วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556


Economies of Scale

« โรงเรียนสอนเปียโน | Main

Monday, 3 June 2013

ในการวิเคราะห์หุ้นหรือเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจนั้น  ผมคิดว่าหลักการของ Economies of Scale (EOS)  หรือ  “การประหยัดเนื่องมาจากขนาด” เป็นสิ่งที่สำคัญมาก  ว่าที่จริงสำหรับผมแล้ว  นี่เป็นแนวความคิดหรือหลักการที่ผมใช้มากที่สุด  เหตุผลก็เพราะว่าขนาดนั้นมักจะก่อให้เกิดความได้เปรียบที่ยั่งยืนมากกว่าเรื่องอื่น ๆ  รวมถึงเรื่องของยี่ห้อหรือคุณภาพหรือคุณสมบัติอื่น ๆ  อีกมาก   จริงอยู่กิจการหลายอย่างนั้นอิงอยู่กับเรื่องของยี่ห้ออย่างยิ่งยวดตัวอย่างเช่นสินค้าระดับหรูหราสุด ๆ  แบบ Super Luxury เช่นกระเป๋าหลุยส์วิตตอง แต่ถ้ามองกันให้ลึกลงไปก็จะพบว่ายังมีปัจจัยที่สำคัญทาบซ้อนอยู่นั่นก็คือความจริงที่ว่า  ในบรรดากระเป๋าที่อยู่ในกลุ่มหรูสุด ๆ  นั้น  หลุยส์วิตตองน่าจะเป็นรายใหญ่ที่สุดและน่าจะใหญ่กว่าเบอร์สองมาก  และนี่ก็ทำให้เกิดEOS  ซึ่งก็คือ  มันทำให้กระเป๋าหลุยส์วิตตองได้เปรียบคู่แข่งในแง่ที่มันสามารถมีรูปแบบที่หลากหลายกว่าคู่แข่งเพราะมันคุ้มที่จะทำ  มันทำให้หลุยส์วิตตองมีร้านค้ามากกว่าซึ่งทำให้ผู้คนเห็นมันทั่วโลกซึ่งเท่ากับเป็นการ “โฆษณาสินค้า” ที่กว้างขวางกว่าคู่แข่ง  ซึ่งนี่ทำให้ยี่ห้อของหลุยส์วิตตองแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ  หรือไม่ตกลงไป  ซึ่งก็เท่ากับว่ามันทำให้ความได้เปรียบทางด้านของยี่ห้อของหลุยส์วิตตองมีความยั่งยืน   EOS ยังทำให้การผลิตของหลุยส์วิตตองมีราคาต่อหน่วยต่ำกว่าคู่แข่งและทำให้บริษัทกำไรมากขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง  กำไรนี้ทำให้กิจการมีเงินสดหรือฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งที่ทำให้สามารถต่อสู้กับการคุกคามต่าง ๆ  ได้ดีกว่าคู่แข่ง  นี่ช่วยรับประกันว่ากระเป๋าหลุยส์วิตตองไม่ถดถอยได้ง่าย ๆ
           ธุรกิจโทรศัพท์มือถือหรือผมอยากจะเรียกว่า  “คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่”นั้น   ถ้ามองแบบผิวเผินก็จะดูเหมือนว่าแข่งขันกันด้วยเทคโนโลยีและแนวคิดของการใช้งานหรือการออกแบบไม่ได้แข่งกันที่ “ขนาด” ของกิจการ  แต่นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?   ในช่วงหนึ่งที่โนเกียเป็น “ราชัน”  นั้น  ยอดขายของโนเกียน่าจะสูงมาก   อย่างไรก็ตาม  มันไม่น่าจะ “ชนะขาด”  หรือใหญ่กว่าคู่แข่งอันดับรองมากนัก  จุดด้อยก็คือ  ตลาดในประเทศอย่างฟินแลนด์นั้นเล็กนิดเดียวทำให้โนเกียต้องพึ่งตลาดต่างประเทศเกือบทั้งหมด  และนี่เป็นข้อเสียเปรียบที่สำคัญพอสมควรและทำให้แอปเปิลซึ่งในช่วงแรกโดดเด่นขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีและแนวคิดก้าวขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็วและกลายเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดในธุรกิจมือถือ  แต่ขนาดของแอปเปิลเองนั้น  เอาเข้าจริง ๆ  ก็ไม่ได้ทิ้งห่างจากรายที่รองลงมามากจนได้เปรียบชัดเจน  ว่าที่จริงซัมซุงนั้นน่าจะมียอดขายมากกว่าแอปเปิลด้วยซ้ำในขณะนี้   ผลก็คือ  แอปเปิลเองก็ไม่สามารถ “ครอบงำ”  และได้เปรียบคู่แข่งอย่างยั่งยืนในธุรกิจเมื่อเปรียบเทียบกับหลุยส์วิตตอง  อย่างไรก็ตาม  การที่บริษัทแอปเปิลมีกำไรมากมายและเก็บเงินสดไว้ “มโหฬาร” ก็เป็นสิ่งที่การันตีว่าแอปเปิลคงไม่แพ้ง่าย ๆ  เพราะเงินเป็นอาวุธสำคัญในการแข่งขันทุกด้านรวมถึงเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ที่จะใช้ในการต่อกรกับคู่แข่ง
            ถ้าลองมองกว้างขึ้นมาในระดับของประเทศ  EOS เองก็มีส่วนสำคัญในการแข่งขันซึ่งจะส่งผลไปถึงการพัฒนาการทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ  มีการพูดกันในช่วงก่อนหน้านี้ว่าประเทศที่จะก้าวหน้าเร็วในช่วงต่อไปจนกลายเป็นพลังทางเศรษฐกิจสำคัญของโลกในอนาคตก็คือประเทศในกลุ่มBRIC ซึ่งประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย  อินเดีย  และจีน  เหตุผลมีการพูดกันมากมายแต่ปัจจัยร่วมกันอย่างหนึ่งของทั้งสี่ประเทศก็คือ  มันคือประเทศที่มีคนมากที่สุดและมีปัจจัยในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างอื่นค่อนข้างพร้อม  ต่อมาก็มีการเพิ่มเติมขึ้นว่าประเทศอย่างอินโดนีเซียหรือไนจีเรียก็จะเจริญเติบโตเร็วและมีความสำคัญในระดับโลกมากขึ้น   เหตุผลก็คือ  นี่คือประเทศที่มีพลเมืองมากมายและจำนวนคนนับวันจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราการเกิดยังสูงลิ่วกว่าประเทศอื่นมาก
           การมีคนมากนั้นทำให้ประเทศพัฒนาเร็วได้อย่างไร?  ทำไมในสมัย 40-50 ปีก่อนประเทศที่มีคนมากจึงไม่เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ?  คำตอบของผมก็คือ  การพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้นก็คือการพัฒนาหรือก่อตั้งธุรกิจเพื่อผลิตสินค้าหรือบริการขายให้คนอื่นที่มีเงินซื้อ   ดังนั้นมันต้องการความรู้หรือเทคโนโลยีในการผลิต  มันต้องการผู้ประกอบการที่มีเงินและมีความสามารถ และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือมันต้องมีแรงงานมาผลิต   ในอดีตนั้น  ประเทศที่มีคนมากดังกล่าวนั้นอาจจะมีเทคโนโลยี  เงิน  และผู้ประกอบการไม่เพียงพอที่จะผลิตสินค้าที่มีคุณค่าที่ดีได้  นอกจากนั้น  คนที่มีเงินพอที่จะซื้อสินค้าเองที่มักเป็นคนในประเทศก็อาจจะมีอย่างจำกัด  ทำให้การพัฒนาทำได้ช้า  แต่ในยุคปัจจุบันที่เป็นโลกาภิวัฒน์ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง--ยกเว้นคน—สามารถเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนของประเทศโดยง่ายเพื่อที่จะหาผลตอบแทนที่สูงที่สุด  ปัจจัยการผลิตต่าง ๆ  เช่น  เทคโนโลยี   เงินและผู้ประกอบการทั่วโลกจึงวิ่งไปหาประเทศที่มีคนมาก  ไม่ใช่เพื่อที่จะหาแรงงานอย่างเดียว  แต่ยังหาตลาดของสินค้าและบริการต่าง ๆ  ด้วย  ดังนั้น  ประเทศที่มีคนมากจึงได้รับการลงทุนต่าง ๆ  มากมาย  ตัวอย่างเช่นจีนที่กลายเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ที่ใหญ่โตที่สุด  เช่นเดียวกับอินโดนีเซียที่ในอนาคตก็จะผลิตรถยนต์ไม่น้อยทั้ง ๆ  ที่ประเทศยังไม่ก้าวหน้ามากนักแต่มันคุ้มค่าที่จะทำเนื่องจาก “ขนาด” ของตลาด
             การประหยัดเนื่องจากขนาดหรือ EOS นั้น  ในอดีตที่ผมเคยเรียนในมหาวิทยาลัยเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น  ภาพของมันมักจะอิงอยู่กับขนาดของโรงงานที่ผลิตสินค้าที่จับต้องได้  แนวความคิดหลักก็คือ  โรงงานที่ใหญ่กว่าจะมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำกว่าโรงงานขนาดเล็ก  แต่เมื่อขนาดของโรงงานหรือกิจการใหญ่ถึงจุดหนึ่ง  การประหยัดเนื่องจากขนาดก็จะหมดไป  และถ้าทำให้ใหญ่ไปกว่านั้นอีก  บางทีต้นทุนกลับจะเพิ่มขึ้น   ดังนั้น  โรงงานในแต่ละอุตสาหกรรมจึงมีขนาดที่  “เหมาะสม”  โดยที่โรงงานขนาดที่เล็กเกินไปในที่สุดก็ค่อย ๆ  ต้องปิดตัวลง  คำว่าโรงงานใหญ่ได้เปรียบจึงมีความหมายน้อยลงไปมาก  แนวความคิดเรื่อง EOS ก็น่าจะลดความสำคัญลงไปมาก  อย่างไรก็ตาม  ในด้านของธุรกิจบริการนั้นผมคิดว่า EOS ยังมีความสำคัญและน่าจะสำคัญยิ่งขึ้นไปอีกเพราะธุรกิจบริการสมัยใหม่นั้นต้องอาศัยระบบไอทีและการตลาดในสัดส่วนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ   ต้นทุนเหล่านี้จะต้องถูก  “กระจาย”  หรือจัดสรรให้กับลูกค้าแต่ละคนหรือยอดขายแต่ละบาทที่ทำได้   ดังนั้น  ยิ่งลูกค้าหรือยอดขายมาก  ต้นทุนของสินค้าหรือของบริษัทก็ถูกลง  กำไรของบริษัทก็มากขึ้น  หรือไม่กิจการก็สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งขันที่มีขนาดเล็กกว่ามาก
             ประเด็นสุดท้ายก็คือ  EOS ของบริษัทนั้นจะแปลงเป็นกำไรและราคาหุ้นของบริษัทในตลาดได้มากน้อยแค่ไหน?  นี่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถกำหนดเป็นการทั่วไปได้อย่างแน่นอน  แต่ละธุรกิจเองก็ไม่เหมือนกัน  ถ้าเป็นอุตสาหกรรมการผลิต  โอกาสก็เป็นไปได้ว่าขนาดอาจจะมีผลไม่มาก  โดยทั่วไปในธุรกิจบริการนั้น  ผมคิดว่ายิ่งธุรกิจมีขนาดใหญ่ขึ้น  ต้นทุนต่อหน่วยหรือผลดีที่จะได้รับก็มากขึ้น  บริษัทที่มีขนาดของธุรกิจที่ใหญ่พอนั้น  นอกจากจะมีต้นทุนต่ำลงแล้ว   พวกเขาก็สามารถมี  “ลูกเล่น”  ได้สารพัดทั้งทางด้านการตลาด  การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่  การส่งเสริมการขาย  และการสร้างภาพพจน์ที่ดีในแง่ของการเป็นผู้นำ   จากการสังเกตของผมนั้น  กำไรของบริษัทที่มี  EOS ที่ดีมากเทียบกับคู่แข่งนั้นจะสูงกว่าบริษัทที่เป็นรองมาก ส่วนราคาหุ้นหรือมองจากค่า  PE  ก็มักจะสูงกว่า  มูลค่าตลาดหรือ  Market Cap. ของหุ้นที่มีขนาดใหญ่กว่ามากนั้นมักจะสูงกว่าคู่แข่งระดับรองหลายเท่า  ดังนั้น  ในการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียนทุกครั้ง  การมองไปถึง  EOS  จึงเป็นสิ่งที่ควรต้องทำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น