หลายคนอาจจะไม่เชื่อ หากเราจะบอกว่า โจ แม่สาย ประภาสะวัต นักธุรกิจหนุ่มสุดฮอตที่มีทรัพย์ สมบัติราวพันล้านภายใน 5 ปีคนนี้ มีอายุเพียงแค่ 26 ปีเท่านั้น!!! สงสัยกันไหมว่า ทำไมชายหนุ่มวัย 26 ปี จึงมีความสามารถในการบริหารธุรกิจจนประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ทั้งที่เขาเริ่มก่อร่างสร้างตัวเองด้วยเงินเพียงแค่ 70,000 บาท ว่าแล้ว...รายการวีไอพี ก็ขอไปจับเข่าคุยกับหนุ่มสุดฮอตคนนี้ให้หายข้องใจกันเสียหน่อย
คุณโจ แม่สาย ประภาสะวัต ปัจจุบันเป็นเจ้าของธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์รายใหญ่ และมีอีกบทบาทหนึ่งคือการเป็นนายกสมาคมผู้ติดตั้งอุปกรณ์ใช้แก๊สสำหรับยานยนต์ นอกจากนี้ คุณโจ แม่สาย ยังทำธุรกิจเกี่ยวกับจอแอลอีดีขนาดใหญ่ตามอาคารต่าง ๆ ซึ่งกิจการเหล่านี้ทำให้ปีหนึ่ง ๆ มีเงินที่ผ่านมือนักธุรกิจหนุ่มคนนี้นับพันล้านบาท
แต่ก่อนที่จะไปดูกันว่า เหตุไฉนหนุ่มคนนี้จึงประสบความสำเร็จได้มาก มายขนาดนี้ ก็ขอย้อนไปถามถึงชื่อจริงว่า "แม่สาย" ที่ใครได้ยินเป็นต้องแปลกใจ ซึ่งคุณโจ ก็เล่าให้ฟังว่า ชื่อของเขามาจากการที่คุณพ่อไปเที่ยวที่อำเภอแม่สาย และเกิดชอบป้ายที่เขียนว่า "อำเภอแม่สาย เหนือสุดแดนสยาม" จึงนำมาตั้งชื่อให้ตัวเขา ด้วยเจตนาที่อยากให้เขาเป็น "สุดยอด" เหมือนในป้ายที่พบนั่นเอง
เมื่อถามถึงฐานะทางบ้านสมัยก่อน คุณโจ บอกว่า ฐานะที่บ้านธรรมดา ค่อนข้างจะจนด้วยซ้ำ โดยคุณพ่อรับราชการเป็นทหารที่ลพบุรี และก็ได้แยกทางกับคุณแม่ตั้งแต่ที่เขายังจำความไม่ได้ ตัวเขาเองอยู่กับคุณพ่อก่อนจะย้ายเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ และเริ่มทำงานควบคู่กับการเล่าเรียนไปด้วย สมัยที่ยังเรียนอยู่นั้น คุณโจได้ไปช่วยหาลูกค้าให้เพื่อนที่เปิดโรงงานรับพิมพ์อิงค์เจท ทำให้เขาพอมีรายได้เดือนละ 7-8 พันบาท ซึ่งก็ทำให้เขามีเงินเก็บอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นคนมีหลักการ และวินัยการใช้เงินเป็นอย่างดี
"ผมมีหลักการการใช้เงินของผม สมมติว่า ทำงานได้เงินมา 100 บาท ผมจะใช้ 30 เอาไปลงทุนอีก 30 และเก็บไว้อีก 40 ถ้าเราอยากจะใช้มาก ก็ต้องหาให้ได้มากขึ้น ยิ่งหาได้มากขึ้น ใช้มากขึ้น เราก็จะมีเหลือเก็บมากขึ้นเหมือนกัน เพราะต้องเก็บส่วนหนึ่งไว้ตลอด หากหาได้น้อยก็ต้องยอมรับว่าเราต้องใช้ให้น้อย" คุณโจ บอก
หลังจากเรียนจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ คุณโจ แม่สาย ประภาสะวัต ก็มีเงินเก็บส่วนตัวประมาณ 7-8 หมื่นบาท ในช่วงนั้น คุณโจตั้งใจจะนำเงินมาลงทุนทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ซึ่งนั่นเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่ต้องมานั่งคิดว่า "การทำธุรกิจต้องทำอย่างไร" และ "อะไรคือความแตกต่างระหว่างที่คน รวยกับคนจนอย่างเขา" ซึ่งในที่สุด คุณโจก็ได้คำตอบว่า สิ่งที่ต่างกันไม่ใช่มือ ไม่ใช่แขน ไม่ใช่ขา แต่คือ "สมอง" ที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ดังนั้น หากเขาจะมีอย่างเขาได้ เขาต้องเพิ่มพูนความรู้ให้กับตัวเอง
"ผมเริ่มอ่านหนังสือทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 5 ทุ่ม โดยเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับการ วางแผนธุรกิจ การบัญชี การตลาด ภาษีเป็นอย่างไร จัดตั้งบริษัทอย่างไร ขายอย่างไร อ่านทุกอย่าง ทำแบบนี้ประมาณ 6 เดือน จนได้มาเจอคุณลุงคนหนึ่งที่ทำธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์ ซึ่งกำลังรุ่ง เพราะช่วงนั้นคนเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันมาเป็นแก๊สมากขึ้น ผมก็เลยขอไปดูที่อู่ และก็ดูว่าไม่น่าจะทำยาก กำไรค่อนข้างดีคันละ 5,000 บาท คู่แข่งก็น้อย ผมก็ว่าธุรกิจนี้มันน่าสนใจนะ"
ด้วยความที่คุณโจ แม่สาย สนใจเรื่องเครื่องยนต์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงได้เริ่มหาลู่ทางทำธุรกิจติดแก๊สรถยนต์ โดยทำฟอร์มเป็นเจ้าของรถ เดินเข้าไปแกล้งถามช่างในร้านติดแก๊สรายใหญ่ ๆ บางครั้งก็ถ่ายรูปกลับมา จนร้านติดแก๊สแห่งหนึ่งถึงกับติดป้าย "คำถามละห้าสิบบาท" คุณโจเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจเปิดเผยตัว โทรศัพท์ไปคุยกับเจ้าของร้านติดแก๊สรายอื่นตรง ๆ เลยว่า อยากจะทำธุรกิจนี้จะขอเข้ามาดูได้หรือไม่ ซึ่งก็โชคดีที่คุณโจเจอร้านใจดียินยอมให้เขาเข้าไปสอบถาม และดูงาน
หลังจากได้ความรู้เรื่องการทำธุรกิจติดแก๊สรถยนต์แล้ว คุณโจก็เริ่มหาทำเล แต่เห็นว่าค่าเช่าที่ในกรุงเทพฯ แพงเกินไป ประกอบกับมีคู่แข่งรายใหญ่อยู่แล้ว คุณโจจึงหันไปเลือกเปิดร้านที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีรถยนต์ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้ามาก แต่มีร้านติดแก๊สเพียงร้านเดียว เขาทุ่มเงินเก็บทั้งหมด 70,000 บาท เปิดร้านติดแก๊สรถยนต์ที่อยุธยา สุดท้ายร้านติดแก๊สรถยนต์ของคุณโจก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีทีเดียว โดยเพียงแค่เดือนแรก เขามีลูกค้าถึง 17 คัน และทำกำไรได้ถึง 40,000 บาท จากนั้นอีก 3 เดือน เขาต้องขยับขยายร้านเพิ่ม เพื่อให้เพียงพอต่อการบริการลูกค้าที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก
เมื่อเห็นว่าคนต้องการติดแก๊สรถยนต์มากขึ้น ผู้ประกอบการรายอื่นจึงเริ่มเปิดร้านติดแก๊สรถยนต์ตามมา พร้อมกับการตัดราคา คุณโจเห็นดังนั้นจึงหาช่องทางทำเงินเพิ่มขึ้น โดยตัดสินใจนำเข้าอุปกรณ์ติดตั้งแก๊สรถยนต์มาขายให้ร้านรับติดแก๊สทั่วประเทศ เพราะเห็นว่าตลาดกำลังเจริญเติบโตเป็นอย่างดี แต่ด้วยอุปกรณ์นำเข้าของคุณโจเป็นอุปกรณ์รุ่นใหม่ เขาจึงจำเป็นต้องจัดสัมมนาอยู่บ่อยครั้ง เพื่อให้ช่างทั่วประเทศที่จะมาซื้อสินค้าของเขาใช้งานเป็น นอกจากนี้ คุณโจยังต้องบินไปดูถึงโรงงานในหลาย ๆ ประเทศ เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้า
หลังจากเปิดเป็นธุรกิจนำเข้าอุปกรณ์ติดตั้งแก๊สรถยนต์แล้ว คุณโจก็ยังเดินหน้าหาช่องทางธุรกิจต่อ ด้วยการทำโรงงานผลิตถังติดตั้งแก๊ส แต่กลับเจออุปสรรคเรื่องลูกค้าไม่แฮปปี้กับราคาที่เขาเสนอ และลูกค้าบางรายก็คิดจะหันไปทำธุรกิจแบบเดียวกับเขาบ้าง คุณโจจึงตัดสินใจทำเป็นธุรกิจค้าปลีกแทนจากเดิมที่ขายส่ง โดยจ้างพนักงาน และเซลล์ไปเสนอขายลูกค้า ซึ่งช่วงนั้นเอง ทำให้โรงงานของเขากำลังประสบปัญหาขาดทุนเดือนละล้าน คุณโจจึงเดินหน้าหาธุรกิจเสริมอีกต่อ
และธุรกิจที่คุณโจเลือกก็คือ ธุรกิจนำเข้าจอแอลอีดี ซึ่งเขาต้องเริ่มศึกษาใหม่จากศูนย์ จนเมื่อศึกษาข้อมูลก็ทราบว่า ในประเทศไทยมีผู้ขายจอแอลอีดีอยู่ แค่ 5 ราย แต่ราคาที่บริษัทต่าง ๆ จำหน่ายนั้นทำกำไรได้สูงมาก ส่วนตัวคุณโจเองบอกว่า เขาไม่คิดจะเอากำไรมาก แค่ต้องการให้อยู่ได้ มีเงินเดือนจ่ายพนักงาน เขาจึงตัดสินใจนำเอาจอแอลอีดีมาขายในประเทศไทย และกำหนดราคาขายที่ไม่สูงมากนัก
เมื่อธุรกิจจอแอลอีดีเฟื่องฟูไปอย่างดี คุณโจ ยังเกิดไอเดียสร้างโรงงานผลิตจอแอลอีดีเองอีกต่อ และในตอนนั้น โรงงานแก๊สรถยนต์ของคุณโจก็กระเตื้องกลับขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นอีก ทำให้คนหันกลับมาใช้แก๊สมากขึ้น เรียกได้ว่า ทั้งสองธุรกิจประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
"การจะขายสินค้าให้ได้ดีต้องรู้จักสินค้าของตัวเอง ต้องเชี่ยวชาญกับสินค้าของตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงกลยุทธ์การขาย เทคนิคการขาย เพราะหากรู้จักสินค้าตัวเองดี ก็สามารถตอบข้อสงสัยทุกอย่างของลูกค้าได้ ทำให้ลูกค้าเชื่อใจเรา มั่นใจเรา" นักธุรกิจหนุ่มเผยเทคนิค
หลายคนอาจจะสงสัยว่า คุณโจถือเป็นผู้บริหารที่มีอายุน้อยมาก ๆ แล้วเขามีวิธีการจัดการบริหารลูกน้องอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณโจบอกว่า ในสายตาของเขาไม่มีลูกน้อง แต่ทุกคนคือผู้ร่วมทีมที่จะนำพาทีมไปสู่จุดหมายที่วางไว้ร่วมกัน ส่วนเขาเองมีหน้าที่บอกว่า ใครจะต้องทำงานส่วนไหนแค่นั้น และหากมีปัญหาก็ต้องช่วยเข้าไปแก้ไข ไม่ปล่อยให้พนักงานทำงานอย่างเดียวดาย
สำหรับเคล็ดลับความสำเร็จในการประกอบธุรกิจนั้น คุณโจ บอกว่า หากจะทำธุรกิจให้โตเร็ว ก็ต้องทำเงินให้ได้มาเร็ว ไม่จำเป็นต้องตั้งราคาต่อชิ้นให้แพง แต่ต้องมามองภาพรวมว่าเงินที่ได้ รับกลับมานั้นเร็วแค่ไหน อย่างเช่น หากซื้อปากกามาแท่งละ 20 บาท อยากได้กำไรแท่งละ 10 บาท ก็ขายไป 30 บาท แต่เดือนนั้นกลับขายได้แท่งเดียว แต่หากซื้อปากกามาแท่งละ 20 บาท ขายไปแท่งละ 23 บาท กำไรแท่งละ 3 บาท แต่ขายได้ 10 แท่ง เท่ากับว่าเดือนนั้นทำเงินได้ถึง 30 บาท
"หลักการทำธุรกิจของผม ผมมองว่าธุรกิจมันเริ่มต้นจาก "สินค้า" มันต้องดี และนอกจากนั้น ผมให้ความสำคัญกับการรักษาลูกค้าเก่าให้มากที่สุด หากผมมีลูกค้าใหม่ 10 ราย แต่เสียลูกค้าเก่าไป 10 ราย ก็เท่ากับว่าลูกค้ามีจำนวนเท่าเดิม สู้ผมมีลูกค้าใหม่แค่ 5 ราย แต่ลูกค้าเก่ายังอยู่ครบ สรุปแล้วผมก็ยังมีลูกค้าเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจเราค่อย ๆ โตขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น การรักษาลูกค้าเก่าไว้ นอกจากสินค้าเราดีแล้ว การบริการก็เป็นสิ่งสำคัญ"
การที่จะก้าวขึ้นมาสู่นักธุรกิจพันล้านนั้น คุณโจ แนะนำเคล็ดลับง่าย ๆ ว่า ต้องก้าวพ้นจากคำว่า "นักธุรกิจ" สู่คำว่า "ผู้บริหาร" ให้ได้ เพราะ "นักธุรกิจ" คือคนที่ทำได้ทุกอย่าง ขายเก่ง วางแผนเก่ง แก้ปัญหาได้หมด แต่สำหรับคนที่เป็น "ผู้บริหาร" จะเป็นคนที่สามารถสร้างนักขายที่เก่ง สร้างนักวางแผนที่เก่ง และสร้างคนมาแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ รวมทั้งใช้คนให้เป็น ใช้คนให้ถูกที่ ซึ่งจริง ๆ แล้วการจัดวางคนให้ถูกกับงานเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก แต่ต้องลองเปิดใจ และเชื่อว่าพนักงานสามารถทำได้นั่นเอง
"ถ้าคนธรรมดาอย่างผมทำได้ ใครก็ทำได้..." หนุ่มนักธุรกิจพันล้านกล่าวทิ้งท้าย เพื่อให้กำลังใจผู้ที่มีความฝันจะประกอบธุรกิจทุกคน
ขอบคุณข้อมมูลจาก : Kapook.co
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น