วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คุณภาพของนักลงทุน

คุณภาพของนักลงทุน

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 03 ตุลาคม 2557 
ผู้เข้าชม : 7 คน 

ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังปรับฐานครั้งใหญ่ ด้วยเหตุผลและรายละเอียดที่ต่างกัน แต่สาระหลักคือ กลับคืนไปสู่พื้นฐานที่แท้จริงของตลาด เพราะท้ายที่สุด คำตอบของราคาหุ้นที่ควรจะต้องเกิดขึ้นคือ ผลประกอบการ และสุขภาพทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนเจ้าของหุ้นและหลักทรัพย์อื่นๆ
ในสถานการณ์เช่นนี้ นักลงทุนจำนวนหนึ่งที่ไม่มีหลักคิดพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีโอกาสขาดทุนได้ง่ายกว่าปกติ เพราะไม่ัสามารถแยกแยะได้ว่า ควรจะเชื่อข้อมูลไหนกันดี เพื่อที่จะตัดสินใจว่า ซื้อ ถือ หรือ ขาย อันเป็นทางเลือกสำคัญ
สถานการณ์เช่นนี้ หลักการของการเก็งกำไรที่ถือว่าเป็นหลักการที่ขาดไม่ได้คือ let profit run ถือเป็นสิ่งที่เตือนสติได้ดีที่สุด
ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนจำนวนมาก หรือเกือบทั้งหมด เลือกที่จะพูดถึงแต่สิ่งที่ดีๆ ของบริษัทตัวเอง คงไม่มีใครบ้าบอออกมาพูดถึงด้านลบขององค์กรธุรกิจเพื่อทุบราคาหุ้นของตนเอง การให้ข้อมูลด้านเดียวเช่นนี้ แม้จะทำให้ภาพลักษณ์ดีก็จริง แต่บางครั้งก็เป็นมายาภาพ เพราะทำให้นักลงทุนไม่ได้เข้าถึงข้อเท็จจริง และบางครั้งนักวิเคราะห์เองก็หลงทางได้ แม้ว่าในทางทฤษฎี นักวิเคราะห์น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ช่วยถ่วงดุลข้อมูลจากผู้บริหารที่พยายามจะยัดเยียดให้นักลงทุนเชื่อก็ตาม
การกลับสู่พื้นฐานของบริษัทเจ้าของหุ้น แม้จะมีหลักการที่ดี แต่คำถามก็คือ สัดส่วนทางการเงิน หรือ แผนธุรกิจ หรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของบริษัท เป็นสิ่งที่ต้องตีความกันเพื่อถอดรหัสออกมาก่อนจะทำการตัดสินใจในการลงทุนเก็งกำไร
หลักการพื้นฐานของเบนจามิน แกรห์ม ซึ่งนักลงทุนเน้นคุณค่ารู้จักกันดีในฐานะ หลักการ 3 ข้อเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นเสมอนั้นประกอบไปด้วย
- การลงทุนทุกครั้งที่มีหลักประกันของความปลอดภัย คือ ซื้อที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงภายในของกิจการ นั่นคือ ซื้อเมื่อราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊คแวลู ซึ่งหากเป็นหุ้นที่ผลประกอบการพื้นฐานดีแล้ว ก็ไม่ต้องห่วงในเรื่องความผันผวนของราคาในระยะสั้น
- คาดหวังถึงความผันผวนตามจังหวะสัญญาณของตลาดแล้วหากำไรจากมัน อย่ายินยอมให้ชีวิตถูกกระแสของตลาดชักจูงไปอย่างเซื่องๆ โดยไม่ได้ตรวจสอบเหตุผลและข้อเท็จจริง
- เข้าใจตัวเองว่าเป็นคนประเภทไหน แล้วลงทุนตามธรรมชาติของตนเอง อย่าสับสนระหว่างการเป็นนักลงทุน กับนักเสี่ยงโชคแบบการพนัน
เมื่อซึมซับหลักการ 3 ข้อได้แล้ว การตีค่าของราคาหุ้นโดยพิจารณาจากพื้นฐานของกิจการ ก็จะกลายเป็นปุจฉาสำคัญที่สร้างความมั่นใจว่า จะไม่มีการลงทุนที่ผิดพลาด และสูญเสียเงินทอง พร้อมกับก่นด่าตัวเองว่าตัดสินใจผิดหรือเสียค่าโง่ในการลงทุนที่ผิดพลาด
แม้ว่าโดยพื้นฐาน นักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ จะได้ชื่อว่าเป็นข้อมูลถ่วงดุลเพื่อช่วยให้การตัดสินใจมีความสะดวกมากขึ้น แต่นักวิเคราะห์ก็เป็นมนุษย์ที่มีผลประโยชน์และข้อจำกัดในตัวเองที่ต้องพิจารณาเช่นเดียวกันว่า อาจะมีความผิดพลาดหรือไม่รอบคอบเกิดขึ้นได้เพราะความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลหรือกระบวนทัศน์ในการพิจารณามูลค่าที่แท้จริงของกิจการที่อยู่เบื้องหลังราคาหุ้น
เหตุผลก็คือ มูลค่าที่แท้จริงของบริษัทที่อยู่เบื้องหลังราคาหุ้น สามารถพิจารณาได้หลายมุมมอง ทั้งด้านปัจจัยที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน โดยเป็นข้อมูลจากอดีตที่ผ่านไปแล้ว เพื่อหาแนวโน้มในอนาคต ในขณะที่แผนธุรกิจหรือข้อมูลแผนธุรกิจจากปากของผู้บริหาร ก็มีความคลุมเครือ
การค้นหาคุณค่าของหลักทรัพย์เบื้องหลังราคาหุ้น โดยพื้นฐาน มีสาระสำคัญที่ต้องใคร่ครวญกันคือ
- รูปแบบธุรกิจ ที่จะส่งผลต่อเงินลงทุนที่แบกความเสี่ยงเอาไว้นั้นได้รับผลตอบแทนมาคุ้มค่าหรือไม่ บางครั้งรูปแบบธุรกิจเข้าใจง่าย  บางครั้งคุณจะต้องแปลกใจว่าซับซ้อนเกินคาด
- ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน จากสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ หรือจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป เพื่อระบุความสำเร็จในระยะยาว สะท้อนถึงความสามารถในการวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์และประสิทธิภาพในการปฏิบัติ
- ความสามารถในการจัดการ ขึ้นกับวิสัยทัศน์และความสามารถในการแก้ปัญหาของผู้บริหารเป็นสำคัญ
- การกำกับดูแลกิจการ ให้มีความโปร่งใสมากน้อยเพียงใด เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการตรวจสอบที่เหมาะสม และข้อมูลทางการเงิน
ข้อมูลเบื้องหลังคุณค่าของกิจการเหล่านี้ เป็นสิ่งที่นักลงทุนบางคน มองข้ามไป อาจจะเพราะประเมินต่ำ หรือไม่ใส่ใจ หรือมองเห็นว่า ไม่สำคัญเท่ากับอุปสงค์-อุปทานของตลาด หรือ สัญญาณทางเทคนิคทั้งหลาย
นักลงทุนบางคน เลวร้ายกว่านั้น นอกจากไม่สนใจอะไรเลยที่เกี่ยวกับพื้นฐานของกิจการแล้ว ยังไม่อดทนเพียงพอที่จะใช้เวลาใส่ใจ หมกมุ่นแค่เพียงคำแนะนำซื้อ ถือ ขาย ที่เป็นข้อมูลประจำวันอย่างหยาบๆ ของนักวิเคราะห์ หรือสื่อ เป็นสรณะ บางคนใส่ใจกับตัวเลขการซื้อหรือขายของกองทุนต่างชาติ หรืออัตราแลกเปลี่ยน หรือ สภาพคล่องของหุ้น
ความสุ่มเสี่ยงในการลงทุนดังกล่าว หากตลาดเป็นช่วงเวลาขาขึ้น หรือ กระทิงยาวนานซึ่งทำให้สามารถเลือกหุ้นที่ไม่ต้องใช้ความรู้มากนัก หรือ “ปาเป้า” ก็อาจจะไม่ได้เกิดอันตรายมากนัก แถมบางครั้งการเสี่ยงก็อาจจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติ แต่ในสถานการณ์ที่ตลาดกำลังปรับฐาน หรือ เป็นขาลงเต็มที่ ก็เป็นการตัดสินใจที่อันตรายอย่างยิ่ง และเสี่ยงต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
ประสบการณ์ของนักลงทุนที่ช่ำชองจำนวนมาก ย่อมรู้ดีว่า นักลงทุนเก็งกำไรประเภท “ไก่อ่อน” กับ “ม้าแก่” นั้น มีความแตกต่างกันโดยพื้นฐานมากน้อยแค่ไหน
ไม่มีช่วงเวลาใดตัดสินคุณภาพของนักลงทุนเก็งกำไรได้ชัดเจนเท่ากับช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนในลักษณะเช่นนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น