วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556
"เสี่ยป๋อง" เซียนหุ้นเทคนิค เล่นดักทางหุ้นทะยาน 1,800 จุด
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ช่วงจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนรุ่นใหม่รุ่นเก่าต่างโกยกำไรกันเต็มไม้เต็มมือ จนพอร์ตโตเป็นหลักร้อยหลักพันล้านบาท ทุกคนที่ยึดธีมเล่นหุ้นคุณค่า (Value Stock) ทุกวันนี้ต่างหันมาหากลยุทธ์จับสัญญาณทางเทคนิค แต่มี "เซียนหุ้น" คนหนึ่งที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับตลาดหุ้นมายาวนานถึง 21 ปี "เสี่ยป๋อง" หรือ "วัชระ แก้วสว่าง" ที่ยึดสัญญาณทางเทคนิคเป็นกลยุทธ์หลักในการเข้า-ออกหุ้นตัวนั้นตัวนี้อย่างช่ำชอง
เขาให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ในห้องเทรดส่วนตัวสำหรับลูกค้าขาใหญ่ของ บล.เอเซีย พลัส โดยโต๊ะทำงานจัดตามหลักฮวงจุ้ยพร้อมสิ่งของมงคล เพื่อเสริมพลังการเล่นหุ้น เขาออกตัวว่า ทำแล้วสบายใจ แต่จริง ๆ แล้ว เวลาลงทุนของเซียนหุ้นคนนี้ ต้องทำงานหนัก ทุ่มเทเวลาตั้งแต่เช้า 6-7 โมง เข้าประจำห้องเทรดเพื่อหาข้อมูล จับทิศทางข่าวสารต่าง ๆ ที่มีผลต่อการลงทุนในแต่ละวัน หลังปิดตลาดช่วงค่ำกลับบ้าน และปิดรอบหาข้อมูลอีกครั้งก่อนนอนราวตีหนึ่ง
"เสี่ยป๋อง" เล่าย้อนภาพในอดีตที่เดินเข้ามาถนนสายตลาดหุ้นเมื่อปี 2535 ยังเรียนอยู่เอแบค เล่นหุ้นโดยมีมาร์เกตติ้งเป็นแรงเชียร์ พอร์ตเริ่มต้นราว 500,000 บาท มาถึงวันนี้ระดับแสนล้านบาท
"ตอนเริ่มต้นลงทุนแรก ๆ ก็ได้กำไร พอทางบ้านเห็นก็ใส่เงินเพิ่มให้อีก เพราะเห็นตอนนั้นหุ้นขึ้นจาก 700 กว่าจุด ไปถึง 1,700 จุด ผมได้กำไรเยอะมาก แต่หลังจากนั้นก็ถึงจุดวิบัติทันทีในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง (ปี 2540) ดัชนีหุ้นร่วงมาที่ 204 จุด แต่หุ้นไฟแนนซ์ที่ผมลงทุนปิดกิจการกันระนาว ผมเจ๊งยับ ในที่สุดก็ได้มาเรียนรู้ว่า ควรจะใช้กราฟเทคนิคช่วยด้วย เพราะเวลาผู้บริหารจะขายหุ้น เขาไม่มาบอกคุณหรอก แต่สิ่งเดียวที่จะบอกคุณได้ก็คือกราฟ มันจะพลอตลงมาให้เห็นเลยว่า หุ้นนี้มีสัญญาณขายแล้ว"
ในช่วงที่ตลาดหุ้นถึงจุดพลิกผัน "เสี่ยป๋อง" ได้ปรับสไตล์การลงทุน โดยหันมามองสัญญาณทางเทคนิคที่ปรากฏในกราฟของหุ้นที่เป็นเป้าหมายการลงทุน หลังจากนั้นจะหาบทวิเคราะห์เพื่อประเมินโอกาสการเติบโตในอนาคตอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งภาพรวมสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่อง
โดยปีที่แล้ว เขาสามารถสร้างผลตอบแทนได้ประมาณ 45% ของเงินลงทุน ชนะการปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดที่อยู่ระดับ 38% โดยยอมรับว่าในช่วงครึ่งปีแรกได้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาด เนื่องจากไปเน้นหุ้นขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มพลังงาน ทำให้บริหารได้ผลตอบแทนประมาณ 8% เท่านั้น แต่ก็ปรับพอร์ตใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยโยกเงินมาซื้อหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีสตอรี่ เช่น กลุ่มสื่อสาร กลุ่มก่อสร้าง กลุ่มธนาคาร ช่วยพลิกผลตอบแทนกลับขึ้นมาได้ในที่สุด
"ผมปรับมาเป็นลงทุนหุ้นเต็มแบบพอร์ต นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี"55 จนเรียกได้ว่าถือหุ้นเกิน 100% เพราะใช้ทั้งพอร์ตตัวเอง และพอร์ตมาร์จิ้น ซัดเต็มทุกอย่าง จนกระทั่งมาถึงไตรมาส 1 ปีนี้ ก็ยังลงทุนหุ้นเล็กเต็มพอร์ต แบบที่เรียกได้ว่าไม่เคยลงทุนในหุ้นเยอะขนาดนี้มาก่อน ซึ่งก็เร่งผลตอบแทนได้ดีจริง ๆ"
แต่ด้วยความที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับขึ้นแรงมากในช่วงเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นเขาจึงเริ่มทยอยปรับลดพอร์ตลงทุนบ้างแล้ว ตั้งแต่ช่วงก่อนเดือนเมษายนที่ผ่านมา เขาบอกว่า ปัจจุบัน พอร์ตเหลือสัดส่วนลงทุนหุ้นไม่ถึง 30% และหันมาถือเงินสดมากขึ้น เนื่องจากสัญญาณกราฟเทคนิคของดัชนีตลาดหุ้นไทย และราคาหุ้นบางตัวที่เคยอยู่ในพอร์ตไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เหลือหุ้นบางส่วนที่ยังมีแนวโน้มดี ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งมีข่าวสนับสนุนจากโครงการลงทุนของรัฐบาลในโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่ากว่า 2.2 ล้านล้านบาท
เสี่ยป๋องให้สัญญาณการลงทุนหุ้นในระยะถัดไปว่า พร้อมจะช้อนซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร หากราคาปรับตัวลดลง เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อ ทั้งโครงการรัฐ และการขยายตัวของเอกชนพร้อมกันนี้ เขายังอ่านกราฟที่เป็นสัญญาณทางเทคนิเคิล ชี้แนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงต่อจากนี้ไปว่า ประมาณช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม อาจจะเห็นการปรับฐานอีกครั้งหนึ่ง และหากดัชนีปรับตัวลดลงไปถึง 1,450 จุด จะถือเป็นสัญญาณซื้ออย่างชัดเจน หลังจากนั้นก็เป็นจังหวะที่ต้องรอลุ้นว่าดัชนีจะสามารถดีดตัวขึ้นไปสูงเหนือกว่า 1,789.16 จุด เพื่อทำสถิติสูงสุดอีกครั้งได้หรือไม่
"ทฤษฎีคลื่นของอีเลียต เวฟ จะมีทั้งหมด 5 คลื่น ซึ่งขาที่หนึ่ง รอบใหญ่จบไปแล้วตั้งแต่ปี 2537 ก็คือที่ระดับ 1,789 จุด ขาที่ 2 เป็นช่วงดัชนีรูดลงมา 204 จุด ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เรากำลังขึ้นขาที่ 3 ถ้าพูดกันง่าย ๆ ตามสัญญาณทางเทคนิค กำลังบอกเราว่า ถ้าทะลุ 1,789.16 จุด คราวนี้ดัชนีจะวิ่งไปยาวเลย เรียกว่ามีเท่าไหร่ต้องใส่ให้เต็มเลย เพราะมันจะวิ่งยาวจริง ๆ อาจไปได้ถึง 3 พันจุดก็ได้ ถ้าทฤษฎีผมถูกและเป็นการปรับขึ้นของขาที่ 3 มันจะเท่ากับออลไทม์ไฮ"
"เสี่ยป๋อง" ยังปิดท้ายด้วยว่า แม้เขาจะคร่ำหวอดในวงการลงทุนมานานและประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่การใช้กราฟถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยตัดสินใจเท่านั้น ไม่ได้สัมฤทธิผล 100% เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะวิเคราะห์ด้วยหลักการใดก็มีโอกาสขาดทุน ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องทำการบ้าน รู้จักขายปรับพอร์ตทำกำไรเมื่อมีโอกาสด้วย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น