วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

SET เดือนก.พ.กระฉูด 10.75%

    SET เดือนก.พ.ร้อนแรง ทะยาน 10.75% จากสิ้นปี 55 ขณะที่มาร์เก็ตแคปทะลุระดับ 13 ล้านล้านบาท ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเกิน 6.2 หมื่นลบ.รับตัวเลขศก.ในประเทศฟื้น - งบบจ.สดใส กูรูเผยหุ้นไทยยังมีค่าเงินบาทแข็งค่าสนับสนุนอีกแรง หลังแบงก์กรุงศรีเผยเงินบาทปีนี้มีลุ้นแข็งค่าแตะ 28 บ./ดอลล์ แต่หวั่นประเด็น ศก.ไซปรัสทรุดกดดันแบบไม่ทันตั้งตัว แนะเลือกลงทุนเป็นรายตัว ให้กรอบ SET วันนี้ 1,580 - 1,600 จุด 
        เป็นเทรนด์ขาขึ้น อย่างชัดเจนสำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้อย่างแท้จริง หลังจากที่ในช่วง 2 เดือนครึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มปี 2556 ดัชนีฯตลาดหุ้นไทย ทะยานขึ้นไปแล้วเกือบ 200 จุด หรือ 14% (จาก 1,400 จุด ในวันที่ 2 ม.ค.55 - 1,599 จุด ในวันที่ 15 มี.ค.) และโดยเฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ได้เปิดเผยข้อมูลการซื้อขายออกมาสดๆ ร้อนๆ วานนี้(18 มี.ค.)
       โดยทางตลท.เปิดเผยว่าในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ความกังวลต่อแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐอเมริกายังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก ขณะที่ตลาดทุนไทยได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัว หลังตัวเลข GDP ในไตรมาส 4 ปี 2555 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ปรับดีขึ้น
ขณะที่บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ กลับมีเรื่องของการคุมเข้มเงินฝากของไซปรัสเข้ามาสร้างแรงกดดัน ในขณะที่ปัจจัยในประเทศยังแข็งแกร่งกระแสเงินต่างชาติที่ยังไหลเข้าต่อเนื่อง และเงินบาทที่แข็งค่า
      ทั้งนี้ดัชนีฯ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,591.65 จุด ลดลง 6.48 จุด หรือ -0.41% มูลค่าการซื้อขาย 65,277.02ล้านบาท
      ขณะที่ปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม วานนี้นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 78.98 ล้านบาท นักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 542.19 ล้าน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,609.00 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1,145.80 ล้านบาท 

*** SET 2 เดือนแรกของปีพุ่ง 10.75% ..Market Cap บวก 11.04% 
        ตลท. เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2556 SET Index ปิดที่ 1,541.58 จุด เพิ่มขึ้น 10.75% จากสิ้นปี 2555 และปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.57% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนมกราคม 2556 ขณะที่ market capitalization ของ SET อยู่ที่ 13,137,899 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.04% จากสิ้นปี 2555 และ mai อยู่ที่ 183,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 37.71% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 62,047 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงสุดตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มซื้อขาย เพิ่มขึ้น 79.90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6.98% จากเดือนก่อน ด้านตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 67,777 สัญญา ใกล้เคียงกับเดือนมกราคม 2556 แต่เพิ่มขึ้น 98.00% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
         ด้าน Forward P/E ratio ของไทยปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดย SET อยู่ที่ 14.18 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 13.59 เท่า ณ สิ้นเดือนก่อน ขณะที่ mai อยู่ที่ 18.72 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 18.07 เท่า ณ สิ้นเดือนก่อน ส่วนอัตราเงินปันผลตอบแทนของ SET อยู่ที่ 2.59% และ mai อยู่ที่ 1.18% นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 62,047 ล้านบาท
       อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิเป็นเดือนแรกที่ 17,229 ล้านบาท หลังจากซื้อสุทธิต่อเนื่อง 3 เดือน ส่วนการระดมทุน บริษัทจดทะเบียนระดมทุนในรูปตราสารทุนมูลค่า 1,900 ล้านบาท โดยเป็นการระดมทุนในตลาดแรก 581 ล้านบาท จากการเข้าจดทะเบียนของบมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ (PPP) และ บมจ. อัคคีปราการ (AKP) และมีการระดมทุนในตลาดรอง 1,319 ล้านบาท


*** กูรูคาดเงินบาทปีนี้มีโอกาสทดสอบ 28 บาท/ดอลล์ 
          นายตรรก บุนนาค ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านบริหารการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า ทิศทางค่าเงินบาทในมีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจนทดสอบระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์ได้ โดยเร็วๆ นี้มีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นทำสถิติสูงสุด โดยผ่านแนวรับสำคัญที่ 29.50 บาทต่อดอลลาร์ จากเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 56 แข็งค่าสุดในรอบ 28 เดือนที่ 29.52 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้เป็นผลจากภาพรวมเศรษฐกิจต่างประเทศที่แม้จะมีการฟื้นตัวแต่ยังคงอ่อนแอสะท้อนว่ายังมีความจำเป็นที่ต้องใช้มาตรการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสหรัฐฯที่เชื่อว่ายังต้องดำเนินมาตรการ QE ต่อไป แม้การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงของยูโรโซน ซึ่ง ECB ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจของยูโรโซนลง และฟิทซ์ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีเหลือ BBB+ ขณะที่เศรษฐกิจกลับมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องท่ามกลางความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เงินลงทุนส่วนใหญ่จะยังไหลเข้ามาในเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย
          อย่างไรก็ดี มองว่าทั้งปีนี้ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 29-30 บาทต่อดอลลาร์เป็นหลัก โดยประเด็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไม่ได้มีผลโดยตรงต่อการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ และในปีนี้มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงที่ที่ 2.75%
          ' ค่าเงินบาทตอนนี้เข้าใกล้สู่แนวรับสำคัญที่ 29.50 บาทต่อดอลล์ ซึ่งล่าสุดวันที่ 15 แข็งค่ามาที่ 29.52 บาทต่อดอลล์ สูงสุดในรอบ 28 เดือน ซึ่งในปีนี้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นแล้ว 3.27% ซึ่งแข็งสุดเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ฟิลิปปินส์แข็งค่า 1.25% จีนแข็งค่า 0.35% แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนประเทศอื่นๆ แข็งค่าขึ้นมากกว่าเรา และมีปัจจัยที่ทำให้เงินทุนไหลเข้าจากเศรษฐกิจในประเทศ เพราะฉะนั้นค่าเงินบาทคงไม่อ่อน คงแข็งขึ้นแต่ไม่ตูมตามนัก มีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 28 บาทต่อดอลลาร์ และโลว์ลงมาทดสอบ 30 บาทต่อดอลลาร์ได้เหมือนกัน อยู่ที่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกปัจจัยเสี่ยงต่างๆ' นายตรรก กล่าว
          อย่างไรก็ดีโดยส่วนตัวไม่แน่ใจว่าในช่วงที่ผ่านมา ธปท. ได้มีการเข้ามาแทรกแซงค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าหลุด 29 บาทต่อดอลลาร์หรือไม่ แต่จากมุมมองในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่น เชื่อว่าธปท. คงไม่มีความจำเป็นที่จะนำเอาเงินมาถ่วงดุลอัตราแลกเปลี่ยนไว้ในระดับดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการปล่อยไปตามกลไกของตลาด

*** จับตาไซปรัสคุมเข้มเงินฝาก - การเมืองอิตาลีป่วนศก.โลกอีกครั้ง
         
เป็นประเด็นสำคัญที่เข้ามามีอิทธิพลต่อตลาดทุนในขณะนี้ สำหรับกรณีการออกกฎหมายคุมเข้มเงินฝากในประเทศไซปรัส เพื่อขอแลกกับความช่วยเหลือทางการเงินจากยูโรโซนและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) วงเงิน 1 หมื่นล้านยูโร โดยนายนิคอส อนาสตาเซียเดส ประธานนาธิบดีไซปรัส ออกมาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่นิติบัญญัติผ่านกฎหมายเพื่อเก็บภาษีเงินฝากในธนาคารไซปรัส เพื่อแลกกับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะทำให้ผู้มีเงินฝากในบัญชีธนาคารมากกว่า 100,000 ยูโรจะถูกหักภาษี 9.9% และจะมีการเก็บภาษี 6.75% สำหรับจำนวนเงินที่ต่ำกว่านั้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ไซปรัสระดมทุนได้ 5.8 พันล้านยูโร
        ขณะที่ ประเด็นการเมืองในอิตาลีที่ยืดเยื้อและสร้างความกังวลมาก่อนหน้านี้ ล่าสุดเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น หลังจากอิตาลีลงมติเลือกประธานสภาคณะผู้แทนราษฎร (Chamber of Deputies) และประธานวุฒิสภาเมื่อวันเสาร์ ซึ่งเป็นการสิ้นสุดการประชุมสภานิติบัญญัติเป็นเวลา 2 วัน โดยประธานสภาทั้งสองมาจากพรรคการเมืองฝ่ายกลาง-ซ้ายที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนที่แล้ว ทั้งนี้ในอิตาลี ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาถือเป็นตำแหน่งสูงสุดรองจากประธานาธิบดี หลังการแต่งตั้งประธานสภาทั้งสอง ก็จะมีการหารือเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล โดยวาระการดำรงตำแหน่ง 7 ปีของประธานาธิบดีนาโปลิตาโนจะสิ้นสุดลงในเดือนพ.ค.56 นี้


*** บล.โนมูระ ชี้ไซปรัสยังไม่น่าไว้ใจ แนะชะลอลงทุนดูสถานการณ์
         
 นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจในยุโรป หลังจากที่ยูโรโซนและ IMF ตกลงให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับไซปรัสเป็นมูลค่า 1 หมื่นล้านยูโร จากวงเงินที่ขอไป 1.7 หมื่นล้านยูโร โดยไซปรัสถือเป็นชาติที่ 5 ที่ต้องรับความช่วยเหลือผลจากเศรษฐกิจของไซปรัสเสี่ยงต่อภาวะล้มละลายสูงและไซปรัสยังต้องเจอกับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนที่เข้มงวดอย่างยิ่งด้วย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้กดดันให้ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลกส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบ
         สำหรับแนวโน้มดัชนีวันพรุ่งนี้ คาดว่า น่าจะยังเคลื่อนไหวในแดนลบต่อเนื่องจากวันนี้ เนื่องจากดัชนีต่างประเทศทั้งยุโรปและสหรัฐฯ ได้เปิดตลาดฯในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลกับปัญหาเศรษฐกิจของยุโรป และการขอความช่วยเหลือของไซปรัส ที่จะส่งผลให้ไซปรัสต้องเผชิญกับมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น
         ส่วนกรณีที่มีการระบุว่า เงินบาทน่าจะแข็งค่าไปแตะระดับ 28 บาทนั้น เชื่อว่า น่าจะส่งผลให้มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่ผู้ประกอบธุรกิจส่งออกอาจได้รับผลกระทบอย่างมากจากกรณีดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีแนวทางแก้ไขเพื่อช่วยผู้ประกอบการส่งออกแน่นอน
        ทั้งนี้ แนะนำชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยประเมินแนวรับที่ 1,580 จุด และประเมินแนวต้านแรกที่ 1,598 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,600 จุด 

*** เลือกหุ้นเป็นรายตัวปลอดภัยกว่า 
        นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีซีมิโก้ เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง ตามทิศทางของดัชนีต่างประเทศและได้รับแรงขายทำกำไรจากนักลงทุนเนื่องจากตลาดปรับตัวขึ้นสูงมากแล้ว ประกอบกับนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับการเกิดวิกฤตหนี้ยุโรปครั้งใหม่ หลังผู้ฝากเงินในไซปรัสพากันถอนเงินออกจากธนาคาร เพราะจะเรียกเก็บภาษีเงินฝากตามเงื่อนไขการรับความช่วยเหลือทางการเงินของยูโรโซน
         อย่างไรก็ตาม ทางด้านเทคนิคดัชนีฯมีลักษณะพักตัวในรอบขาขึ้น เนื่องจากตลาดยังคงมีสภาพคล่อง ประกอบกับกระแสเงินที่ไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติและเม็ดเงินจากกองทุนต่างๆ
สำหรับตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้ คาดว่า จะแกว่งตัวในกรอบแคบ เนื่องจากในระยะนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆเข้ามากดดันตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในวันที่ 19-20 มีนาคมนี้
          "ดัชนีฯพรุ่งนี้ คาดว่า จะ Side Way ในกรอบแคบๆ ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับยุโรป บ้านเราก็ยังไม่มีอะไร และขึ้นอยู่กับผู้เล่นในตลาดที่เข้ามาเก็งกำไรมากกว่า ถึงแม้ว่าตลาดปรับลดลงก็ไม่ได้ลดลงมาก โดยยังคงมองตลาดเป็นบวกอยู่ " นายเจริญ กล่าว
          ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนควรเลือกหุ้นรายตัวและควรแบ่งขายทำกำไรหากดัชนีฯราคาปรับเพิ่มขึ้น โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจคือ หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,580 จุด แนวรับถัดไปไว้ที่ 1,564 จุด และประเมินแนวต้านถัดไปไว้ที่ 1,600 จุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น