วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

BTSฟันรายได้1.4พันล้าน ขายที่ดินให้บริษัทร่วมทุน

ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม 2557 
ผู้เข้าชม : 68 คน 

BTS ประเดิมบันทึกรายได้ 1,400 ล้านบาท จากการขายที่ดินให้บริษัทร่วมทุนระหว่าง “บีทีเอส-แสนสิริ” หลังทั้ง 2 บริษัทปิดดีลร่วมทุนเดินหน้าลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ 30,000 ล้านบาท “คีรี” ลั่นภายใน 3 ปี รายได้จากธุรกิจอสังหาฯ เพิ่มเป็น 20% “เศรษฐา” ลั่น SIRI ปีนี้กำไรไม่ต่ำกว่า 1,920 ล้านบาท
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า การร่วมทุนจัดตั้งบริษัทย่อยกับบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้า เป็นอีกช่องทางการสร้างรายได้ให้ BTS โดยโครงสร้างความร่วมทุนดังกล่าว จะดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนสัดส่วน 50:50
ทั้งนี้ โครงการภายใต้การร่วมทุนโครงการแรก บริษัทจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม มูลค่า 6,000 ล้านบาท ทำเลบริเวณรถไฟฟ้าสถานีหมอชิต มีแผนเปิดตัวโครงการช่วงไตรมาส 1/58 และมีแผนพัฒนาโครงการใหม่ปีหน้าเพิ่มอีก 2-3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ปัจจุบัน BTS มีที่ดินรองรับการพัฒนากว่า 30 ไร่
อย่างไรก็ตาม บริษัทร่วมทุนดังกล่าวมีเงินลงทุนรวม 10,000 ล้านบาท สำหรับการดำเนินธุรกิจมาจาก SIRI 5,000 ล้านบาท และ BTS 5,000 ล้านบาท โดยเงินทุนดังกล่าวสามารถพัฒนาโครงการมูลค่าได้ถึง 30,000 ล้านบาท
ขณะที่รายได้ BTS ปัจจุบันมีรายได้จาก 4 ช่องทาง ประกอบด้วย รายได้จากการให้บริการเดินรถไฟฟ้า 30%, รายได้จากบริษัท VGI 55%, รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 12% ส่วนที่เหลือจะมาจากอื่นๆ เช่น บัตรแรบบิท และอีก 3 ปีข้างหน้า (ปี 2558-2560) สัดส่วนรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มเป็น 20% และรายได้จาก VGI จะลดลง ทั้งนี้ BTS มีแผนร่วมทุนกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางด่วน รถเมล์ เป็นต้น แต่ไม่มีข้อสรุป
นายรังสิน กฤตลักษณ์ กรรมการบริหารและผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ BTS กล่าวว่า บริษัทจะรับรู้รายได้จากการขายที่ดินบริเวณหมอชิต 5 ไร่ ให้กับบริษัทที่ร่วมทุน SIRI จำนวน 1,400 ล้านบาท ช่วงไตรมาส 3 งวดปี 57/58 และมีกำไร แต่ยังระบุไม่ได้เพราะเป็นที่ดินที่ซื้อมาหลายราคา ขณะที่การรับรู้ผลประกอบการบริษัทร่วมทุนนั้น BTS จะรับรู้เฉพาะกำไรสัดส่วนที่บริษัทถืออยู่ 50%
ทั้งนี้ BTS มีที่ดินเปล่าอยู่หลายแปลง ได้แก่ ที่หมอชิต 16 ไร่ แบ่งให้บริษัทร่วมทุนกับ SIRI ไป 5 ไร่ และที่นำไปร่วมทุนกับบริษัท แนเชอรัลพาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ NPARK 11 ไร่, ย่านพหลโยธิน เดิมมีแผนทำโครงการ Abtract เฟส 2 จำนวน 5 ไร่ ซึ่งอยู่ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีพหลโยธิน, ที่ดินโครงการธนาซิตี้ 380 ไร่, ที่ดินย่านราษฎร์บูรณะ ใกล้สำนักงานใหญ่ธนาคารกสิกรไทย จำนวน 27 ไร่
ที่ผ่านมาผลประกอบการของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตไม่สม่ำเสมอ เพราะไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ปกติแต่ละปีจะมีรายได้ประจำประมาณ 1,000 ล้านบาท จากธุรกิจโรงแรม 3 แห่ง ที่สาทร เชียงใหม่ และกาญจนบุรี รวมทั้งสนามกอล์ฟ แต่ปีที่แล้ว (สิ้นสุดมี.ค. 57) มีรายได้เพิ่มเกือบ 3,000 ล้านบาท มาจากการโอนคอนโดมิเนียม ทำให้ปีที่ผ่านมาสัดส่วนรายได้สูงถึง 33%
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SIRI กล่าวว่า โครงการที่จะพัฒนาร่วมกับ BTS จะเน้นโครงการที่มีมูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาทขึ้นไป ตามแนวรถไฟฟ้า ขณะเดียวกันกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตมากกว่าปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,929.67 ล้านบาท
โดยมาจากการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธ์โครงการเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 52,000 ล้านบาท และทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 2560 ประกอบกับบริษัทได้รับผลประโยชน์จากการร่วมทุนกับ BTS ด้านต้นทุนค่าโฆษณาที่ลดลง เนื่องจากได้รับการเอื้อประโยชน์จาก VGI ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BTS ช่วยเหลือด้านโฆษณา หลังมีการร่วมทุนกัน ทำให้ต้นทุนค่าโฆษณาลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปีนี้อัตรากำไรสุทธิบริษัทอยู่ที่ 12% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 6.65% โดยครึ่งปีแรกปี 57 อัตรากำไรสุทธิบริษัทอยู่ที่ 11.73%
“ปีหน้าภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวไม่สูงนัก แต่โครงการขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดกับโครงการขนาดเล็กมากขึ้น และอนาคตหากบริษัทไม่ใหญ่จะอยู่ยาก"
นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ SIRI เปิดเผยว่า ยอดขายปีนี้ต่ำกว่าเป้าหมายตั้งไว้ 30,000 ล้านบาท หลังจากยอดขาย 9 เดือนแรกของปีนี้ ทำได้เพียง 7,700 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมืองในครึ่งปีแรก ส่งผลกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้ยอดขายโครงการของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
อีกทั้งการเปิดโครงการใหม่ปีนี้จะต่ำกว่าแผนที่ตั้งไว้ 19 โครงการ มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท เนื่องจากนโยบายของบริษัทใหม่นั้นจะมีการเปิดขายโครงการใหม่ เมื่อได้รับใบอนุญาตการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้วเท่านั้น ขณะนี้โครงการใหม่ส่วนใหญ่ที่รอเปิดอยู่ตามแผนนั้น อยู่ระหว่างการรออนุมัติ EIA ทำให้ต้องมีการเลื่อนเปิดออกไปปี 2558 จึงกระทบกับแผนการเปิดโครงการใหม่และยอดขายบริษัทปีนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น