วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กำไรกลุ่มแบงก์Q2ปรี๊ด

การเงินการคลัง วันอังคารที่ 25 มิถุนายน 2556 
ผู้เข้าชม : 9 คน 

หุ้นกลุ่มแบงก์อนาคตสดใส คาดกำไรไตรมาส 2/56 ยังเติบโตเชิงรุก เลือก “TCAP-KK” เด่นสุด เหตุราคาหุ้นผ่านการปรับฐาน ชี้โอกาสดีให้เข้าสะสม ส่วน “BBL-KBANK” เด้งรับการลงทุนใหญ่ของประเทศ หลังฐานเงินกองทุนยังแข็งแกร่ง พร้อมตั้งสำรองหนี้ และ คุณภาพสินทรัพย์ดีเยี่ยม
นางสาวอุษณีย์ ลิ่วรัตน์ นักวิเคราะห์ บมจ.หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวว่า ทิศทางกำไรของกลุ่มธนาคารในงวดไตรมาส 2/56 ยังเห็นการเติบโตแรงเปรียบเทียบจากไตรมาสก่อนหน้าด้วยการเติบโตทั้งจากรายได้จากการดำเนินงาน และรายได้พิเศษ โดยในส่วนของธุรกิจหลักยังได้รับปัจจัยหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อสุทธิจากโครงการลงทุนของภาคเอกชน และ การบริโภคภายในประเทศที่ยังเติบโตต่อเนื่อง
ในขณะที่ NIM คาดว่าจะเริ่มทรงตัวจากที่อ่อนตัวไปในไตรมาส 1/56 แม้จะเห็นผลบวกจากต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝากที่ทยอยปรับตัวลดลงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 4/55 แต่กลับต้องถูกหักล้างไปด้วยต้นทุนของเงินฝากใหม่ที่ระดมเข้ามาภายใต้การแข่งขันที่เป็นไปอย่างรุนแรง
สำหรับการตั้งสำรองหนี้ในไตรมาส 2/56 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัย ซึ่งเป็นผลจาก TCAP นำกำไรจากการขายเงินลงทุนใน Tlife ไปกันสำรองเป็นส่วนใหญ่เพื่อเพิ่ม Coverage ratio ไม่ได้เกิดจากปัญหา NPL ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งธนาคารที่คาดว่าจะแสดงการเติบโตของกำไรสุทธิในไตรมาส 2/56 ที่โดดเด่น คือ TCAP เพราะบันทึกรายได้พิเศษจากการขายเงินลงทุนใน Tlife แม้หักสำรองเพิ่มแล้วก็ตาม และ KK ที่บันทึกรายได้ค่าธรรมเนียมจากดีล BTSGIF กว่า 300 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ธนาคาร 9 แห่งได้รายงานตัวเลขประจำเดือน พ.ค.56 และ มียอดสินเชื่อสุทธิคงค้างรวม 6.79 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.84% จากเดือนก่อนหน้า และ 12.6% จากปีก่อนหน้า โดยเห็นการเติบโตเพิ่มขึ้นในรายเดือนของธนาคารทุกแห่ง ยกเว้น BAY ที่แสดงยอดลดลงของสินเชื่อสุทธิเดือนนี้
เนื่องจากมีการชำระคืนหนี้ในกลุ่มสินเชื่อรายใหญ่ที่เป็นการกู้ยืมระยะสั้นประเภทสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน ในขณะที่สินเชื่อ SME และ รายย่อยยังเห็นการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และ สินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งการเติบโตของสินเชื่อสุทธิทั้งกลุ่มธนาคารในเดือนนี้มีการกระจายตัวไป ทั้งในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ และ ขนาดเล็ก
โดยรวมแล้วการเติบโตของสินเชื่อสุทธิของกลุ่มธนาคารในระยะ 5 เดือนเพิ่มขึ้นมาที่ 2.8% จากสิ้นปี 2555 (ytd) แม้จะยังค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเป้าสินเชื่อสุทธิทั้งปี 2556 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 12.8% จากปีก่อนหน้า แต่ยังไม่น่ากังวล เพราะการเติบโตของสินเชื่อโดยปกติแล้วจะเร่งตัวมากขึ้นในช่วงครึ่งหลัง
ส่วนสถานการณ์เงินฝากในเดือน พ.ค.56 มียอดคงค้างที่ 7.54 ล้านล้านบาท เติบโต 1.8% จากเดือนก่อนหน้า และ 17.4% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเติบโตในรายเดือนที่สูงสุดในรอบ 8 เดือนที่ผ่านมา โดยสะท้อนถึงการแข่งขันเพื่อระดมเงินฝากที่เป็นไปอย่างรุนแรงมากขึ้นในระบบ
ซึ่งมีปัจจัยเร่งจากธนาคารของภาครัฐ โดยมีเป้าหมายการระดมเงินฝากเชิงรุกเพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อในโครงการ บริหารจัดการน้ำกดดันให้ธนาคารเอกชนต้องแข่งขันแย่งชิงเงินฝากเพื่อรักษา ส่วนแบ่งตลาดไว้ ซึ่ง SCB, BAY และ TMB เป็นธนาคารที่มีการเพิ่มขึ้นของเงินฝากสูงสุดในเดือนนี้ โดย TISCO เป็นธนาคารแห่งเดียวที่แสดงการลดลงของเงินฝากเดือนนี้
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังคงน้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาดในหุ้นกลุ่มธนาคารจากคาดการณ์การเติบโตของ EPS ปี 56-57 ถึง 30.5%( yoy) และ 11.9%(yoy) ตามลำดับ โดยเลือกหุ้นเด่นสุดคือ BBL ราคาเป้าหมาย 280 บาท จากคาดการณ์การเติบโตของ EPS ปี 56-57 ที่ 23.8% และ 13.9% จากปีก่อนหน้าตามลำดับ
และ KBANK ราคาเป้าหมาย 237 บาท จากคาดการณ์การเติบโตของ EPS ปี 56-57 ที่ 23.4% และ 12.3% จากปีก่อนหน้า ตามลำดับ ซึ่งจะได้รับผลบวกจากการเติบโตของสินเชื่อที่เกาะกระแสไปกับวัฎจักรการลงทุนใหญ่ของประเทศ ประกอบกับ ยังเป็นธนาคารที่มีความแข็งแกร่งทั้งในเรื่องของฐานเงินกองทุน ความเพียงพอของปริมาณการตั้งสำรองหนี้ และ คุณภาพสินทรัพย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น