วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

สอย AH -TMC-FPI-TKT ลุ้นรีบาวน์ช่วงมอเตอร์โชว์ 27-3-2013

   โบรกฯ แนะเก็บหุ้นยานยนต์ รับข่าวงานมอเตอร์โชว์ปัจจัยกระตุ้นระยะสั้น หลังหมดโครงการรถคันแรก ชู AH -TMC-FPI-TKT เด่นสุด ด้านบล.ฟิลลิป แนะซื้อ TKT เป้า 5.20 บาท หลังมีแผนสร้างโรงงานใหม่ ได้ข้อสรุปในช่วง Q3/56 ส่วน FPI ปีนี้เพิ่มกำลังการผลิต 42% พร้อมศึกษาตลาดรถยนต์ในเกาหลีใต้ "ทรีนีตี้" คาดทั้งกลุ่มจะรีบาวน์ในช่วง 1- 3 เดือนข้างหน้า เหตุมีออเดอร์ครอบคลุมรายได้ทั้งปี-เงินบาทแข็งค่าไม่สะเทือน 
*** โบรกฯชี้ "มอเตอร์โชว์"หนุนกลุ่มยานยนต์ระยะสั้น
          บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า กลุ่มยานยนต์ เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ราคาปรับลงแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยลดลง 10% จากสัปดาห์ก่อนหน้า เมื่อเทียบกับ SET ที่ปรับลง 7% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ในช่วง 2 วันที่ผ่านมายังฟื้นตัวได้ช้า ทั้งที่กำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าจะเติบได้ดีพอควร 16% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งเป็นปีแรกที่ฟื้นจากน้ำท่วม จึงเติบโตได้ 305% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ด้วย PE เฉลี่ยเพียง 9.4 เท่า คิดเป็น PEG เพียง 0.6 เท่า ดังนั้น จึงประเมินว่าหุ้นในกลุ่มยานยนต์ยังน่าสนใจ
          สำหรับ ปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นคือการจัดงานมอเตอร์โชว์ระหว่างวันที่ 27 มี.ค. – 7 เม.ย. นี้ ในอดีตราคาหุ้นในกลุ่มนี้มักปรับตัวขึ้นในช่วงก่อนงาน Motor Show ดังนั้น จึงแนะนำ AH (TP 32 บาท), TMC (TP 9.80 บาท), FPI (TP 12 บาท) และ TKT (TP 5.40 บาท) 

*** บล.ฟิลลิป แนะ “ซื้อ” TKT ราคาพื้นฐานปีนี้ 5.20 บาท 

          บทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ระบุว่า TKT ผลิตชิ้นส่วนพลาสติก รวมทั้งบริการออกแบบผลิต และะซ่อมแซมแม่พิมพ์เพื่อผลิตชิ้นส่วนพลาสติก ให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและผู้ผลิตสินค้าต้นแบบ ซึ่งล่าสุด ผู้บริหารตั้งเป้ายอดขายปี 2556 โต 10% จากปีก่อนปรับตัวดีขึ้นตามอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งทยอยรับรู้งานใหม่อีกราว 2-3 รุ่น นอกจากนี้น่าจะเห็นความชัดเจนต่อแผนขยายกำลังผลิตในไตรมาส 3/56
          ดังนั้น ทางฝ่ายยังคงประมาณการกำไรสุทธิของปี 2556 โต 13% จากปีก่อน มาที่ 101 ล้านบาทมองได้ประโยชน์จากทั้งการเติบโตของยอดขายและการประหยัดต้นทุนทางขนาด ราคาพื้นฐานปี 2556 ที่ 5.20 บาทแนะนำ “ซื้อ”
          สำหรับยอดขายของปี 2556 ผู้บริหารตั้งเป้าเติบโต 10% จากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดย ส.อ.ท. คาดการผลิตรถยนต์ในปี 2556 ไว้ที่ราว 2.55 ล้านคันเพิ่มขึ้น 3% จากสิ้นปีก่อน อีกทั้งในปีนี้ยังได้รับงานใหม่สำหรับรถยนต์ที่จะทยอยนำเสนอในปีนี้อีกราว 2-3 รุ่น สำหรับ TKT ในปีที่ผ่านมารายได้ส่วนใหญ่ ราว 75% มาจากการผลิตชิ้นงานพลาสติก สำหรับยานยนต์ ซึ่งลูกค้ารายหลักยังคงเป็นค่ายผู้นำตลาดอย่าง TOYOTA
          สำหรับกำลังการผลิตในปัจจุบันรองรับการเติบโตของยอดขายได้อีกกว่า 15% หรือที่ระดับ 2,300 ล้านบาท อย่างไรก็ตามด้วยแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตที่เชื่อว่าการผลิตรถยนต์จะปรับตัวสูงขึ้นเหนือระดับ 3 ล้านคันในปี 2560 จากในปีที่ผ่านมาผลิตไปกว่า 2.45 ล้านคัน จึงทำให้ผู้บริหารพิจารณาถึงแผนการขยายกำลังการผลิตซึ่งคาดจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นใน 3Q56 โดยบริษัทพิจารณาถึงมีความเป็นไปได้ถึงการสร้างโรงงานใหม่เป็นแห่งที่ 4
*** คาดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ 16% สูงกว่าปีก่อน จากการประหยัดต่อขนาด 
          ด้านผลดำเนินงานปี 2556 ทางฝ่ายคงประมาณการยอดขายและกำไรสุทธิเติบโต 8% และ 13% จากปีก่อนมาอยู่ที่ 2,114 ล้านบาทและ 101 ล้านบาทตามลำดับ มองได้ประโยชน์จากทั้งการเติบโตของยอดขายและการประหยัดต้นทุนทางขนาด(Economies of Scale) ที่ช่วยหนุนให้การทำกำไรสูงขึ้น โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มจาก 15% ในปี 2555 มาที่ 16%
          สำหรับแนวโน้มผลดำเนินงานในไตรมาส 1/56 คาดจะปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 4/55 ที่มีกำไรสุทธิ 24 ล้านบาท จากการเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ของงานรถยนต์ใหม่ 1 รุ่น อีกทั้งไม่น่าจะมีค่าใช้จ่ายพิเศษของพนักงาน(โบนัส) อย่างในไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้แล้วยังเชื่อว่ากำไรในไตรมาส 1/56 จะดีเทียบเท่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/55 ที่ทำได้ 28 ล้านบาท ตามปริมาณการผลิตรถยนต์ โดยช่วงสองเดือนแรกผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 2.33 แสนคันต่อเดือน เพิ่มขึ้นเทียบกับฐานที่ค่อนข้างต่ำ 1.67 แสนคันต่อเดือนในไตรมาส 1/55(ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการฟื้นตัวจากภาวะน้ำท่วม) สำหรับส่งมอบต่อคำสั่งซื้อที่มีอยู่มากโดยเฉพาะส่วนที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายรถยนต์คันแรก

*** เอเซีย พลัส ให้น้ำหนักลงทุนเท่ากับตลาด

          บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า แนะนำเท่ากับตลาด สำหรับกลุ่มยายนต์ แต่เลือก STANLY เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มฯ เนื่องจากสัญญาณเชิงบวกของการผลิตรถยนต์ปี 2556 จะเป็นแรงหนุนต่อการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ ภายใต้การดูแลของฝ่ายวิจัยทั้งสิ้น 6 บริษัทขยายตัวไปในทิศทางเดียวกัน โดยเบื้องต้นประเมินกำไรงวดไตรมาส 1/56 ของทุกบริษัทในกลุ่มฯ จะขยายตัวต่อเนื่องจากงวดไตรมาส 4/55 ที่มีกำไรประมาณ 1 พันล้านบาท เนื่องจากค่ายผู้ผลิตรถยนต์ต่างเร่งผลิตเพื่อเคลียร์สต๊อกคงค้างให้หมด
          สำหรับปี 2556 ประเมินกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มยานยนต์ประมาณ 4.58 พันล้านบาท เติบโต 27%จากปีก่อน แต่อย่างไรก็ตามความโดดเด่นของผลประกอบการคาดจะเกิดขึ้นในงวดครึ่งแรกปีนี้ ก่อนจะอ่อนตัวลงในงวดครึ่งปีหลัง บวกกับบรรยากาศของการลงทุนที่หมดความร้อนแรง หลังสิ้นสุดแรงกระตุ้นของโครงการรถยนต์คันแรกของภาครัฐ จึงคงแนะนำการลงทุนเท่ากับตลาด สำหรับกลุ่มยานยนต์ โดยเลือก STANLY โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 318.41 บาท เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มฯ

*** FPI เล็งปรับราคาขาย 5-10% 

          นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯ ได้ปรับราคาขายสินค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)ไว้ หลังจากมีปัจจัยลบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และต้นทุนค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้นเข้ามากระทบการดำเนินงานของบริษัทฯ โดคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ จะอยู่ที่ระดับ 30% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 25% ทั้งนี้ การปรับราคาขายสินค้าในครั้งนี้บริษัทฯ มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเพียงบางชนิดสินค้าที่มีคู่แข่งน้อยเท่านั้น ซึ่งหากผลิตภัณฑ์ใดมีการแข่งขันค่อนข้างมากบริษัทฯ จะไม่ปรับราคาขายขึ้น
          ' แม้ปีนี้จะมีปัจจัยลบจากนโยบายค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่จะไม่ทำให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบ และกระทบต่อผลกำไรของบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการทำประกันอัตราแลกเปลี่ยนไว้ ส่วนการปรับขึ้นราคาขายจะช่วยรักษาอัตรากำไรของบริษัทฯไม่ให้กระทบต่อกำไรอีกด้วย' นายสมพล กล่าว

*** ปีนี้เพิ่มกำลังการผลิต 42% 

          นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดว่ากำลังการผลิตโดยรวมในปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 42% โดยจะแบ่งเป็นส่วนการผลิตกันชนที่คาดว่าจะทำได้ 9 แสนชิ้น หรือเติบโต 52% จากปีก่อนที่ทำได้ 6 แสนตัว ส่วนกำลังการผลิตตัวกระจังหน้ารถจะเพิ่มขึ้นประมาณ 38% หรือประมาณ 1.8 ล้านชิ้น จากปีก่อนที่ทำได้ 1.4-1.5 ล้านชิ้น และสุดท้ายกำลังการผลิตในกลุ่มของหลอดไฟรถยนต์ คาดว่าจะเติบโตประมาณ 12% จากปีก่อน โดยบริษัทฯ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนของกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 1/2556 ประมาณ 25% และคาดว่าในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2556 บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 42% ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน
          ส่วนปีนี้บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนกว่า 160 ล้านบาท ใช้ในการลงทุนขยายแม่พิมพ์ชิ้นส่วนรถยนต์เพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 150 แบบ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 1,500 แบบ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท โดยบริษัทฯ คาดว่าการขยายแม่พิมพ์ในครั้งนี้จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ปีละ 100-150 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเตรียมงบลงทุนอีก 10 ล้านบาท ใช้ในการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์สินค้าประเภทหลอดไฟรถยนต์ ทั้งนี้เงินลงทุนดังกล่าวบริษัทฯ จะนำมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
*** เริ่มศึกษาตลาดรถยนต์ในเกาหลีใต้
          ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมขยายตลาดออกไปยังต่างประเทศมากขึ้น เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ประกอบกับปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดรถยนต์ของประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากเห็นว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งปัจจุบันรถยนต์เกาหลีเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในตลาดอเมริกาใต้ แอฟริกาและตะวันออกกลาง ดังนั้นคงเป็นโอกาสของบริษัทฯ ที่จะขยายตลาดออกไปยังประเทศดังกล่าว
          ' ปัจจุบันบริษัทฯ มีการเจรจางานใหม่กับลูกค้าจำนวนมาก โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับค่ายรถในกลุ่มประเทศยุโรปในการสร้างขอบกั้นบนรถยนต์ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ ซึ่งหากข้อการเจรจาเป็นผลสำเร็จจะทำให้บริษัทฯมีรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 100 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากหลายค่ายรถยนต์' นายสมพล กล่าว
           
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น