โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ / https://www.facebook.com/VI.Kitichai
ชื่อ:  DFBE4D4E511447CC9A9308241FC5E732.jpg
ครั้ง: 17
ขนาด:  77.2 กิโลไบต์

ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นักลงทุนหลายท่านโดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดมาไม่นาน คงทำตัวไม่ถูกเลย เมื่อเห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไหลลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดย Set Index ลงจาก 1,649 จุด เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม มาทำจุดต่ำสุดที่ 1,352 จุด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา หรือลงมาเกือบ 300 จุด คิดเป็น 18% ภายในเวลาเพียง 23 วัน

ถ้ามาดูราคาหุ้นรายตัว จะเห็นว่าบางตัวลงมาเกิน 50% ก็มีหลายตัว เช่น หุ้น VTE ที่มีข่าวลือว่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร ที่เสียชีวิตไปเมื่อเร็วๆ นี้ ไหลลงจาก 8.70 เมื่อเดือนพฤษภาคมลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 3.12 บาท เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ลงมา 5.58 บาท คิดเป็น 64% หรือหุ้นยอดนิยมในช่วงเร็วๆ นี้


อย่างเช่นหุ้น True ก็ไหลลงมามากกว่า 40% หุ้นหลายๆ ตัวที่พื้นฐานดีและไม่ดี ลงกันมาพร้อมหน้าพร้อมตากันเลยทีเดียว คงเป็นบทเรียนที่ดีทำให้นักลงทุนหลายรายต้องลดการเก็บกำไรลง และศึกษาหาความรู้ในเรื่องของการลงทุนมากขึ้น ช่วงเวลาแบบนี้ นักลงทุนที่ลงทุนโดยใช้ปัจจัยพื้นฐานที่พอร์ตยังว่างๆ คงมีความสุขมากกับการเลือกซื้อหุ้นดีๆ ในราคาที่เหมาะสม

จริงๆ แล้วช่วงนี้ที่ราคาหุ้นไหลลงอย่างมาก ไม่เพียงเฉพาะตลาดหุ้นไทยเรา ตลาดอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่ถูกจัดรวมเป็นกลุ่มประเทศ TIP ก็ลงมาไม่น้อยหน้ากันเลยทีเดียว รวมทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ลงมาแรงทีเดียวในรอบนี้

แต่เมื่อเทียบกับเมื่อต้นปี ทั้ง 4 ตลาดก็ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่า โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังบวกอยู่ประมาณ 22% อินโดนีเซียยังบวกอยู่ประมาณ 10%

ขณะที่ไทยเราก็ยังบวกอยู่ประมาณ 5-6% แต่ถ้ามาดูค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐจะเห็นได้ชัดเลยว่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วขึ้นไปแตะ 31 บาท เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จากแรงขายตราสารหนี้และตราสารทุนของต่างชาติในปริมาณที่มากในช่วงที่ผ่านมา จากการหวาดกลัวว่าทาง FED จะยกเลิกหรือลดปริมาณเม็ดเงินจากที่เคยอยู่ที่ 85,000 ล้านเหรียญสหรัฐ/เดือน

ผมคาดว่าในการประชุมวันที่ 18-19 มิถุนายนนี้ของ FED น่าจะยังไม่มีการประกาศยกเลิกมาตรการ QE แต่จะมีการลดปริมาณเงินให้น้อยลงหรือไม่ ส่วนตัวผมคิดว่า น่าจะไม่ลด แต่ถ้าจะลดก็น่าจะลดลงไม่เกินครึ่งหนึ่งของปริมาณเดิม เนื่องจากตัวเลขการว่างงานยังไม่อยู่ในระดับที่ FED จะพอใจ และการที่หยุดมาตรการหรือลดปริมาณเงินเร็วเกินไป น่าจะส่งผลเสียทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐที่เพิ่งจะฟื้นตัวแบบช้าหยุดลง

เผลอๆ อาจจะหัวคะมำก็ได้ แค่คราวที่แล้วประธาน FED พูดเพียงว่าถ้าเห็นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นก็จะหยุดหรือลดมาตรการ QE ก็ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวกันพอสมควร ผมคิดว่า ท่าน Ben Bernanke คงต้องคิดหนักนะครับ เพราะว่าถ้าตัดสินใจผิด จะมีผลกระทบมหาศาลต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลก

ปัจจัยภายในประเทศของเราก็มีหลายปัจจัยลบ เช่น การปรับการคาดการณ์อัตราการเติบโตของ GDP ปีนี้ลงประมาณ 0.5% ของหลายหน่วยงาน รวมทั้งตัวเลขการส่งออกที่ประกาศมาล่าสุด จากปัจจัยดังกล่าวอาจจะทำให้นักวิเคราะห์มีการปรับลดการคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนลง

นั่นหมายถึง ในระดับ P/E ให้ลดลงก็จะกลายเป็น 2 เด้ง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมากขึ้น สภาวะการเมืองก็เริ่มเข้มข้นขึ้น ทั้งกลุ่มหน้ากากขาว และกลุ่มเสื้อแดง การเสียชีวิตของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร การทุจริตคอร์รัปชันที่มากขึ้น การรับจำนำข้าวที่ทำให้สถาบัน Moody ขู่ว่าจะ Downgrade Rating ของประเทศไทย และกำลังจะพิจารณาที่จะ Downgrade อันดับการน่าลงทุนของธนาคารชั้นนำในประเทศ 3 แห่ง คือ BBL, KBANK และ SCB
1.ถ้า FED ออกมาพูดว่าจะยังคงมาตรการ QE เหมือนเดิม ตลาดหุ้นก็จะขึ้น แต่ภายใน 1-2 เดือน ตลาดหุ้นไทยน่าจะขึ้นไม่ถึงจุดสูงสุดเดิมที่ทำไว้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาที่ 1,649.77 จุด

2.ถ้า FED จะลดมาตรการ QE ลง แต่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม ตลาดหุ้นจะไม่ลงไปมากเท่าไหร่ เพราะว่าตลาดได้ซึมซับข่าวนี้ไปพอสมควรแล้วคือ ตลาดจะไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ (1,351.95 จุด)

3.FED ยกเลิก QE จุดต่ำสุดรอบที่แล้ว น่าจะรับไม่อยู่ Set Index น่าจะลงไปแถวๆ 1,300 จุดบวกลบ

ด้าน Moody ถ้ามีการ Downgrade ประเทศไทยจริงๆ ก็มีผลลบต่อตลาดหุ้นไทยบ้าง แต่จะไม่มากเท่ากับการตัดสินใจเรื่อง QE ของ FED ถ้าหุ้นลงมาแรงๆ ทยอยเลือกหุ้นดีๆ ตามแนวรับเก็บเข้าพอร์ตตามที่ผมสรุปไว้ใน 3 ข้อข้างต้นนะครับ