หุ้นส่งออกอ่วมรับพิษบาทแข็ง 2 เดือนร่วงสวนตลาดรวม โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร ด้านผู้จัดการตลาดเชื่อทางการไม่คลอดมาตรการที่จะกระทบตลาดหุ้น
ชื่อ:  news_img_502193_1.jpg
ครั้ง: 40
ขนาด:  39.8 กิโลไบต์

จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 0.50% แต่หุ้นกลุ่มธุรกิจส่งออก ราคาหุ้นปรับตัวลง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอาหารปรับลดลงมากสุด 8.37% หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ลดลง 4.12% หุ้นเกษตร ลดลง 3.28% และหุ้นกลุ่มยานยนต์ 2.03%

ทั้งนี้หุ้นที่ปรับตัวลดลงมากสุด ได้แก่ หุ้นน้ำตาลขอนแก่น (KSL) ลดลง 20.65% รองลงมาหุ้นซีเฟรช (CFRESH) 18.53% หุ้นอาหารสยาม (SFP) ลดลง 17.43% หุ้นซีพีเอฟ 12.31% หุ้นทียูเอฟ 14.55%

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่าปัจจัยค่าเงินบาทที่แข็งค่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากอัตราผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมาสูงถึง 25% ขณะที่ค่าเงินบาทให้ผลตอบแทนแค่ 2% ขณะเดียวกันเชื่อว่าทางการไม่น่าจะออกประกาศมาตรการอะไรออกมาเพื่อให้เกิดผลกระทบกับภาคตลาดทุน แต่ถ้ามีการประกาศออกมาจริงๆ ก็คาดว่าตลาดจะสะท้อนในระยะสั้นเท่านั้น เพราะนักลงทุนมีความเข้าใจมากขึ้น

"ถ้ามีมาตรการ ออกมาก็น่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มบริษัทส่งออก เพราะไม่ต้องแบกภาระมากขึ้น ซึ่งการออกมาตรการทุกครั้งจะมีบริษัทจดทะเบียนได้และเสียประโยชน์ในพร้อมๆ กัน และก็สามารถปรับตัวได้ในที่สุด หรือบริษัทที่ได้รับผลกระทบก็จะใช้เวลากว่าจะสะท้อนผลกระทบออกมาได้ก็คงต้องรอดูผลประกอบการในงวดถัดไป"นายจรัมพรกล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้ว่ามูลค่าตลาดรวม (Market CAP) ของหุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลลบจากเงินบาทแข็งค่าไม่ได้ใหญ่ แต่ความไม่แน่นอนก็ทำให้บรรยากาศการลงทุนอ่อนลงไปบ้าง ในตลาดมีความหวังว่ากลุ่มประเทศชั้นนำอย่างจีนและยูโรโซน อาจออกมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังตัวเลขไตรมาส 1/56 ซบเซากว่าคาด

ทั้งนี้ มีกระแสคาดการณ์ว่าอีซีบี อาจลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า 2 พ.ค.56 ยังคงแนะนำให้เลือกซื้อลงทุน โดยเน้นไปยังบริษัทที่มีแนวโน้มการดำเนินงานแข็งแกร่งในปี 56-57 และที่สำคัญ คือ ฐานะการเงินมั่นคง รวมทั้ง ในกลุ่มที่มีพีดีอี ต่ำกว่า 1 เท่า ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์,วัสดุก่อสร้าง, พลังงาน, สื่อสาร, อสังหาริมทรัพย์, ขนส่ง

ส่วนนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยได้แนะนำให้ซื้อหุ้นน้ำตาลขอนแก่น หลังราคาอ่อนตัวลงมาแรง เนื่องจากแนวโน้มการฟื้นตัวของผลประกอบการปี 57-58 ซึ่งการขยายกำลังการผลิตน้ำตาลและโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องจะสนับสนุนการฟื้นตัวของผลประกอบการปี 57-58 ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าและเอทานอลจะช่วยลดความผันผวนของธุรกิจน้ำตาลในระยะยาว

ขณะที่ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันซื้อขายเพียงพีอีเรโช 10.5 เท่า ของกำไรสุทธิปี 56 ถูกกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มน้ำตาลในภูมิภาค อยู่ที่ 11 เท่า และให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลจูงใจกว่าปีละ 4%-5% อย่างไรก็ตาม ได้ปรับลดมูลค่าพื้นฐานลง 10% ที่ 15.30 บาท ตามการปรับลดประมาณการกำไร เนื่องจากผลประกอบการรายไตรมาสจะผันผวนสูง จึงเหมาะสำหรับทยอยสะสมสำหรับการลงทุนระยะ 12 เดือน


โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์