สเปรดปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น พร้อมปรับเพิ่มเป้ารายได้แตะ 4.88 แสนล้านบาท ส่วนปีหน้าทุ่มงบ 5 หมื่นล้านบาทขยายกำลังการผลิตในประเทศและต่างประเทศ ลั่นปีหน้าสรุปงบลงทุนปิโตรคอมเพล็กซ์เวียดนาม เล็งสรุปดีลซื้อกิจการในยุโรปสิ้นปีนี้ ส่วนไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิ 7,846 ล้านบาท ลดลง 20%

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 4/57 จะมากกว่าไตรมาส 3/57 และสูงสุดในปีนี้ แม้ประเมินว่าจะมีการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันประมาณ 500-700 ล้านบาท แต่จะได้ส่วนต่างราคา (สเปรด) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเข้ามาช่วยเพิ่มอัตรากำไร จากในไตรมาส 3/57 ราคาผลิตภัณฑ์โพลีเอทธิลีนอยู่ที่ราว 690 เหรียญต่อตัน
ขณะที่ช่วงต้นไตรมาส 4/57 ปรับเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 700 เหรียญต่อตัน และราคาผลิตภัณฑ์โพลีพร็อพโพรลีนปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 597 เหรียญต่อตันในไตรมาส 4/56 เป็น 716 เหรียญต่อตัน และบางสัปดาห์ปรับตัวขึ้นไปถึง 900 เหรียญต่อตัน ซึ่งคาดว่าในปีนี้ราคาผลิตภัณฑ์จะอยู่ที่เกือบ 800 เหรียญต่อตัน
โดยบริษัทปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้จากการขายในปีนี้เป็น 488,000 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 486,000 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมีที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้บริษัทมีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับคาดว่าปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในช่วงไตรมาส 4/57 มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากนโยบายการลงทุนของภาครัฐ จึงทำให้ในปีนี้จะมีปริมาณการใช้อยู่ในระดับ 0% จากเดิมที่ไตรมาส 3/57 ติดลบ 3%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศปี 2558 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 2556 ที่ 40 ล้านตัน โดยจะเริ่มเห็นสัญญาณของความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/58 เป็นต้นไป เนื่องจากโครงการนโยบายการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐจะสามารถเริ่มดำเนินการได้อย่างเต็มที่ รวมถึงความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในต่างประเทศก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในสหภาพเมียนมาร์และกัมพูชา
นอกจากนี้ คาดว่าสิ้นปีนี้จะสามารถได้ข้อสรุปการซื้อกิจการบริษัทยุโรป ซึ่งประกอบธุรกิจด้านพัฒนาเทคโนโลยี โดยจะใช้เงินไม่ถึง 10,000 ล้านบาท เชื่อว่าธุรกิจดังกล่าวจะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพด้านเทคโนโลยี เพื่อต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันในปี 2558 จะสามารถสรุปการซื้อกิจการด้วยเช่นกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา
นายกานต์ กล่าวต่อว่า ในระยะเวลา 5 ปี (2558-2562) บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่จำนวน 200,000-250,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนต่อเนื่องในธุรกิจปูนซีเมนต์และนำไปใช้การซื้อกิจการ โดยวางเป้าหมายสินทรัพย์ในอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ภายในอีก 5 ปีข้างหน้าจากปัจจุบันอยู่ที่ 17% สำหรับงบลงทุนในปี 2558 ตั้งไว้ที่ 40,000-50,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตในธุรกิจปูนซีเมนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติงบลงทุนจำนวน 3,000 ล้านบาท ในโครงการขยายการลงทุนธุรกิจปูนสำเร็จรูป (Mortar) ปูนสำเร็จรูป HAV สำหรับงานก่ออิฐและงานฉาบผนังที่มีคุณภาพ ซึ่งจะขยายกำลังการผลิตปูนสำเร็จรูป 2 ล้านตันต่อปีเป็นเงินลงทุนประมาณ 2,800 ล้านบาทเพื่อการขยายธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในรูปแบบคลังสินค้าในอาเซียน
สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ที่ประเทศอินโดนีเซีย และโรงงานแห่งที่สองที่ประเทศกัมพูชาคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/58 ขณะนี้บริษัทได้ทำการตลาดที่ประเทศอินโดนีเซียแล้ว ประกอบกับโรงงานที่สหภาพเมียนมาร์ และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2559 ส่วนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในประเทศเวียดนาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือนมีนาคม 2558 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดประมูลในส่วนของผู้รับเหมาก่อสร้างคาดสรุปใน 1-2เดือนนี้
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 3/57 บริษัทมีรายได้จากการขาย 124,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากราคาขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่รายได้จากการขายใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ส่วนกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/57 อยู่ที่ 7,846 ล้านบาท ลดลง 20% จากปีก่อน เนื่องจากไตรมาส 3/56 มีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาท จากการปรับมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทสยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด และกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทโตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ให้กับ TOTO Group จำนวน174 ล้านบาท แต่ในไตรมาส 3/57 ไม่มีกำไรจากรายการดังกล่าว
ขณะที่ผลประกอบการ 9 เดือนของปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 370,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 24,759 ล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น