โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

พลิกตำรา“เล่นหุ้นมะกัน”“หนุ่มนักเรียนนอก”วัย 31 ปี“ราคาถูก งบสวย"เชื่อมั้ยมีเกลื่อนตลาดสหรัฐฯ “ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์”เปรยก่อนสไตล์ลงทุน
ชื่อ:  news_img_502484_1.jpg
ครั้ง: 759
ขนาด:  51.7 กิโลไบต์

คอนเซ็ป “walk the talk" ทำในสิ่งที่คนอื่นพูดแล้วประสบความสำเร็จ ถือเป็นวิถีแห่งเซียนที่ “เผ่า” ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ใช้เลือกเดิน เพื่อแสวงหาการลงทุนที่ “แสนมั่นคง” ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา!! คือ หนทางที่ชายหนุ่ม “คลิกไลค์” แบบไม่ได้โม้

“ชิมลาง” เล่นหุ้นครั้งแรกสมัยเรียนปริญญาโท ณ University of Southern California ควบคู่ไปกับทำงาน “ที่รัก” ธุรกิจบนโลกออน ไลน์ ด้วยการแนะนำลูกค้าผ่านเวปไซด์ให้ไปซื้อสินค้าตามเวปไซด์ดังๆ ช่วงนั้นโกยเงินจน “เป๋าตุง”

“ชายวัย 31 ปี” เติบโตมาพร้อมๆ กับพี่ชายที่อายุห่างกัน 3 ปี และพี่สาวที่ห่างกัน 2 ปี ธุรกิจขนส่งและห้องแช่เย็น คือ อาชีพที่เลี้ยงดูคนทั้งครอบครัว หลังเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง บัณฑิตปริญญาตรี เขาเลือกจะออกไปตามหาประสบการณ์นอกบ้าน ด้วยการนั่งทำงานในบริษัทที่เกี่ยวกับไฟเบอร์ออฟติก 6 เดือน ก่อนจะเหินฟ้าไปเรียนต่อปริญญาโท และเมินที่จะต่อปริญญาเอก ตามคำขอของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน

“ผมอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ” เขาแสดงเจตนารมณ์ ในช่วงที่พ่อยังมีชีวิต...

“ถูกทางแล้ว” สมองกลั่นความคิด!! ปัจจุบัน “เผ่า” เป็นเจ้าของธุรกิจออนไลน์ 4-5 เวปไซด์ ล่าสุดเพิ่งผุด www.jitta.comเวปที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาทั้งหมด 3,800 บริษัท พนักงาน 5 คน คือ “ฟันเฟือง” สำคัญที่ "หนุ่มเผ่า" มอบหมายให้ช่วยขับเคลื่อนเวปไซด์

“สั่งลูกน้องเล่นหุ้นนอก” คือ ความรู้ที่เขาพยายามมอบให้เด็กๆที่อยู่ภายใต้อาณัติทางอ้อม “เผ่า” ควักเงินลงทุนให้ครึ่งหนึ่ง และหักจากเงินเดือนลูกน้องอีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้ลูกน้องคนสนิททั้ง 5 นำไปซื้อหุ้นต่างประเทศ 1 ตัว หวังให้เป็น "สมบัติติดตัว" “ทำเวปหุ้นต้องรู้เรื่องการลงทุน” วีไอหนุ่ม เชื่อแบบนั้น
“ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ในฐานะ “เซียนวีไอหุ้นนอก” หันไปหยิบ Notebook ยี่ห้อ Apple เพื่อเปิดให้ดูหน้าตาเวปไซด์ “จิตต ดอทคอม” พรางเล่า “จุดเริ่มต้น” การลงทุนในตลาดหุ้นให้ “กรุงเทพธุรกิจ BIZ Week” ฟังว่า ก่อนจะบินไปเรียนต่อปริญญาโท เพื่อนที่ทำงานเป็นมาร์เก็ตติ้งในบล.ธนชาติ โทรมาชวนให้เปิดพอร์ตลงทุนประมาณหลักแสนบาท (ทำท่าคิด)

จำไม่ได้ว่าซื้อหุ้นตัวไหนบ้าง ฝังใจ!!เพียงตัวเดียว เพราะซื้อตามเพื่อนที่เป็นมาร์เก็ตติ้งแนะนำ นั่นคือ หุ้น อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น (IRCP) ซื้อมา 14 บาท แล้วก็ทิ้งไว้เฉยๆ กลับมาเมืองไทยอีกที แทบกริ๊ด!! เจ็บใจมาก(ลากเสียงยาว) ราคาหุ้นเหลือแค่ 3 บาท คุณพระ!! สุดท้ายจำยอมขายไปตอน 6 บาท 

“เพื่อนทำขาดทุน”...

ช่วงเรียนปริญญาโทอยู่เมืองนอก มีโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา บังเอิญ (เสียงสูงทนไม่ได้ที่จะให้เงินเก็บนอนกองในแบงก์เฉยๆ ตอนนั้นน่าจะปี 2550 รวมพอร์ตในเมืองไทยและต่างประเทศน่าจะอยู่ “หลักล้านบาท”
"ผมซื้อหุ้นต่างประเทศหนักจริงๆ" คิดเป็น 80% ของพอร์ตลงทุนได้มั้ง พอปี 2551 เจอ “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” พอร์ตติดลบทันที 40% (ทำตาโต) ทั้งๆที่เลือกหุ้นดี๊ดี ซวยจริงๆ


ทำใจนานมั้ย?? โชคดีที่เป็นคนใช้เวลารักษาแผลใจไม่นาน บังเอิญชอบเสี่ยงและเรียนรู้ ฉะนั้นมีเงินเท่าไร ก็ใส่เข้าไปในตลาดหุ้นเหมือนเดิม เพราะของดีจริงเดี๋ยวราคาก็ Comeback!!

ช่วงนั้นปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ยกแผง หลังเข้าใจหลักการลงทุน ผมเริ่มหันมาใส่ใจงบการเงินมากขึ้น จากไม่ค่อยได้สนใจเท่าไร ว่างๆ ก็จะหยิบหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจมาอ่าน เรียกว่าเปิดถี่มากขึ้นจะดีกว่า (หัวเราะ) ทำให้การลงทุนในช่วงนั้น เดินตามคำแนะนำของหนังสือล้วนๆ โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวข้องกับ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เขาสามารถสร้างเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านได้ในตลาดหุ้น ฉะนั้นเขาทำได้

“ผมก็ต้องทำได้”!! 

เมื่อก่อนชอบอ่านหนังสือเรื่อง “ศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์” (Buffettology) ทุกวันนี้ก็พยายามคิดว่า ถ้าเราเป็น “วอร์เรน” จะซื้อหรือไม่ซื้อหุ้นตัวนี้ เมื่อปี 2530 “วอร์เรน” ซื้อหุ้น The coca cold (KO) ตอนนั้น P/E ประมาณ 16 เท่า ตลาดอยู่ในช่วงลง แต่เขารู้ว่าอนาคตของโค้กจะแข็งแกร่ง ซื้อแล้วจะพบหนทางแห่ง “ความคุ้มค่า” ทุกวันนี้เป็นงัย..อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่สูงถึง 33% ขณะที่อัตรากำไรต่อหุ้น (ESP) ยืนระดับ 30% เรียกว่าเดินมาถูกทาง...

“วอร์เรน” ซื้อหุ้นโค้ก เพราะรู้ว่าราคาหุ้นไม่มีทางถูกกว่านี้อีกแล้ว มันเป็น “จุดต่ำสุด” แล้ว สุดท้ายก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะวันนี้ราคาหุ้นโค้กขึ้นไปเยอะมาก หรือแม้กระทั่ง “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เมืองไทย ก็เคยซื้อหุ้น ซีพี ออลล์ (CPALL) ในปี 2551 ตอนค่า P/E อยู่ที่ 12 เท่า ทั้งๆที่มีหุ้นที่มีค่า P/E ประมาณ 5-6 เท่า เยอะแยะ แต่อาจารย์ไม่ซื้อ เพราะรู้เต็มอกว่า นี่คือ “หุ้นซูปเปอร์สต็อก” ที่ “วอร์เรน” เคยพูดไว้
ถามถึงกลยุทธ์การลงทุน?? เขาตอบว่า ผมเดินทางนี้มาจนถึงวันนี้ นั่นคือ การเน้นดูงบการเงิน 2 ตัวหลักๆ ประกอบด้วย 1.อัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (ESP) บริษัทที่ดีต้องมี ESP เติบโตสม่ำเสมอ หากทำได้เฉลี่ย 20% ทุกปีจะดีมาก สุดท้าย คือ อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ต้องขยายตัวตลอด เรียกว่ายิ่งมากยิ่งดี ตัวเลขสวยๆควรยืนระดับ 20%
แต่หากให้พิจารณาในแง่ของพื้นฐาน ผมจะกลับไปดูว่าที่ผู้บริหารพูดมาทั้งหมด เขาทำได้จริงหรือไม่

"เผ่า" อธิบายพรางเปิดข้อมูลในเวปไซด์ Jitta.com ให้ดูตลอด เมื่อก่อนไม่เข้าใจเรื่องงบการเงิน แต่ผมจะหาความรู้จากหนังสือเรื่อง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” และการตีความงบการเงิน ที่เขียนโดย “แมร์รี่ บัฟเฟตต์” อดีตลูกสะใภ้ของ “วอร์เรน”

วิถีลงทุนลักษณะนี้ทำให้ผมมี “ผลตอบแทนทบต้น” ในตลาดหุ้นไทย 60-70% และหุ้นต่างประเทศ 40%
ถามถึงเป้าหมายการลงทุนอนาคต?? “หนุ่มเผ่า” ตอบว่า 1,000 ล้านบาท!!

ผมอยากได้ตัวเลขนี้มาก เมื่อไร “ไม่รู้” ตอนนี้พอร์ตหลักเท่าไร “ไม่บอก” (ยิ้ม) แต่หากสามารถสร้างผลกำไรทบต้นได้ปีละ 26% ต่อเนื่อง ตัวเลขนี้ไม่ไกลเกินเอื้อม ขนาด “วอร์เรน” ยัง “ปักธง” กำไรทบต้น แค่ปีละ 23% เอง
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจะทำให้ “ฝัน” ของผมเป็นจริง!! เขาเชื่อเช่นนั้น


ผมชอบเล่นหุ้นต่างประเทศ อย่างน้อยวันนี้เวปไซด์ JITTA.COM ที่ตัวเองเป็นคนก่อตั้ง เมื่อกลางปี 2555 ก็รวบรวมข้อมูลทุกอย่างของหุ้นสหรัฐอเมริกา 3,800 บริษัท เรียกว่าข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี เวปไซด์ของเรามีหมด คุณสามารถเลือกหุ้นมาทำพอร์ตหุ้นจำลองได้ โปรแกรมจะคำนวณให้ว่า หากลงทุนหุ้นตัวนี้จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่าไร แต่เวปจะไม่มีการวิเคราะห์ผลประกอบการ และราคาหุ้นล่วงหน้า เพราะเน้นลงทุนระยะยาวสไตล์ “วอร์เรน” อีกอย่างไม่มีคนทำงานส่วนนี้ด้วย

ส่วนตัวไม่ค่อยซื้อหุ้นไทยเท่าไร นั่นเป็นเพราะยังไม่มีบริษัทไหนถูกใจ ถามว่าหุ้นไทยที่ดีต้อง “เฟอร์เฟค” ขนาดแค่ไหน?? เขาบอกว่า “สวยข้อแรก” บริษัทต้องซื้อขายเป็นเงินสด ต้องมีกำไรจากการดำเนินงาน ที่สำคัญกำไรต้องไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และบริษัทต้องมีลูกค้าจำนวนมาก เพราะหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คุณจะได้ปลอดภัย
“สวยข้อสอง” บริษัทสามารถขึ้นราคาสินค้าได้ตามเงินเฟ้อ ยกตัวอย่าง “โค้ก” ที่สามารถขึ้นราคาขายได้ปีละประมาณ 10% ขณะที่กำลังซื้อ และมาร์เก็ตแชร์เท่าเดิม แต่เขาสามารถทำกำไรให้เติบโตได้ปีละ 10% ความลับนี้ไม่ค่อยมีใครรู้ แต่ “วอร์เรน” รู้ เขาวิเคราะห์..

หุ้นไทยพอมีสเปคแบบนี้มั้ย?? “มีแต่แพง” พฤติกรรมการซื้อหุ้นของ "วอร์เรน" เขามักชอบกลุ่มค้าปลีก แต่หุ้นกลุ่มนี้ในเมืองไทยมีราคาสูงมากแล้ว ฉะนั้นต้องหาราคาเหมาะสม กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มสื่อ และกลุ่มอาหาร พวกนี้เข้าข่ายหุ้นสวยแบบ “วอร์เรน” เมื่อคุณรู้กลุ่มแล้ว ก็จงไปเลือกช้อนที่ดีที่สุดเอาเอง

ส่วนตัวจะไม่ซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์ เคยไปอ่านงบการเงินแล้วเห็นภาพ สัตว์โดนแขวน รู้สึกไม่อิน ไม่ดี อย่าดีกว่า ไปซื้อกลุ่มประกันชีวิตดีกว่าได้ช่วยคนด้วย

เขาเล่าถึงความสนใจใหม่ๆว่า อยากเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมันที่มีหุ้นซื้อขายอยู่ราวๆ 3,000 ตัว ผมเพิ่งเรียนภาษาเยอรมันทางออนไลน์วันละ 1 ชั่วโมง ใช้เวลาเรียนประมาณ 5 เดือน

ถามว่าทำไมถึงชอบหุ้นเยอรมัน?? มันง่ายมาก ตลาดหุ้นยุโรปล่วงหมด แต่เศรษฐกิจเยอรมัน “แข็งแรง” อยู่คนเดียว โครงสร้างหลายๆอย่างของเขายังดีอยู่ สเปคลงทุนเหมือนที่คิดในใจ แต่สุดท้ายจะโดดไปซื้อเมื่อไร ขอไปศึกษาหุ้นให้ละเอียดก่อน

“เผ่า” เล่าต่อว่า ตอนนี้ถือหุ้นสหรัฐไม่เยอะเท่าไร ส่วนใหญ่เป็น “หุ้นซูเปอร์สต็อก” ประมาณ 10 ตัว มีหุ้นอยู่ตัวนึ่ง ผมไม่คิดจะขายชั่วชีวิต เพราะเชื่อว่า เมื่อเวลาผ่านไปหุ้นตัวนี้จะสามารถสร้างเงินให้ได้เป็น “พันล้าน”
หุ้น แอปเปิล (APL) ผมก็มีนะ ซื้อมานานแล้ว ตอนนี้กำลังคิดว่าจะขายดีหรือเปล่า เพราะราคาขึ้นมา 700 เหรียญต่อหุ้น ดีใจไม่นานย่อตัวลงสะงั้น จริงๆเหตุผลที่ยังไม่ปล่อย เพราะผลประกอบการของเขายังดีเยี่ยม บริษัทมีเงินสดประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์ เขาแบ่งมาจ่ายปันผลบ้างแล้ว


ที่สำคัญบริษัทไม่มีหนี้สิน แถมมี “อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น” เฉลี่ย 25-33% ความเสี่ยงของหุ้น APL มีอย่างเดียวที่ไม่เข้าข่ายหุ้นซูปเปอร์สต็อก คือ เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ากำไรสทุธิจะเติบโตขึ้นได้มากขนาดไหน เพราะไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่า สินค้าตัวใหม่ๆจะได้รับความนิยมอีกหรือไม่ ตรงข้ามกับของกินที่ต้องใช้บริการทุกวัน

ล็งจะช้อนกลุ่มไหนต่อ?? “มีอีกเพียบ" ไล่มาตั้งแต่หุ้น Chipotle Mexican Grill (CMG) ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารประเภทกินง่าย มีประโยชน์ เขาเปิดเวปไซด์เกี่ยวกับร้านอาหาร CMG ให้ดู พร้อมอธิบายว่า คนต่อคิวซื้อเยอะมาก คุณดูสิ เพราะเขาไม่ใช้สารยาฆ่าแมลง และอาหารมีรสชาติอร่อย ในปี 2555 เขามีร้านอาหารอยู่ในหลายๆรัฐของสหรัฐอเมริกประมาณ 422 สาขา เพิ่มขึ้นจาก 46 สาขา ในปี 2549 เขาเน้นเปิดเองไม่มีขายแฟรนไชส์

ที่ผ่านมาผลประกอบการของหุ้น CMG “สวยงามมาก” เขามีกำไรสุทธิเฉลี่ย 200 ล้านบาท เติบโตปีละ 32% อัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (ESP) 32% รายได้ขยายตัวเฉลี่ย 21% และมี ROE ระดับ 22% ที่สำคัญมีหนี้สินต่ำเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น

ดูแล้วดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียว!! ราคาหุ้น “โหด” มากเฉลี่ย 318.91 เหรียญ (หัวเราะ) ราคาเคยขึ้นไปสูงถึง 400 เหรียญ แต่มันเกินมูลค่าพื้นฐานไปเยอะราคาเลยย่อตัวลงมา หากราคาหุ้นลงมาแตะ 200-250 เหรียญ ผมโดดไปเก็บแน่นอน...


หุ้น Tractor Supply Company (TSCO) ผู้จำหน่ายอุปกรณ์ทำฟาร์ม ในสหรัฐอเมริกามีกลุ่มคนทำอาชีพลักษณะนี้เยอะมาก “จุดเด่น” ของหุ้น TSCO คือ เป็นเจ้าใหญ่ที่สุดที่ขายอุปกรณ์ทำฟาร์ม ความเป็น “ขั้นเทพ” ของ TSCO ยังไม่หมด เขามี “มาร์เก็ตแชร์ใหญ่เป็น 3 เท่า” ของจำนวนคู่แข่งที่เหลืออยู่ในตลาด 5 ราย คู่แข่งอันดับ 2 มีสาขาเพียง 154 สาขา ขณะที่บริษัทมีจำนวนสาขามากถึง 1,151 สาขา ใน 45 รัฐ

ความมหัศจรรย์!! ของ TSCO ยังมีอีก เขาตั้งเป้าหมายว่าอนาคตจะมีสาขาทั้งสิ้น 2,100 แห่ง เรียกว่าเติบโตอีกเท่าตัว ภายในเมื่อไรเขาไม่ได้บอก แล้วบริษัทยังมีแผนจะเพิ่มพื้นที่ขายอีกประมาณ 8% ต่อปี กระจายไปในแต่ละรัฐของอเมริกา ดูข้อมูลเพียงเท่านี้ เราก็แฮปปี้แล้ว แทบจะหลับตาลงทุนได้เลย เขามีแผนงานชัดเจน พรางเปิดข้อมูลให้ดู โอกาสขาดทุนแทบไม่ดี

เหตุผลเดียวที่ยังไม่ซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะราคาแพง ถ้าจะซื้อคงรอให้ลงมา 75 เหรียญ เรียกว่าเซฟสุดๆ เพราะผมเชื่อว่าเขาจะมีกำไรเติบโตปีละ 15% ตอนนี้หุ้น TSCO ซื้อขายเฉลี่ย 100 เหรียญต่อหุ้น ถามว่าราคานี้ซื้อไม่ได้หรอ!! ก็พอได้ แต่นั่นแปลว่า คุณต้องมั่นใจว่าเขาจะมีอัตราเติบโตปีละ 20% แต่ผมคิดว่าเขาจะโต 15% ฉะนั้นรอดีกว่า

หุ้น TSCO มีหนี้สินแค่ 1 ล้านเหรียญ ขณะที่มีเงินสดหมุนเวียน 570 ล้านเหรียญ เห็นมั้ยแทบไม่มีความเสี่ยง ในขณะที่เขามีกำไรสุทธิ 275 ล้านเหรียญ เรียกว่าขยายสาขาใหม่แบบไม่ต้องกู้เงินเลย เขายังมีอัตราการหมุนเวียนของเงินดีมาก คือ ได้เงินสดมาก่อน แล้วอีก 3 เดือน ค่อยเอาไปจ่ายซัพพายเออร์ เท่ากับว่ามีเงินหมุนเวียนมหาศาลราวๆ 200-300 ล้านเหรียญ เขาใช้หลักการเดียวกับ “แม็คโคร-เซเว่น-เทสโก้ โลตัส”

ในมุมของผม มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯดีมาก เขายังมีหุ้นดีๆให้คุณลงทุนอีกเพียบ และยังมีบริษัทที่มีมูลค่ามาร์เก็ตแคป 300,000 ล้านบาท เกลื่อนตลาด ไม่เหมือนบ้านเรามีไม่กี่บริษัท เรามีเงิน 100-1,000 ล้านบาท ไปลงทุนตลาดนอกได้สบายใจ ฉะนั้นมั่นใจว่าลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศในระยะยาว นอกจากชีวิตจะสุขสบายแล้ว ยังสนุกสนานอีกด้วย
หลายคนคงคิดว่า ผมจะไม่เหลียวแลหุ้นไทยอีกแล้ว คงไม่ขนาดนั้น ถ้าวันหนึ่งหุ้น ซีพี ออลล์ (CPALL) มีค่า P/E เหลือแค่ 7 หรือ 10 เท่า ผมก็ซื้อนะ หรือถ้าตลาดหุ้นเยอรมันดีจริงๆก็มุ่งหน้าไปซื้อโลด ตอนนี้ผมลงทุนในตลาดหุ้นนอกประมาณ 70-80% ที่เหลือเป็นเงินสด และลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ในอดีตเคยลงทุนหุ้น 100%

“เซียนหุ้นวีไอ” จบบทสนทนาว่า นักลงทุนที่ดี ต้องอย่าหวั่นไหวกับราคา หากมั่นใจว่าพื้นฐานดีจริง เว้นเสียแต่ว่า เจอผู้บริหารขี้โม้ หมกเม็ด เพิ่มทุนทุกปี คุณก็จงติดเครื่องหนีออกมาสะ แต่ถ้าเป็นธุรกิจที่ดี เรียกว่ายังพอเห็นแสงสว่าง คุณก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยของหมด เหลือติ่งไว้นิดหนึ่ง เผื่อ "ลุ้น"

เส้นทางที่เลือกเดิน ผมคัดสรรมา
ดีแล้ว "นี่แหละเหมาะสมกับชีวิตเผ่าสุดๆ" ทุกวันนี้พ่อ-แม่ ท่านดีใจ ไม่มีอะไรต้องห่วงผู้ชายชื่อ “ตราวุทธิ์" อีกแล้ว...