วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

บจ.ไทย ปลอบขวัญ SET ทิ้งดิ่ง สร้างสถิติปันผล 55 จ่อเหนือ 3.4 แสนล.

 บจ.ไทย ปลอบขวัญ SET ทิ้งดิ่ง
     สร้างสถิติปันผล 55 จ่อเหนือ 3.4 แสนล.


         

          บจ. SET และ mai 357 แห่ง จ่ายเงินปันผลปี 2555 ล่าสุด ณ 15 มี.ค. 2556 ใกล้เคียงกับปี 2554 ที่ 344,835 ล้านบาท พร้อมหุ้นปันผลทำสถิติสูงสุดเช่นกัน ด้าน SET เมิน ครม.ไฟเขียวพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ร่วงตกบ้าเลือดแกว่งแรงเกือบ 50 จุด หลังขึ้นสัมผัสดอย 1,600 จุดเพียงอึดใจ ลบต่ำสุดที่ 23.40 จุด หรือ -1.47% สิ้นวัน โบรกชี้กำลังปรับฐานรอบใหม่ สิ้นวันต่างชาติ-รายย่อย ถล่มขายรวมกว่า 2 พันล้านบาท สวนทางบาทแข็งจัดรอบ 5 ปี ผู้ว่าธปท.ยันเอาอยู่

       ในวันที่หุ้นไทยสะดุดก้าวใหญ่ รายย่อยและต่างชาติแห่ขายกันต่อเนื่อง สวนทางค่าบาทที่แข็งค่ามากขึ้นออีกครั้งทำสถิติรอบ 5 ปี อย่างน้อยสำหรับผู้ที่ลงทุนยาวก็ยังพออุ่นใจได้เพราะในปีที่ผ่านมาอัตราปันผลที่ทยอยประกาศแจกออกมานับว่าน่าทึ่งด้วยตัวเลขที่กำลังจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์

*** บจ.ไทยสุดป๋า แจกปันผล 55 สูงเหนือสถิติ
       นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ณ 15 มี.ค. 2556 มีบริษัทจดทะเบียนประกาศจ่ายเงินปันผลปี 2555 แล้ว 357 แห่ง รวม 341,407 ล้านบาท บริษัทจดทะเบียนที่จ่ายเงินปันผลเป็นบริษัทใน SET (ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์) 300 แห่ง มูลค่า 339,066 ล้านบาท และ mai 57 แห่ง มูลค่า 2,341 ล้านบาท ภาพรวมอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) อยู่ที่ 2.77% และอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) 47.02%
         “ ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนปี 2555 ที่กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งและทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากผ่านวิกฤตอุทกภัยในปี 2554 รวมถึงการบริหารสภาพคล่องทางการเงินและโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม ทำให้บริษัทจดทะเบียนยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้ดี แม้ว่าการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรสูงขึ้น และหลายบริษัทหันมาจ่ายปันผลเป็นหุ้นก็ตาม โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและลงทุนในประเทศมีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและเติบโตอย่างโดดเด่น ทั้งนี้หากไม่นับรวมการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นกรณีพิเศษเพื่อปรับโครงสร้างเงินทุนของ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) เมื่อปี 2554 ซึ่งมีมูลค่า 38,974 ล้านบาทแล้ว จะพบว่ามูลค่าการจ่ายเงินปันผลปี 2555 ที่บริษัทจดทะเบียนประกาศจ่ายแล้วจนถึงปัจจุบัน ได้ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และสูงสุดเป็นประวัติการณ์เรียบร้อยแล้ว” นายชนิตรกล่าว 

*** แจกแถมหุ้นปันผลดกเกลื่อนกระดาน
          นอกจากการจ่ายเงินปันผลแล้ว การจ่ายหุ้นปันผล (Stock Dividend) ของบริษัทจดทะเบียนจากรอบผลการดำเนินงานปี 2555 ก็ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน มีบริษัทจดทะเบียนประกาศจ่ายหุ้นปันผลแล้วถึง 52 แห่ง คิดเป็นมูลค่า 8,883 ล้านบาทตามราคาพาร์ และถ้าคิดตามราคาตลาดจะมีมูลค่า 106,080 ล้านบาท
          สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในดัชนี SET High Dividend 30 Index (SETHD) จ่ายเงินปันผลปี 2555 รวม 129,923 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 3.15%

*** 5 อันดับ บจ. SET/mai จ่ายเงินปันผลสูงสุดประจำปี
         
บริษัทจดทะเบียนใน SET ที่จ่ายเงินปันผลสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ทั้ง 5 บริษัทจ่ายเงินปันผลรวม 121,345 ล้านบาท คิดเป็น 35.79% ของยอดรวมใน SET
        ขณะที่บริษัทจดทะเบียนใน mai ที่จ่ายเงินปันผลสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) บมจ. ยูนิมิต เอนจิเนียริ่ง (UEC) บมจ. เกียรติธนาขนส่ง (KIAT) บมจ. โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ (GFM) และ บมจ. บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) ทั้ง 5 บริษัทจ่ายเงินปันผลรวม 740 ล้านบาท คิดเป็น 31.62% ของยอดรวมใน mai
        หมวดธุรกิจที่จ่ายเงินปันผลสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมวดธนาคาร หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ยังมีบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ระหว่างพิจารณาจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปี 2555 อีกเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น


***หุ้นไทยตกบ้าเลือด หลังสัมผัสดอย 1,600 จุดเพียงอึดใจ
         
 ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวหุ้นไทยวานนี้ พบความผันผวนสูงมาก โดยเปิดวันที่ 19 มี.ค. ด้วยระดับ 1,598.84 จุด ก่อนที่อีกไม่กี่นาทีจะปรับขึ้นไปทะยานแตะ 1,601.34 จุด แล้วก็ค่อยๆ ลงมาซื้อขายในแดนบวกใต้ระดับ 1,600 จุด จนถึงปิดตลาดเที่ยง
         ทันทีที่เปิดการซื้อขายภาคบ่ายดัชนีเริ่มปรับตัวลงชัดเจน และครั้นต่ำกว่าระดับ 1,591.65 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดวันทำการก่อนหน้าก็ลบหนักหน่วงขึ้น กระทั่งแตะจุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 1,554.27 จุด แล้วค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาได้บ้างจบสิ้นวันที่ 1,568 จุด ลบ 23.40 จุด หรือ -1.47% ระหว่างวันผันผวนกว้างถึง 47.10 จุด มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวัน 76,0175.17 ล้านบาท สวนกระแสข่าวดีที่ครม. เพิ่งจะไฟเขียวพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทหมาดๆ ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนั่นเอง
         หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่
1.TRUE ปิดที่ 7.75 บาท ลดลง -0.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4,647.39 ล้านบาท
2.BTS ปิดที่ 9.35 บาท ลดลง -0.05 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,296.97 ล้านบาท
3.KTB ปิดที่ 27.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,147.63 ล้านบาท
4.TMB ปิดที่ 2.62 บาท ลดลง -0.16 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,877.62 ล้านบาท
5.N-PARK ปิดที่ 0.18 บาท ลดลง -0.01 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,737.81 ล้านบาท

***สรุปปริมาณซื้อขายสิ้นวัน ต่างชาติ-รายย่อย ถล่มขาย
        ประเภทนักลงทุน  มูลค่าซื้อ(ลบ.)  มูลค่าขาย(ลบ.)  สุทธิ(ลบ.)
นักลงทุนสถาบัน  4,954.08 3,133.73 1,820.35
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์  7,727.36 7,261.62 465.74
นักลงทุนต่างชาติ  10,688.23 11,657.94 -969.71
นักลงทุนทั่วไป  52,705.49 54,021.88 -1,316.38
***มุมมองโบรกเกอร์ หวั่นวันนี้หุ้นกระฉอกลงต่อ
         
นายธวัชไชย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ภาพรวมของดัชนีตลาดหุ้นไทยก่อนหน้านี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาพอสมควร ทำให้มีการเทขายทำกำไรออกมาโดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มรับเหมาฯก่อสร้าง เพราะร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว        สำหรับภาพรวมของดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (20 มี.ค.) คาดว่าจะปรับฐานลงมาในระดับ 1,550 จุด เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะออกมาตรการแก้ไขเงินบาทแข็งค่าขึ้นหรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม สำหรับการขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่นั้นเป็นการขายออกเพื่อรับข่าวการร่างพ.ร.บ.ลงทุนก่อสร้างพื้นฐานได้ผ่านที่ประชุมแล้ว         'เมื่อดัชนีฯ ปรับฐานก็เล่นรอบกันใหม่ เพราะปัจจัยที่สำคัญในตอนนี้ คือ เรื่องของค่าเงินบาท ส่วนหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯก่อสร้างโดนขายออกนั้นเป็นแบบ Sell On fact ที่รับรู้ข่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่น่ากังวล' นายธวัชไชย กล่าว
***เงินไหลเข้าค่าบาทแข็งจัดรอบ 5 ปี ผู้ว่าธปท. ยันยังเอาอยู่
        
 นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ค่าเงินบาทแตะ 29.32 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าสุดในรอบ 5 ปีว่า ยอมรับว่าค่าเงินบาทในรอบนี้แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากและรวดเร็ว แต่ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนัดประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน( กนง.)เร่งด่วน เนื่องจากเหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นเพียงวันเดียว ซึ่งยังคงไม่สะท้อนทิศทางใดมากนัก และเชื่อว่าสาเหตุหลักเกิดจากปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศที่เกิดปัญหา ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งและมีแนวโน้มในทางที่ดี ดังนั้นจึงมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาจำนวนมาก
         อย่างไรก็ดี ธปท.ยืนยันที่จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและดำเนินนโยบายการดูแลตามความเหมาะสม
        'คงต้องรอดูสักพัก นี่เพิ่งวันเดียว คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย ช่วงนี้ก็มีเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามา เขาก็ทราบข่าวคราวเศรษฐกิจไทยว่าไปในทางที่ดี เขาก็เข้ามาลงทุนอะไรต่างๆ ตอนนี้ยังไม่สร้างความกังวล ขอดูอีกระยะก่อน ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างเยอะและรวดเร็ว แต่ยังไม่จำเป็นต้องนัดประชุมเร่งด่วน เราดูแลตามความเหมาะสม' นายประสาร กล่าว
***บาทปิดตลาดที่ 29.33-29.35 บ./ดอลล์ ทะลุแนวรับด้านจิตวิทยา
         
นักค้าเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทปิดตลาดวานนี้ (19 มี.ค.) ที่ระดับ 29.33-29.35 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากที่เปิดตลาดช่วงเช้า หลังค่าเงินบาททะลุแนวรับด้านจิตวิทยา 29.50 บาทลงมา ทำให้ตลาดกังวลว่าเงินบาทจะยิ่งแข็งค่าไปมากกว่านั้น จึงเห็นผู้ประกอบการส่งออกเร่งเทขายดอลลาร์ เพื่อซื้อเงินบาทเก็บไว้
       'หลังเงินบาทหลุดแนวรับที่สำคัญทางด้านจิตวิทยา ที่ 29.50 บาท ลงมาอย่างต่อเนื่อง ตลาดกังวลว่าจากนี้อาจแข็งค่าต่อ ก็เลยขายดอลลาร์บาทออกมา ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน โดยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี เม็ดเงินจากต่างชาติจึงยังไหลเข้า' นักค้าเงินระบุ
        นักค้าเงิน กล่าวต่อว่า แม้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นมาก แต่ตลาดหุ้นปรับลดลงแรงในวันนี้ เชื่อว่า การขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ น่าจะเป็นการพักเงินไว้ก่อน จึงยังไม่เห็นผลกระทบต่อค่าเงินในทิศทางอ่อนค่าลงชัดเจนนัก

***ครม.ไฟเขียวพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านแล้ว
        
 นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยบ่ายวานนี้ (19 มี.ค.) ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาอนุมัติร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพ.ศ... วงเงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งให้อำนาจกระทรวงการคลังสามารถกู้เงินในประเทศและต่างประเทศได้ เพื่อก่อสร้างระบบการขนส่ง และจุดเชื่อมต่อของประเทศ ทั้งนี้การเสนอร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวจะมีเอกสารเกี่ยวกับการดำเนินโครงการต่างๆเพื่อนำเสนอให้กับสภาได้พิจารณาในขั้นตอนต่อไป โดยจะเป็นเอกสารประกอบของกระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ซึ่งการลงทุนในพ.ร.บ.กู้เงินในครั้งนี้เชื่อว่าจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องเพราะหากใช้งบประมาณประจำปีก็อาจจะไม่ได้จัดสรรเงินไปลงทุนในปีต่อไป ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความไม่มั่นใจในหลายๆด้าน และยืนยันว่าการกู้เงินจะเป็นเงินกู้ใหม่ไม่ได้รวมอยู่ในเงินคงคลัง และส่วนใหญ่โครงการต่างๆจะเป็นระบบขนส่งของประเทศ ไม่ได้เน้นในระบบสาธารณูปโภคอื่นๆ เพื่อเป็นการลดต้นทุนด้านการขนส่งและยังเป็นการประหยัดพลังงานที่มีแนวโน้มของราคาปรับสูงขึ้น
****ยันหนี้สาธารณะคุมได้ เน้นเบิกจ่ายค่อยเป็นค่อยไป ป้องกันเงินไหลเข้ามากเกิน
        พร้อมกันนี้ยืนยันว่าได้ดำเนินการตามวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด โดยระดับหนี้สาธารณะจะต่ำกว่า 50% ของจีดีพีประเทศและแผนการชำระเงินกู้จะมีระยะการปลอดการชำระหนี้เงินต้น 10 แรกและจะเริ่มชำระหนี้ในปีที่ 11 โดยคาดว่าเฉลี่ยเงินชำระหนี้จะประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี และมีระยะเวลาชำระหนี้คืนทั้งหมดภายใน 50 ปี        ทั้งนี้ระบุว่าประเทศไทยมีสภาพคล่องในระบบการเงินเพียงพอ ซึ่งถือว่ามากกว่างบประมาณลงทุน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล ซึ่งโครงการลงทุนต่างๆจะเบิกจ่ายเงินลงทุนไปตามความคืบหน้าของโครงการ โดยจะดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยในเบื้องต้นอาจจะไม่กู้เงินจากต่างประเทศ เพราะจะทำให้เงินไหลเข้าประเทศโดยไม่มีความจำเป็น
ส่วนปัญหาเงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะสั้นจะมีผลกระทบต่อการลงทุนหรือไม่ โดยรัฐบาลยืนยันว่าปัญหาระยะสั้นก็คงต้องให้ผู้ดูแลในเรื่องนี้เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งส่วนตัวก็ได้แสดงความกังวลไปบ้างแล้ว ส่วนการลงทุนของรัฐบาลก็จะเป็นการช่วยปัญหาเงินแข็งค่าในระยะยาว
        'กระบวนการก่อสร้างที่ผ่านมาที่ประชุมครม. ก็ได้มีการอนุมัติการกำหนดราคากลางไปแล้ว ซึ่งการปฏิบัติทุจริตคงไม่ใช่เป็นประเด็น โดยรัฐบาลก็ยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด                 สำหรับผลประโยชน์จากการลงทุนในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการลดต้นทุนโลจิสติกส์ ลดการสูญเสียจากการใช้น้ำมัน ล้นเวลาการเดินทางและการขนส่งแล้ว ก็คาดว่าจะทำให้จีดีพีของประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากกรณีฐานเฉลี่ยในช่วงปี 2556-2563 เติบโต 1% ต่อปี มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 500,000 ตำแหน่ง และในช่วงแรกอาจจะส่งผลให้เกิดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจากนำเข้าสินค้าทุน และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ในระยะยาวช่วยลดต้นทุนการผลิตและการนำเข้าพลังงาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออก ดุลบัญชีเดินสะพัด และลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ส่วนความมั่นคงทางการคลังนั้นมีความมั่นใจว่าจะสามารถบริหารจัดการให้ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง' รมว.คลัง กล่าว
****ชงเรื่องเข้าครมสัปดาห์หน้ามีผลปลาย Q3/56 
        ด้านนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คาดว่าร่างกฏหมายดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาได้ในสัปดาห์หน้า โดยจะส่งเรื่องให้กับประธานสภาได้พิจารณาในวันพรุ่งนี้ โดยในเบื้องต้นคงจะไม่มีปัญหาในเรื่องของข้อกฏหมาย เพราะได้มีการพิจารณาจากคณะกรรมการกฤษฎีกาควบคู่กันมาตลอด ซึ่งคาดว่ากฏหมายดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ได้ภายในเดือนกันยายน 2556 พร้อมกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557
 
   
  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น