ลุ้นหุ้นไทยแตะ1,600จุดอีก 2 สัปดาห์ 14-3-2013
วงการนักวิเคราะห์ คาด บาทแข็งมีโอกาสหนุนหุ้นไทยแตะ 1,600 จุด ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า พร้อมแนะใช้ความระมัดระวังสูง หลังตลาดฯ ยังเปราะบาง ด้าน บล.โกลเบล็ก สั่งจับตา AIT-SCP-TASCO เหตุมีสตอรี่บวกหนุนเพียบ ส่วนสมาคมนักวิเคราะห์ เล็งเพิ่มเป้าดัชนีฯ ปี56 อีกรอบสิ้นเดือนนี้
วงการนักวิเคราะห์ คาด บาทแข็งมีโอกาสหนุนหุ้นไทยแตะ 1,600 จุด ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า พร้อมแนะใช้ความระมัดระวังสูง หลังตลาดฯ ยังเปราะบาง ด้าน บล.โกลเบล็ก สั่งจับตา AIT-SCP-TASCO เหตุมีสตอรี่บวกหนุนเพียบ ส่วนสมาคมนักวิเคราะห์ เล็งเพิ่มเป้าดัชนีฯ ปี56 อีกรอบสิ้นเดือนนี้
***บล.ทิสโก้ลุ้น 2 สัปดาห์ข้างหน้าดัชนีฯ แตะ 1,600 จุด
บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าเงินบาทที่แข็งค่าระลอกใหม่ ยังเป็นผลดีต่อแนวโน้มเงินทุนต่างชาติไหลเข้า แม้ดัชนีฯ จะปรับขึ้นมามากและถึงเป้าระยะสั้นของฝ่ายวิเคราะห์ที่บริเวณ 1,580 จุด แล้ว แต่ฝ่ายวิเคราะห์ยังประเมินบรรยากาศการลงทุนในเชิงบวกอยู่ ทำให้ยังเก็งกำไรระยะสั้นได้ต่อไป โดยดัชนีฯ น่าจะคืบคลานเข้าหาระดับ 1,600 จุด ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้) ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ยังเน้นเลือกลงทุนเป็นหุ้นรายตัวเท่านั้น (Selective Buy) และพร้อมกำหนดจุดหยุดขาดทุนหรือล็อกกำไรทันทีเมื่อตลาดส่ออาการไม่ดี หุ้นเด่นเล่นรอบสั้นช่วงนี้ โดยแนะนำ KAMART, SINGER และ SYMC กลุ่มหลักทรัพย์แนะนำ ASP, FNS และ ZMICO และหุ้นที่มีสัญญาณเชิงบวกอย่าง CEN, BEAUTY, SSI และ TMT เป็นต้น
***ข่าวดีต่างประเทศหนุนดัชนีฯ ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 19 ปี
บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าเข้าสู่ต้นเดือนมีนาคม 2556 กระแสข่าวดีด้านตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาทิ ISM ภาคการผลิตและการจ้างงานของสหรัฐฯ, PMI ภาคบริการและยอดค้าปลีกของสหภาพยุโรปและการส่งออกจีน รวมทั้งการตอกย้ำของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ยังคงนโยบายการเงินผ่อนคลาย (QE) ต่อไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะดำเนินนโยบายทุกวิถีทางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสกัดภาวะเงินฝืด สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั่วโลกกลับมาอีกครั้ง โดยตลาดหุ้นอเมริกาขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์, หุ้นยุโรปส่วนใหญ่ขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2551
ขณะที่หุ้นแถบเอเชียขึ้นสูงสุดในรอบหลายปี (หุ้นอินโดนิเซีย, ฟิลิปปินส์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนไทยสูงสุดรอบ 19 ปี) นอกจากนี้แม้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ต่างชาติขายสุทธิออกมา 1.73 หมื่นล้านบาท แต่พลิกกลับมาซื้อสุทธิแล้ว 6.9 พันล้านบาทในเดือนมีนาคม 2556 (MTD) ส่งผลให้นับแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) กลับมามียอดซื้อสุทธิอีกครั้ง 4.5 พันล้านบาท ต่อเนื่องจากที่ซื้อสุทธิ 7.63 หมื่นล้านบาท ในปี 2555 การพลิกกลับมาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในเดือนมีนาคม 2556 และการแข็งค่าของเงินบาทระลอกใหม่เป็นสัญญาณที่ดีต่อแนวโน้มเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่านักลงทุนต่างชาติซื้อรอบนี้อาจสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท เพื่อกลับมาเทียบเท่ากับที่เคยซื้อสุทธิสะสมสูงสุดเดิมเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2556 โดยกลุ่มที่ฝ่ายวิเคราะห์มองเป็นเป้าหมายการลงทุนของต่างชาติ คือกลุ่มธนาคารพาณิชย์,เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและพลังงาน เพราะจากการตรวจสอบการลงทุนของต่างชาติพบว่า กลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติยังให้ความสนใจและสะสมหุ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยซื้อสุทธิปีนี้ไปแล้วรวม 1.48 หมื่นล้านบาท, 1.30 หมื่นล้านบาท และ 1.12 หมื่นล้านบาท ในทางกลับกันยังเห็นการขายทำกำไร (หรือลดสัดส่วนการลงทุน) ในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์,พาณิชย์และวัสดุก่อสร้างลง ส่วนกลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาให้ความสนใจ คือกลุ่มหลักทรัพย์
***บล.ทิสโก้ แนะใช้ความระมัดระวังสูง หลังตลาดฯ ยังเปราะบาง
บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าการขึ้นมาของดัชนีฯ ในระยะหลังๆ (นับตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. เป็นต้นมา) มีความเปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องใช้ความระมัดระวังการลงทุนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากความร้อนแรงของราคาหุ้นในตลาดถูกผลักดันจากการเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก โดยการปรับตัวขึ้นของดัชนีฯ 13% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ (YTD) ถูกเปลี่ยนจากปกติที่มักเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET50 มาเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET100 และหุ้นนอกกลุ่ม SET100 มากขึ้น โดยราคาปรับตัวขึ้น 9%, 12% และ 24% ตามลำดับ (ราคาหุ้นบางตัวขึ้นมากกว่า 50% ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ อาทิ MLINK ปรับขึ้น 147%, SOLAR ปรับขึ้น 89%, MME ปรับขึ้น 86%, TFD ปรับขึ้น 73%, NWR ปรับขึ้น 71% และTNITY ปรับขึ้น 66%)
ขณะที่เม็ดเงินแห่เข้าลงทุนในหุ้นนอกกลุ่ม SET100 สูงขึ้นเรื่อยๆ จากสัดส่วนเฉลี่ยในปี 55 เพียง 18% ของมูลค่าการซื้อขายรวม (ทั้ง SET และ mai) มาที่ 24%, 28% และ 36% ในเดือนมกราคม, กุมภาพันธ์ และมีนาคม 2556 ตามลำดับ ซึ่งแทบจะขึ้นมาใกล้เคียงกับสัดส่วนเม็ดเงินที่ลงทุนหุ้นใน SET50 ที่ลดลงต่อเนื่องจากปกติอยู่ระดับเฉลี่ย 65% ในปี 55 เหลือเพียง 40% ในเดือนมีนาคม (MTD) สิ่งนี้แสดงถึงการกระจุกตัวมากขึ้นทั้งในแง่ของราคาและมูลค่าการซื้อขาย
นอกจากนี้การประเมินมูลค่าหุ้นไทยค่อนข้างตึงตัวแล้วเมื่อเทียบกับภูมิภาค อิงตามประมาณการของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันซื้อขายที่ Forward PER และ PBV ปี 2556 ที่ 14.5 เท่า และ 2.4 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูงเมื่อเทียบกับตัวเองในอดีต และเทียบกับภูมิภาค (MSCI FE ex. Japan) ที่ 11.8 เท่า และ 1.5 เท่า ตามลำดับ อย่างไรก็ดีหากเทียบกับกลุ่มประเทศ TIP คือ Thailand, Indonesia และ Philippine ตลาดหุ้นไทยยังไม่แพง ส่วนในเชิงเทคนิคหุ้นไทยอยู่ในภาวะเข้าเขตซื้อมากเกินไป (Overbought) และเกิดสัญญาณ Negative Divergence ซึ่งลักษณะเช่นนี้มักจะเตือนให้ระวังถึงการกลับทิศทางในอนาคตข้างหน้า
***ขึ้น XD กดดัชนีฯ ร่วงเพียง 2 จุด
บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าจากการตรวจสอบหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล (ขึ้นเครื่องหมาย XD) ในช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคม 2556 มีทั้งสิ้น 60 บริษัท จากการคำนวณของฝ่ายวิเคราะห์ (นับเฉพาะที่จ่ายปันผลเป็นเงินสด) จะส่งผลให้ดัชนีฯ ปรับลงเล็กน้อย 2.38 จุด โดยวันที่จะส่งผลเชิงลบต่อดัชนีฯ มากสุด คือวันที่ 13 มีนาคม, 14 มีนาคม และ 19 มีนาคม 2556 ตามลำดับ เนื่องจากมีหุ้นจำนวนมากขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันดังกล่าว อย่างไรก็ดีการขึ้นเครื่องหมาย XD จะมีผลลบต่อดัชนีฯ มากที่สุดในเดือนหน้า (เม.ย.56) เนื่องจากจะมีจำนวนหุ้นที่ขึ้นเครื่องหมาย XD ที่มากกว่า 80 บริษัท และส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มสื่อสาร,ธนาคารพาณิชย์และพลังงาน โดยคิดเป็นประมาณ 40% ของมูลค่าตลาดรวมของตลาด
***บล.ทิสโก้ เลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัว
บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าแนะนำนักลงทุนควรเบนเข็มเข้าหุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ที่ราคาค่อนข้างนิ่ง เพราะมีโอกาสทำกำไรสูงในช่วงที่เหลือของเดือนนี้ โดยฝ่ายวิเคราะห์เน้นหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยชอบ KBANK และ SCB ขณะที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แนะนำ ADVANC, DTAC, INTUCH และ JAS ส่วนพลังงานแนะนำ BANPU, PTT, PTTEP และ TOP เป็นหลัก นอกจากนี้ระดับดัชนีฯ ในปัจจุบันที่เกือบ 1,600 จุดนี้ ปรับตัวขึ้นมามากกว่า 50% นับตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ฝ่ายวิเคราะห์สังเกตเห็นว่าหุ้นที่เคยมีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (PBV < 1 เท่า) ถูกไล่ราคาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนขณะนี้เหลือเพียง 103 ตัวเท่านั้น จากที่เคยมีสูงถึง 210 ตัวในต้นปีที่แล้ว ด้วยแรงผลักดันด้านสภาพคล่องที่ยังมีเข้ามาต่อเนื่อง ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าตลาดฯ จะควานหาหุ้นต่ำบุ๊คมีอนาคต (มีประเด็นข่าวกระตุ้น) น่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาเล่นระยะสั้น หุ้นที่น่าสนใจ คือ AMC, CNS, FNS, LALIN, MK และ THAI
***โกลเบล็กแนะจับตา AIT-SCP-TASCO เหตุมีสตอรี่บวกหนุน
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่าฝ่ายวิเคราะห์ให้มุมองการลงทุนในหุ้นขณะนี้ โดยแนะนำหุ้นที่น่าจับตาได้แก่ หุ้นของ AIT ราคาเป้าหมายที่เหมาะสม 114.75 บาท และแนะนำให้ทยอยซื้อเก็บหากราคาปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 81.50 บาท เนื่องจากมองว่า AIT เข้าร่วมทุนกับ LOXLEY ในการเข้าประมูล สัมปทานจัดการระบบโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศในพม่า ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้านี้
ดังนั้นหากบริษัทชนะการประมูลจะช่วยหนุนให้กำไรปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าการประมูล 3G TOT เฟส2 ที่จะเกิดในปีนี้ มูลค่าโครงการ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะสนับสนุนกำไรในปีนี้เติบโตแบบก้าวกระโดด ขณะที่ AIT มีงานในมือ (Backlog) ปัจจุบันประมาณ 3.4 พันล้านบาท คาดยอดขายปี 2556 ยังมีแนวโน้มสดใสต่อเนื่องที่ระดับ 5.7 พันล้านบาท หรือปรับตัวสูงขึ้น 44% เทียบจากปีก่อน และจากแนวโน้มโครงการประมูลของภาครัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งผลการประมูลท่อร้อยสายของ PTT จะสร้างอัพไซด์ให้กับประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์
อย่างไรก็ตามราคายังคง laggard เมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันเทรดที่ระดับ Forward PE 10.7x เทียบ PEER ที่ 14 เท่า นอกจากนี้ยังแนะนำลงทุนในหุ้น SCP โดยมองว่า SCP ยังคงมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง จากโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ทำให้สนับหนุนการใช้ท่อคอนกรีต อีกทั้งโครงการขยายระบบไฟฟ้า ของ กฟภ.หนุนอุปสงค์เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง รวมทั้ง Urbanization สร้างทางหลวงเชื่อม เหนือ ใต้ ออก ตก รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ก็ช่วยหนุนอุปสงค์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป
ขณะเดียวกันบริษัทได้รับคำสั่งซื้อ-งานตอกเสาเข็ม ในภูมิภาคเป็นจำนวนมาก แม้ค่าแรงจะปรับเพิ่มขึ้นแต่ถือว่ายังกระทบเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทมีมาตรการลดต้นทุนกระตุ้นมาร์จิ้นรองรับการประมูลภาครัฐในช่วง 5 ปีข้างหน้า กระตุ้นอุปสงค์รวมอุตสาหกรรม ผนวกกับแรงงานที่หายากจะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการปรับราคาขายสินค้า ส่วนการขยายการลงทุนระบบคมนาคมขนส่งในพม่าจะหนุนการเติบโตระยะยาว (ซึ่งยังไม่อยู่ในประมาณการ)
ทั้งนี้ ทางบล.คาดกำไรปี2556 -2557 ที่ 276 ล้านบาท และ 336 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็น 13-14 EPS ที่ 9.20 /11.20 บาท/หุ้น และคาดราคาที่เหมาะสมปีนี้ ที่ 110.40 บาท อัพไซด์ 53% หรือปัจจุบันซื้อขายที่ 13-14 PE เพียง 12-9.9 x เทียบกับกลุ่มวัสดุก่อสร้างขนาดเล็กที่มียอดขายต่ำกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งซื้อขายที่ Trailing PE ที่ 22x และ 13PE ที่ 18x และหากจะลงทุน แนะนำให้รอซื้อที่ราคา 72.25 บาท พร้อมทั้งแนะนำหุ้น TASCO แนะนำให้ซื้อ ที่ราคา 59.25 บาท ส่วนราคาเป้าหมายให้ไว้ที่ 86.0 บาท มองว่า Urbanization สร้างทางหลวงเชื่อม เหนือ ใต้ ออก ตก รองรับ AEC หนุนอุปสงค์ พร้อมๆกับประชานิยม ซึ่งจะนำความเจริญสู่ชนบท หนุนอุปสงค์ ส่วนประสิทธิภาพของโรงกลั่นที่มาเลเซียเพิ่มสู่ระดับ 8 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อการส่งออก และความสามารถในการจัดหาน้ำมันดิบเพื่อการผลิตยางมะตอย เพื่อการส่งออกไปยังอินโดนีเซีย-ออสเตรเลีย จะกระตุ้นการเติบโต ขณะที่ลดความเสี่ยงจากจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก อีกทั้งคาดว่า ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ และมีเสถียรภาพ ซึ่ง ความสามารถในการ Hedging จะหนุนมาร์จิ้นให้ปรับตัวเกิน 6.5% ตลอดทั้งปี ทำให้ คาดว่ากำไรปี2556 และ ปี2557 ที่ 1,096 -1,260 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13-14EPS ที่ 7.16/8.24 บาท/หุ้น
***สมาคมนักวิเคราะห์ เล็งเพิ่มเป้าดัชนีฯ ปี56 อีกรอบสิ้นเดือนนี้
นายสมบัติ นราวุฒิชัย นายกสมาคมนักวิเคราะห์ เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าโดยส่วนตัวคาดการณ์ว่า ทางสมาคมนักวิเคราะห์น่าจะมีการปรับเป้าดัชนีตลาดหุ้นปีนี้เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ระดับ 1,537 จุดในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2555 หลังจากปัจจุบันเป้าหมายดัชนีฯปรับขึ้นเกินคาดการณ์แล้ว ประกอบกับมองแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะดูจากสภาพเศรษฐกิจของไทยที่ยังแข็งแกร่ง โดยดูได้จากตัวเลข GDP ในช่วงไตรมาส4/2555 ที่แข็งแรงและฟื้นตัวมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจในปี2556 สดใส เนื่องจากกำลังซื้อที่มากขึ้น ทั้งจากค่าแรงขั้นต่ำ 300 ต่อวัน และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ในขณะที่การลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชน จะเป็นตัวหนุนให้เศรษฐกิจของไทยดียิ่งขึ้น และหากเศรษฐกิจในประเทศปรับตัวดีขึ้นจะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนดีตามไปด้วย
ส่วนปัจจัยเสี่ยงปีนี้ของตลาดหุ้นไทย ที่นักลงทุนต้องระมัดระวังคือภาวะของราคาหุ้นบางตัว ที่ราคาปรับตัวขึ้นเกินกว่าพื้นฐานที่รองรับ แต่โดยภาพรวมถือว่าตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่มี P/E สูงไม่มากนัก เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งแนะนำนักลงทุนควรดูพื้นฐานธุรกิจหรือบทวิจัยก่อนการลงทุน
" คาดว่าการพยากรณ์ดัชนีปี 2556 จะเกิดขึ้นในช่วงปลายมีนาคมนี้ โดยต้องรอการคาดการณ์ของ 22 สำนักวิเคราะห์มาคำนวนก่อนทำเป็นผลวิจัยของทางสมาคมนักวิเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีฯมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีหลายสำนักวิเคราะห์ปรับดัชนีฯเพิ่มขึ้นก่อนหน้าแล้ว" นายสมบัติ กล่าว
ขณะที่วันที่ 16 มีนาคม 2556 ทางสมาคมนักวิเคราะห์จะรวมพลบริษัทสมาชิกสมาคมประมาณ 90 แห่ง และตัวแทนจากสำนักวิจัยประมาณ 30 แห่ง ไปพูดคุยพร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง ที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ โดยการเข้าไปพูดคุยครั้งนี้จะแบ่งเป็น 2 เรื่องหลักๆ 1.เรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ 2.2 ล้านล้านบาท 2.เรื่องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐในเรื่องอื่นๆ ซึ่งผลจากการพูดคุยในครั้งนี้นักวิเคราะห์จะได้ข้อมูลนำไปพิจารณาวิเคราะห์ภาพรวมของะเศรษฐกิจและประเมินการลงทุนได้
***เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 29.60-29.70 บาท/ดอลล์
นักค้าเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเย็นวานนี้ (14 มี.ค.56) ปิดตลาดที่ระดับ 29.63-29.65 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากเปิดตลาดช่วงเช้า หลังช่วงก่อนหน้านี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาค่อนข้างมาก ทำให้มีแรงขายทำกำไรระยะสั้น ส่วนการออกมาแสดงความคิดเห็นของรัฐมนตรีคลังเรื่องค่าเงินบาท มีผลทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ไม่ได้มีนัยสำคัญ
สำหรับวันนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 29.60-29.70 บาท/ดอลลาร์ โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ รวมไปถึงความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศ รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าเงินบาทที่แข็งค่าระลอกใหม่ ยังเป็นผลดีต่อแนวโน้มเงินทุนต่างชาติไหลเข้า แม้ดัชนีฯ จะปรับขึ้นมามากและถึงเป้าระยะสั้นของฝ่ายวิเคราะห์ที่บริเวณ 1,580 จุด แล้ว แต่ฝ่ายวิเคราะห์ยังประเมินบรรยากาศการลงทุนในเชิงบวกอยู่ ทำให้ยังเก็งกำไรระยะสั้นได้ต่อไป โดยดัชนีฯ น่าจะคืบคลานเข้าหาระดับ 1,600 จุด ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้) ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ยังเน้นเลือกลงทุนเป็นหุ้นรายตัวเท่านั้น (Selective Buy) และพร้อมกำหนดจุดหยุดขาดทุนหรือล็อกกำไรทันทีเมื่อตลาดส่ออาการไม่ดี หุ้นเด่นเล่นรอบสั้นช่วงนี้ โดยแนะนำ KAMART, SINGER และ SYMC กลุ่มหลักทรัพย์แนะนำ ASP, FNS และ ZMICO และหุ้นที่มีสัญญาณเชิงบวกอย่าง CEN, BEAUTY, SSI และ TMT เป็นต้น
***ข่าวดีต่างประเทศหนุนดัชนีฯ ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 19 ปี
บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าเข้าสู่ต้นเดือนมีนาคม 2556 กระแสข่าวดีด้านตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาทิ ISM ภาคการผลิตและการจ้างงานของสหรัฐฯ, PMI ภาคบริการและยอดค้าปลีกของสหภาพยุโรปและการส่งออกจีน รวมทั้งการตอกย้ำของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ยังคงนโยบายการเงินผ่อนคลาย (QE) ต่อไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะดำเนินนโยบายทุกวิถีทางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสกัดภาวะเงินฝืด สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั่วโลกกลับมาอีกครั้ง โดยตลาดหุ้นอเมริกาขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์, หุ้นยุโรปส่วนใหญ่ขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2551
ขณะที่หุ้นแถบเอเชียขึ้นสูงสุดในรอบหลายปี (หุ้นอินโดนิเซีย, ฟิลิปปินส์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนไทยสูงสุดรอบ 19 ปี) นอกจากนี้แม้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ต่างชาติขายสุทธิออกมา 1.73 หมื่นล้านบาท แต่พลิกกลับมาซื้อสุทธิแล้ว 6.9 พันล้านบาทในเดือนมีนาคม 2556 (MTD) ส่งผลให้นับแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) กลับมามียอดซื้อสุทธิอีกครั้ง 4.5 พันล้านบาท ต่อเนื่องจากที่ซื้อสุทธิ 7.63 หมื่นล้านบาท ในปี 2555 การพลิกกลับมาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในเดือนมีนาคม 2556 และการแข็งค่าของเงินบาทระลอกใหม่เป็นสัญญาณที่ดีต่อแนวโน้มเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่านักลงทุนต่างชาติซื้อรอบนี้อาจสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท เพื่อกลับมาเทียบเท่ากับที่เคยซื้อสุทธิสะสมสูงสุดเดิมเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2556 โดยกลุ่มที่ฝ่ายวิเคราะห์มองเป็นเป้าหมายการลงทุนของต่างชาติ คือกลุ่มธนาคารพาณิชย์,เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและพลังงาน เพราะจากการตรวจสอบการลงทุนของต่างชาติพบว่า กลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติยังให้ความสนใจและสะสมหุ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยซื้อสุทธิปีนี้ไปแล้วรวม 1.48 หมื่นล้านบาท, 1.30 หมื่นล้านบาท และ 1.12 หมื่นล้านบาท ในทางกลับกันยังเห็นการขายทำกำไร (หรือลดสัดส่วนการลงทุน) ในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์,พาณิชย์และวัสดุก่อสร้างลง ส่วนกลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาให้ความสนใจ คือกลุ่มหลักทรัพย์
***บล.ทิสโก้ แนะใช้ความระมัดระวังสูง หลังตลาดฯ ยังเปราะบาง
บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าการขึ้นมาของดัชนีฯ ในระยะหลังๆ (นับตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. เป็นต้นมา) มีความเปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องใช้ความระมัดระวังการลงทุนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากความร้อนแรงของราคาหุ้นในตลาดถูกผลักดันจากการเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก โดยการปรับตัวขึ้นของดัชนีฯ 13% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ (YTD) ถูกเปลี่ยนจากปกติที่มักเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET50 มาเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET100 และหุ้นนอกกลุ่ม SET100 มากขึ้น โดยราคาปรับตัวขึ้น 9%, 12% และ 24% ตามลำดับ (ราคาหุ้นบางตัวขึ้นมากกว่า 50% ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ อาทิ MLINK ปรับขึ้น 147%, SOLAR ปรับขึ้น 89%, MME ปรับขึ้น 86%, TFD ปรับขึ้น 73%, NWR ปรับขึ้น 71% และTNITY ปรับขึ้น 66%)
ขณะที่เม็ดเงินแห่เข้าลงทุนในหุ้นนอกกลุ่ม SET100 สูงขึ้นเรื่อยๆ จากสัดส่วนเฉลี่ยในปี 55 เพียง 18% ของมูลค่าการซื้อขายรวม (ทั้ง SET และ mai) มาที่ 24%, 28% และ 36% ในเดือนมกราคม, กุมภาพันธ์ และมีนาคม 2556 ตามลำดับ ซึ่งแทบจะขึ้นมาใกล้เคียงกับสัดส่วนเม็ดเงินที่ลงทุนหุ้นใน SET50 ที่ลดลงต่อเนื่องจากปกติอยู่ระดับเฉลี่ย 65% ในปี 55 เหลือเพียง 40% ในเดือนมีนาคม (MTD) สิ่งนี้แสดงถึงการกระจุกตัวมากขึ้นทั้งในแง่ของราคาและมูลค่าการซื้อขาย
นอกจากนี้การประเมินมูลค่าหุ้นไทยค่อนข้างตึงตัวแล้วเมื่อเทียบกับภูมิภาค อิงตามประมาณการของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันซื้อขายที่ Forward PER และ PBV ปี 2556 ที่ 14.5 เท่า และ 2.4 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูงเมื่อเทียบกับตัวเองในอดีต และเทียบกับภูมิภาค (MSCI FE ex. Japan) ที่ 11.8 เท่า และ 1.5 เท่า ตามลำดับ อย่างไรก็ดีหากเทียบกับกลุ่มประเทศ TIP คือ Thailand, Indonesia และ Philippine ตลาดหุ้นไทยยังไม่แพง ส่วนในเชิงเทคนิคหุ้นไทยอยู่ในภาวะเข้าเขตซื้อมากเกินไป (Overbought) และเกิดสัญญาณ Negative Divergence ซึ่งลักษณะเช่นนี้มักจะเตือนให้ระวังถึงการกลับทิศทางในอนาคตข้างหน้า
***ขึ้น XD กดดัชนีฯ ร่วงเพียง 2 จุด
บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าจากการตรวจสอบหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผล (ขึ้นเครื่องหมาย XD) ในช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคม 2556 มีทั้งสิ้น 60 บริษัท จากการคำนวณของฝ่ายวิเคราะห์ (นับเฉพาะที่จ่ายปันผลเป็นเงินสด) จะส่งผลให้ดัชนีฯ ปรับลงเล็กน้อย 2.38 จุด โดยวันที่จะส่งผลเชิงลบต่อดัชนีฯ มากสุด คือวันที่ 13 มีนาคม, 14 มีนาคม และ 19 มีนาคม 2556 ตามลำดับ เนื่องจากมีหุ้นจำนวนมากขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันดังกล่าว อย่างไรก็ดีการขึ้นเครื่องหมาย XD จะมีผลลบต่อดัชนีฯ มากที่สุดในเดือนหน้า (เม.ย.56) เนื่องจากจะมีจำนวนหุ้นที่ขึ้นเครื่องหมาย XD ที่มากกว่า 80 บริษัท และส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มสื่อสาร,ธนาคารพาณิชย์และพลังงาน โดยคิดเป็นประมาณ 40% ของมูลค่าตลาดรวมของตลาด
***บล.ทิสโก้ เลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัว
บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าแนะนำนักลงทุนควรเบนเข็มเข้าหุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ที่ราคาค่อนข้างนิ่ง เพราะมีโอกาสทำกำไรสูงในช่วงที่เหลือของเดือนนี้ โดยฝ่ายวิเคราะห์เน้นหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยชอบ KBANK และ SCB ขณะที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แนะนำ ADVANC, DTAC, INTUCH และ JAS ส่วนพลังงานแนะนำ BANPU, PTT, PTTEP และ TOP เป็นหลัก นอกจากนี้ระดับดัชนีฯ ในปัจจุบันที่เกือบ 1,600 จุดนี้ ปรับตัวขึ้นมามากกว่า 50% นับตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ฝ่ายวิเคราะห์สังเกตเห็นว่าหุ้นที่เคยมีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (PBV < 1 เท่า) ถูกไล่ราคาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนขณะนี้เหลือเพียง 103 ตัวเท่านั้น จากที่เคยมีสูงถึง 210 ตัวในต้นปีที่แล้ว ด้วยแรงผลักดันด้านสภาพคล่องที่ยังมีเข้ามาต่อเนื่อง ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าตลาดฯ จะควานหาหุ้นต่ำบุ๊คมีอนาคต (มีประเด็นข่าวกระตุ้น) น่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาเล่นระยะสั้น หุ้นที่น่าสนใจ คือ AMC, CNS, FNS, LALIN, MK และ THAI
***โกลเบล็กแนะจับตา AIT-SCP-TASCO เหตุมีสตอรี่บวกหนุน
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่าฝ่ายวิเคราะห์ให้มุมองการลงทุนในหุ้นขณะนี้ โดยแนะนำหุ้นที่น่าจับตาได้แก่ หุ้นของ AIT ราคาเป้าหมายที่เหมาะสม 114.75 บาท และแนะนำให้ทยอยซื้อเก็บหากราคาปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 81.50 บาท เนื่องจากมองว่า AIT เข้าร่วมทุนกับ LOXLEY ในการเข้าประมูล สัมปทานจัดการระบบโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศในพม่า ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้านี้
ดังนั้นหากบริษัทชนะการประมูลจะช่วยหนุนให้กำไรปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าการประมูล 3G TOT เฟส2 ที่จะเกิดในปีนี้ มูลค่าโครงการ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะสนับสนุนกำไรในปีนี้เติบโตแบบก้าวกระโดด ขณะที่ AIT มีงานในมือ (Backlog) ปัจจุบันประมาณ 3.4 พันล้านบาท คาดยอดขายปี 2556 ยังมีแนวโน้มสดใสต่อเนื่องที่ระดับ 5.7 พันล้านบาท หรือปรับตัวสูงขึ้น 44% เทียบจากปีก่อน และจากแนวโน้มโครงการประมูลของภาครัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งผลการประมูลท่อร้อยสายของ PTT จะสร้างอัพไซด์ให้กับประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์
อย่างไรก็ตามราคายังคง laggard เมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันเทรดที่ระดับ Forward PE 10.7x เทียบ PEER ที่ 14 เท่า นอกจากนี้ยังแนะนำลงทุนในหุ้น SCP โดยมองว่า SCP ยังคงมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง จากโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ทำให้สนับหนุนการใช้ท่อคอนกรีต อีกทั้งโครงการขยายระบบไฟฟ้า ของ กฟภ.หนุนอุปสงค์เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง รวมทั้ง Urbanization สร้างทางหลวงเชื่อม เหนือ ใต้ ออก ตก รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ก็ช่วยหนุนอุปสงค์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป
ขณะเดียวกันบริษัทได้รับคำสั่งซื้อ-งานตอกเสาเข็ม ในภูมิภาคเป็นจำนวนมาก แม้ค่าแรงจะปรับเพิ่มขึ้นแต่ถือว่ายังกระทบเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทมีมาตรการลดต้นทุนกระตุ้นมาร์จิ้นรองรับการประมูลภาครัฐในช่วง 5 ปีข้างหน้า กระตุ้นอุปสงค์รวมอุตสาหกรรม ผนวกกับแรงงานที่หายากจะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการปรับราคาขายสินค้า ส่วนการขยายการลงทุนระบบคมนาคมขนส่งในพม่าจะหนุนการเติบโตระยะยาว (ซึ่งยังไม่อยู่ในประมาณการ)
ทั้งนี้ ทางบล.คาดกำไรปี2556 -2557 ที่ 276 ล้านบาท และ 336 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็น 13-14 EPS ที่ 9.20 /11.20 บาท/หุ้น และคาดราคาที่เหมาะสมปีนี้ ที่ 110.40 บาท อัพไซด์ 53% หรือปัจจุบันซื้อขายที่ 13-14 PE เพียง 12-9.9 x เทียบกับกลุ่มวัสดุก่อสร้างขนาดเล็กที่มียอดขายต่ำกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งซื้อขายที่ Trailing PE ที่ 22x และ 13PE ที่ 18x และหากจะลงทุน แนะนำให้รอซื้อที่ราคา 72.25 บาท พร้อมทั้งแนะนำหุ้น TASCO แนะนำให้ซื้อ ที่ราคา 59.25 บาท ส่วนราคาเป้าหมายให้ไว้ที่ 86.0 บาท มองว่า Urbanization สร้างทางหลวงเชื่อม เหนือ ใต้ ออก ตก รองรับ AEC หนุนอุปสงค์ พร้อมๆกับประชานิยม ซึ่งจะนำความเจริญสู่ชนบท หนุนอุปสงค์ ส่วนประสิทธิภาพของโรงกลั่นที่มาเลเซียเพิ่มสู่ระดับ 8 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อการส่งออก และความสามารถในการจัดหาน้ำมันดิบเพื่อการผลิตยางมะตอย เพื่อการส่งออกไปยังอินโดนีเซีย-ออสเตรเลีย จะกระตุ้นการเติบโต ขณะที่ลดความเสี่ยงจากจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก อีกทั้งคาดว่า ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ และมีเสถียรภาพ ซึ่ง ความสามารถในการ Hedging จะหนุนมาร์จิ้นให้ปรับตัวเกิน 6.5% ตลอดทั้งปี ทำให้ คาดว่ากำไรปี2556 และ ปี2557 ที่ 1,096 -1,260 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13-14EPS ที่ 7.16/8.24 บาท/หุ้น
***สมาคมนักวิเคราะห์ เล็งเพิ่มเป้าดัชนีฯ ปี56 อีกรอบสิ้นเดือนนี้
นายสมบัติ นราวุฒิชัย นายกสมาคมนักวิเคราะห์ เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าโดยส่วนตัวคาดการณ์ว่า ทางสมาคมนักวิเคราะห์น่าจะมีการปรับเป้าดัชนีตลาดหุ้นปีนี้เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ระดับ 1,537 จุดในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2555 หลังจากปัจจุบันเป้าหมายดัชนีฯปรับขึ้นเกินคาดการณ์แล้ว ประกอบกับมองแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะดูจากสภาพเศรษฐกิจของไทยที่ยังแข็งแกร่ง โดยดูได้จากตัวเลข GDP ในช่วงไตรมาส4/2555 ที่แข็งแรงและฟื้นตัวมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจในปี2556 สดใส เนื่องจากกำลังซื้อที่มากขึ้น ทั้งจากค่าแรงขั้นต่ำ 300 ต่อวัน และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ในขณะที่การลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชน จะเป็นตัวหนุนให้เศรษฐกิจของไทยดียิ่งขึ้น และหากเศรษฐกิจในประเทศปรับตัวดีขึ้นจะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนดีตามไปด้วย
ส่วนปัจจัยเสี่ยงปีนี้ของตลาดหุ้นไทย ที่นักลงทุนต้องระมัดระวังคือภาวะของราคาหุ้นบางตัว ที่ราคาปรับตัวขึ้นเกินกว่าพื้นฐานที่รองรับ แต่โดยภาพรวมถือว่าตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่มี P/E สูงไม่มากนัก เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งแนะนำนักลงทุนควรดูพื้นฐานธุรกิจหรือบทวิจัยก่อนการลงทุน
" คาดว่าการพยากรณ์ดัชนีปี 2556 จะเกิดขึ้นในช่วงปลายมีนาคมนี้ โดยต้องรอการคาดการณ์ของ 22 สำนักวิเคราะห์มาคำนวนก่อนทำเป็นผลวิจัยของทางสมาคมนักวิเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีฯมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีหลายสำนักวิเคราะห์ปรับดัชนีฯเพิ่มขึ้นก่อนหน้าแล้ว" นายสมบัติ กล่าว
ขณะที่วันที่ 16 มีนาคม 2556 ทางสมาคมนักวิเคราะห์จะรวมพลบริษัทสมาชิกสมาคมประมาณ 90 แห่ง และตัวแทนจากสำนักวิจัยประมาณ 30 แห่ง ไปพูดคุยพร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง ที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ โดยการเข้าไปพูดคุยครั้งนี้จะแบ่งเป็น 2 เรื่องหลักๆ 1.เรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ 2.2 ล้านล้านบาท 2.เรื่องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐในเรื่องอื่นๆ ซึ่งผลจากการพูดคุยในครั้งนี้นักวิเคราะห์จะได้ข้อมูลนำไปพิจารณาวิเคราะห์ภาพรวมของะเศรษฐกิจและประเมินการลงทุนได้
***เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 29.60-29.70 บาท/ดอลล์
นักค้าเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเย็นวานนี้ (14 มี.ค.56) ปิดตลาดที่ระดับ 29.63-29.65 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากเปิดตลาดช่วงเช้า หลังช่วงก่อนหน้านี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาค่อนข้างมาก ทำให้มีแรงขายทำกำไรระยะสั้น ส่วนการออกมาแสดงความคิดเห็นของรัฐมนตรีคลังเรื่องค่าเงินบาท มีผลทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ไม่ได้มีนัยสำคัญ
สำหรับวันนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 29.60-29.70 บาท/ดอลลาร์ โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ รวมไปถึงความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศ รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น