วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

ผลสำรวจนักวิเคราะห์ร่วมแนะนำ BBL-CK-INTUCH-KBANK-SIRI ชี้ Index ปีนี้เหนือ 1,700 จุด เพิ่มเป้าผลงาน บจ.โต 20%

2-4-2013

  ผลสำรวจสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ชี้หุ้นไทยจ่อเหนือ 1700 จุด อานิสงส์ 2 ล้านล้านบาทหนุน -บจ.ส่อผลงานดี ทั้งปี ฝรั่ง-สถาบัน-บัญชีโบรก จะซื้อสุทธิร่วม 37,125 ล้านบาท พื้นฐานบจ. แน่นขยับเพิ่มเป้าผลงานปีนี้เป็นโต 20% จากเดิมมอง 15% พบวัสดุก่อสร้างเป็นเลิศด้านการเพิ่มอัตรากำไรต่อหุ้น ส่วนสื่อสารคาดหวังปันผลสุดจุใจ แนะนำหุ้นเด่นมหานิยม BBL-CK-INTUCH-KBANK-SIRI

          สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนปี 2556 ตัวเลขคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปีนี้จะจุดสูงสุดที่เฉลี่ย 1,704 จุด และดัชนี ณ ปลายปี จะอยู่ที่เฉลี่ย 1,625 จุด โดยปัจจัยบวกสำคัญมาจากโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท, การประเมินว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวสูงในปีนี้ และต่างชาติจะเข้าซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง ประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 56 ที่เฉลี่ย 4.9% ในขณะที่คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปี 56 จะเติบโตเฉลี่ย 20.3% ขณะที่หุ้นโดนใจยอดนิยมแนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัยได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)BBL, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) CK, บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) INTUCH, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)KBANK และ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)SIRI

***ลุ้นหุ้นไทยเหนือ 1700 จุด อานิสงส์ 2 ล้านล้านหนุน -บจ.ส่อผลงานดี
       นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ได้สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนปี 2556 โดยมีสำนักวิจัยจากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความเห็นโดยรวม 17 แห่ง ได้ผลสำรวจดังนี้พบว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสทะลุระดับ 1,700 จุด โดยจะมีจุดสูงสุดอยู่ที่ระดับ 1,704 จุด เพราะได้รับปัจจัยบวกจากกรณีที่รัฐบาลได้ลงทุนโครงการ 2 ล้านล้านบาท และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 20%       'คาดว่าหุ้นไทยปีนี้ระหว่างปีอาจแตะที่ระดับ 1,700 จุด หลังได้รับปัจจัยจากการลงทุนในภาครัฐ รวมถึงบริษัทจดทะเบียนมีผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้น' นายสมบัติ กล่าว
อย่างไรก็ตามดัชนีตลาดหุ้นไทยในสิ้นปีนี้คาดปิดที่ระดับ 1,625 จุด ส่วนปัจจัยเสี่ยงในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่ามาจากปัจจัยภายในประเทศคือค่าเฉลี่ยพีอีของตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 16 เท่า ประกอบกับปัญหาการเมืองที่ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ รวมถึงการยืดถอดถอนทรัพย์สินของนายกฯ 
       
อนึ่งดัชนีหุ้นไทยล่าสุด (สิ้นวันทำการ 2 เมษายน) ปิดทำการที่ระดับ 1,550.54 จุด เพิ่มขึ้น 0.99 จุด หรือ 0.06% 

***ภาพรวมกระแสเงินไหลเข้า ระบุทั้งปี ฝรั่ง-สถาบัน-บัญชีโบรก จะซื้อสุทธิร่วม 37,125 ล้านบาท
       ในปีนี้ตัวเลขการซื้อสุทธิเฉลี่ยจะเป็นบวกต่อไป กับนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าในปีนี้ตัวเลขการซื้อสุทธิเฉลี่ยจะอยู่ที่ 27,000 ล้านบาท        นอกจากนี้ยังคาดว่านักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันในประเทศรวมพอร์ตโบรกเกอร์จะซื้อสุทธิในช่วงปี 2556 รวมกว่า 3.7 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์เห็นว่าภาครัฐควรเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อกระตุ้นการบริโภคและกำลังซื้อ
***ขยับเพิ่มเป้าผลงาน บจ.ปีนี้เป็นโต 20%
       นายสมบัติ กล่าวย้ำว่าสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้ปรับเป้าอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปีนี้ขึ้นเป็น 20% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 15% เนื่องจากนักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าการลงทุนของภาครัฐจะช่วยสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมในหลายด้านของประเทศ รวมทั้งช่วยดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติให้ไหลเข้ามาในประเทศเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นจึงสนับสนุนให้กำไรของบจ.เติบโตขึ้น       'ในปีนี้คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโต 20% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะโต 15% โดยจะมีทิศทางการเติบโตตามประมาณการตัวเลขจีดีพีที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 4.6% เป็น 4.9% เพราะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าในประเทศเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน' นายสมบัติ กล่าว

***มองจีดีพีเติบโตเฉลี่ย 4.9%
       พร้อมคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ในปีนี้จะเติบโตเฉลี่ย 4.9% หลังจากที่เศรษฐกิจภายในประเทศได้รับอานิสงส์จากการลงทุนต่อเนื่องของทางภาครัฐ ในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจและเสริมศักยภาพเศรษฐกิจไทยในอนาคต รวมทั้งส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ขยายตัวสูงขึ้นอีกด้วย 

***วัสดุก่อสร้างนั่งแชมป์กำไรต่อหุ้นมีอัตราโตสูงที่สุด
       ปี 2556 กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ อันดับ 1 กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยที่ 37.41 % อันดับ 2 กลุ่มอสังหาเติบโตเฉลี่ยที่ 33.42 % และอันดับ3 กลุ่มธนาคาร เติบโตเฉลี่ยที่ 24.84 %        ขณะที่ปี 2557 กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงที่สุดสามอันดับแรก คืออันดับ 1 กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เติบโตเฉลี่ยที่ 20.92 % อันดับ 2 กลุ่มอาหาร คาดเติบโตเฉลี่ย 18.25 % และอันดับ 3 กลุ่มสื่อสาร เติบโตเฉลี่ยที่ 16.76 %

***สื่อสารเบอร์หนึ่งตัวเก็งปันผลจุใจ
       นักวิเคราะห์ได้ประเมินอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มธุรกิจต่างๆ โดยกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่สุดสามอันดับแรกในปีนี้คืออันดับ 1 กลุ่มสื่อสาร ประเมินอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 4.74 % อันดับ 2 กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดไว้ที่ 4.34 % และอันดับ 3 กลุ่มปิโตรเคมี คาดว่าจะอยู่ที่ 4.04 %       ส่วนปี 2557 นักวิเคราะห์ประเมินอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มธุรกิจต่างๆ โดยกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่สุดสามอันดับแรก คืออันดับ 1 กลุ่มสื่อสาร ประเมินอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 5.15 % อันดับ 2 กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดไว้ที่ 4.46 % และอันดับ 3 กลุ่มปิโตรเคมี คาดว่าจะอยู่ที่ 4.36 %

***4 กลยุทธ์คัมภีร์การลงทุน
       -รอจังหวะตลาดปรับฐานลง เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ ได้รับประโยชน์จากโครงการของรัฐ และอิงการลงทุน/การบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก และทยอยขายเมื่อดัชนีตลาดปรับตัวขึ้น       -ศึกษาข้อมูลพื้นฐานก่อนตัดสินใจลงทุน โดยติดตามข้อมูลข่าวสารของทั้งปัจจัยภายนอกประเทศและปัจจัยภายในประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีการเก็งกำไร       -ประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง กระจายความเสี่ยงในการลงทุน ไม่ใส่เงินออมทั้งหมดในหุ้น       -ไม่หวั่นไหวตามความผันผวนของตลาด มีวินัยในการลงทุน และกำหนดจุดตัดขาดทุนให้ชัดเจน 

***แนะนำหุ้นเด่นมหานิยม BBL-CK-INTUCH-KBANK-SIRI 
       หุ้นเด่นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ BBL, CK, INTUCH, KBANK และ SIRI เป็นต้น
ส่วนหุ้นที่นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งเห็นว่าราคาเต็มมูลค่า หรือเกินมูลค่าแล้ว ได้แก่ หุ้นในหมวดธุรกิจพาณิชย์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และธุรกิจเหล็ก เป็นต้น หมวดละ 1 บริษัท


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น