THCOM ถึงเวลาติดลมบน
รายงานพิเศษ วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน 2556 ผู้เข้าชม : 84 คน
ยุทธศาสตร์ธุรกิจที่น่าสนใจของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ภายใต้พันธกิจที่ได้รับมอบหมายสำคัญของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่ต้องการให้ล้างขาดทุนสะสมภายใน 3 ปี ได้มาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญในปีนี้ เป็นต้นไป ล่าสุดเมื่อสิ้นไตรมาส 1 ของปีนี้ สามารถมีกำไรสะสม 4.1 พันล้านบาท นั่นหมายความว่า หากมีกำไรเพิ่มขึ้น ก็จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้มากกว่า 40 สตางค์ต่อหุ้น ซึ่งเป็นตัวเลขเมื่องวดปี 2555 อย่างแน่นอน
ความมั่นใจของผู้บริหาร THCOM ที่ว่าบริษัทจะสามารถมีรายได้และผลกำไรสุทธิที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ เกิดจากยุทธศาสตร์สำคัญ 3 ประการพร้อมกัน ดังตารางประกอบ ซึ่งถือเป็นข่าวดีอย่างมากสำหรับผู้ถือหุ้นทีเดียว
ยุทธศาสตร์ธุรกิจ THCOM ปี 2556
สร้างรายได้ใหม่เพิ่ม
|
ดาวเทียมไทยคม 6 (ไตรมาส 3/2556) ขายช่องสัญญาณล่วงหน้าได้แล้วกว่า 60% และสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 66-70% (แม้จะเช่าดาวเทียมจีนมาใช้ทดแทนไปก่อน)
ไทยคม 7 จะขึ้นสู่วงโคจรได้ประมาณช่วงไตรมาส 1-2/2557 ขายช่องสัญญาณล่วงหน้าของดาวเทียมไทยคม 7 ไปแล้ว 40% และวางแผนย้าย telecom work load จากไทยคม 5 ที่จะหมดอายุ มาสู่ไทยคม 7 โดยราคาขายจะต่ำกว่าไทยคม 6 ประมาณ 30-40%
เตรียมศึกษาเพื่อสร้างดาวเทียมไทยคม 8 ในวงโคจรเดิมเพิ่มเติม หลังจากที่มีความต้องการของบรอดคาสท์มากขึ้น เพื่อทำทีวีดิจิตอล
|
เพิ่มศักยภาพรายได้เก่า
|
ไอพีสตาร์ ปริมาณการใช้ช่องสัญญาณ (แบนด์วิธ) โดยรวมอยู่ที่ 53% จากเมื่อสิ้นปี 2555 อยู่ที่ 25-26% สิ้นปีจะเพิ่มเป็น 59%
|
ลดภาระขาดทุนบริษัทลูกเก่าลง
|
เลิกธุรกิจ Mfone ในกัมพูชา
|
ภายใต้ยุทธศาสตร์ธุรกิจใหม่นี้ จะเห็นได้ว่า THCOM ปรับโฟกัสของธุรกิจเหลือเพียงเรื่องเดียวนั่นคือ รุกตลาดธุรกิจดาวเทียมเชิงพาณิชย์เพียงอย่างเดียว ด้วยการเร่งศักยภาพทางการตลาดและการขายให้เหนือกว่าจุดคุ้มทุน ซึ่งทำได้อย่างดี สะท้อนความสามารถของผู้บริหารในปัจจุบันอย่างยิ่ง
ในอดีต THCOM มีตัวเลขขาดทุนต่อเนื่อง เพราะมีจุดอ่อนในเรื่องของการตลาด และขาดจุดโฟกัสที่ดี เนื่องจากทำหลายธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยุ่งยากเนื่องจากธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจข้ามพรมแดนที่ต้องมีความซับซ้อนมากกว่าปกติ การลดความหลากหลายของธุรกิจเหลือน้อยที่สุด จึงเป็นสิ่งที่สอดรับกับข้อเท็จจริงในการปฏิบัติ
โครงการดาวเทียมไทยคม 6 ซึ่งจะเป็นดาวเทียมดวงใหม่ที่จะเพิ่มปริมาณช่องสัญญาณและขยายตลาดของไทยคมนั้น จะสามารถยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/2556 โดยขณะนี้บริษัทสามารถขายช่องสัญญาณล่วงหน้าของดาวเทียมไทยคม 6 ได้แล้วกว่า 60% และสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 66-70% รวมทั้งบริษัทเซ็นสัญญากับบริษัท เคเบิ้ลไทยโฮลดิ้ง จำกัด หรือ CTH เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในการเช่าช่องสัญญาณถือเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่สำคัญที่จะบันทึกอย่างมีความหมายทั้งรายได้และกำไร
ขณะที่ธุรกิจเดิมที่ได้กระทำอยู่ ก็มีการเพิ่มศักยภาพในการทำรายได้อย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว โดยเฉพาะในส่วนของดาวเทียมไอพีสตาร์ ขณะนี้ปริมาณการใช้ช่องสัญญาณ (แบนด์วิธ) โดยรวมอยู่ที่ 53% จากเมื่อสิ้นปี 2555 อยู่ที่ 25-26% และในสิ้นปี 2556 คาดว่าแบนด์วิธจะอยู่ที่ 59% ซึ่งขณะนี้จะมีการขายที่ช้าลง เนื่องจากเกินจุดคุ้มทุนที่ 28% แล้ว ทำให้บริษัทไม่ต้องเร่งขายเป็นแบบเหมาจำนวนมาก เพราะได้ราคาต่ำ โดยหลังจากนี้จะเน้นผลกำไรมากกว่า
ความสำเร็จของการเพิ่มความสามารถใช้ช่องสัญญาณไอพีสตาร์ เกิดจากกระบวนทัศน์ทางการตลาดที่กล้าหาญในการผ่าทางตัน ด้วยการขายแบบเทกระจาดให้กับพันธมิตรธุรกิจบริษัท วาสซัคเซส โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด (Vast) โดยวิศวกรรมการเงินที่ซับซ้อนคือ ไม่ได้ใช้เงินสด แต่ได้ใบหุ้นมาแทนครั้งนี้เป็นการบรรลุเป้าหมายที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง เพราะปริมาณการใช้งานช่องสัญญาณไอพีสตาร์ในประเทศจีน จะทำให้การใช้งานช่องสัญญาณไอพีสตาร์อยู่ในระดับที่สูงเกินกว่าจุดคุ้มทุนของโครงการไอพีสตาร์ไปมาก ทำให้รับรู้ส่วนของกำไรจากการดำเนินงานในจีนที่ยาวนาน ซึ่งดีกว่าการขายปกติที่รับรู้รายได้ค่อนข้างช้าจนส่งผลต่อกำไรและรายได้ของบริษัทมายาวนาน
ความสำเร็จที่สามารถแก้ปัญหาหลายเปลาะพร้อมกันเช่นนี้ จึงไม่แปลกใจที่จะพบว่า ตัวเลขผลประกอบการที่เคยอืดอาดและถ่วงรั้งความสามารถของธุรกิจที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้ (ดูตารางประกอบย้อนหลัง 5 ปี) จะหมดสิ้นไป เริ่มต้นเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความรุ่งโรจน์เต็มที่
แนวโน้มผลประกอบการในปี 2556 คาดว่าจะเติบโตดีขึ้นจากปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 173.90 ล้านบาท โดยจะเป็นการเติบโตจากธุรกิจดาวเทียม
ความสำเร็จอย่างมั่นใจและมีโฟกัสของ THCOM เช่นนี้ ทำลายการวิเคราะห์ในเชิงลบและข้องกังขาของบรรดานักวิเคราะห์จำนวนมากไปได้อย่างสวยงาม ถือว่าทำเกินความคาดหมายได้อย่างดี
จากนี้ไป การประเมินต่ำของราคาหุ้นและผลประกอบการของ THCOM น่าจะจบสิ้นลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น