ฝรั่งขายหุ้นไทยที่แนวรับ
ถือเงินสดรอสะเด็ดน้ำ
ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 25 มิถุนายน 2556 ผู้เข้าชม : 12 คน
หุ้นไทยร่วงต่อได้อีก หลังหลุด 1,400 จุดแบบไม่ต้องหันไปมอง แนวรับแรกของรอบนี้อยู่ที่ 1,350 จุด หากเอาไม่อยู่ เจอกันอีกทีที่ 1,300 จุด แนะหากหลุดแนวรับให้ cut loss ทันที แฉฝรั่งหลอกขายหุ้นที่แนวรับ เหตุนักลงทุนในประเทศเชื่อมั่นแนวรับ แต่ที่ผ่านมาแนวรับไม่เคยช่วยได้เลย ยื้อได้ไม่นาน สุดท้ายต้องหาแนวรับใหม่
วานนี้ (24 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,364.09 จุด ลดลง 36.41 จุด หรือ -2.60% มีมูลค่าการซื้อขาย 44,017.36 ล้านบาท โดยมีนักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 2,340.98 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 1,168.84 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 2,329.51 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไป ซื้อสุทธิ 1,157.37ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชีย พบว่าตลาดหุ้นของจีน (CSI 300) ปรับตัวลดลงหนักที่สุด โดยลบไป 6.31% เกิดจากรับผลกระทบเชิงลบค่อนข้างมาก จากความกังวลต่อระบบธนาคาร ประกอบกับโกลด์แมนแซคประกาศลดตัวเลข เศรษฐกิจของประเทศจีนลง ส่งผลให้หุ้นประมาณ 8% ในกระดานทั้งหมด ปิดที่ระดับฟลอร์ (floor 10%) วานนี้ (24 มิ.ย.)
ทั้งนี้ หากยังไม่เห็นมาตรการที่เรียกความเชื่อมั่นจากรัฐบาลจีนได้ จะเห็นแรงไถ่ถอน ETF ของตลาดหุ้นจีนอย่างต่อเนื่องในวันนี้ (25 มิ.ย.)
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ เป็นการปรับตัวลงตามแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ที่มีเป้าหมายในการไถ่ถอนเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้นในเอเชีย ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย ทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นเกิดใหม่ การเทขายหุ้นครั้งนี้เป็นการเทขายทุกราคา โดยไม่สนใจราคา หรือแนวรับของ SET INDEX เนื่องจากเป้าหมายหลักคือการถอนการลงทุนออก
“แรงขายของนักลงทุนต่างชาติรอบนี้หนักมาก และมีมาอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าต่างชาติยังสามารถขายได้อีกประมาณแสนล้านบาท หากนับตั้งแต่ช่วงที่ซื้อกลับเข้ามาหลังจากวิกฤติเลห์แมน ในช่วงปี 2009 ซึ่งหากนับตัวเลขการซื้อสุทธิเรื่อยมาจนถึงต้นปี 2556 ก่อนที่จะมีการเทขาย ทำให้เชื่อว่าเงินก้อนนี้จะไหลออกทั้งหมด” นักวิเคราะห์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การขายของนักลงทุนต่างชาติรอบนี้ จะขายตรงที่แนวรับของดัชนีแต่ละรอบ โดยจะดูว่าที่แนวรับของดัชนีมีแรงรับเข้ามามากหรือน้อย หากมีมากก็จะขายมาก หากมีน้อยก็จะขายน้อย หรือหยุดขาย ยกตัวอย่าง แนวรับรอบนี้อยู่ที่ 1,350 จุด ซึ่งฝรั่งจะลองขายที่แนวรับดังกล่าว หากยังมีแรงซื้อกลับเข้ามาก็จะเทขายให้ แต่ถ้าหากแรงรับไม่มีก็จะหยุด และรอดูสถานการณ์ก่อนที่จะเทขายให้หลุดแนวรับดังกล่าว
“ตอนนี้นักลงทุนรายย่อยจะดูแนวรับของดัชนีไม่ได้แล้ว เพราะต่างชาติจะใช้แนวรับดังกล่าว เป็นที่ปล่อยของให้กับรายย่อยและกองทุนในประเทศ โดยเฉพาะหากปล่อยของได้ปริมาณหนึ่งแล้ว ก็จะเทขายเพิ่มอีก โดยจะเห็นว่าการหลุดแนวรับดังกล่าวก็ต่อเมื่อนักลงทุนในประเทศรับไม่ไหว เพราะที่ผ่านมาลักษณะการขายของต่างชาติจะเป็นเช่นนี้ เมื่อดูแนวรับทุกแนวรับ ตั้งแต่ 1,600 จุดลงมา 1,550 จุด, 1,500 จุด, 1,450 จุด จนกระทั่ง 1,400 จุด ที่หลุดลงมาเมื่อวานนี้ เป็นการหลุดแนวรับที่ไม่มีแรงยื้ออยู่ หรืออยู่ได้ไม่นาน ฉะนั้น อย่าเพิ่งเข้าไปรับที่แนวรับดังกล่าว” นักวิเคราะห์ กล่าว
โดยส่วนตัวเชื่อว่ารอบนี้นักลงทุนรายย่อยในประเทศจะเสียหายหนักกว่าช่วงปี 2540 เนื่องจากรอบนี้มีนักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้ามาลงทุนจำนวนมาก ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีการศึกษาที่ดี มีการเตรียมการ และทำการบ้านมาอย่างดี โดยดูความแข็งแกร่งของบริษัทที่จะเข้าลงทุนเป็นหลัก และมีความเชื่อมั่นตามสูตรทั่วไปว่า บริษัทพื้นฐานดี สุดท้ายราคาหุ้นก็จะกลับมา แต่ระหว่างนั้นที่ราคาหุ้นร่วงลงไป มูลค่าการลงทุนที่ลงทุนไปในตอนแรก ค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ
“หากคุณเป็นนักลงทุนที่มองอนาคตตั้งแต่ 1-2 ปีข้างหน้า รอจังหวะให้นิ่งก่อน คือรอให้วอลุ่มหายไปก่อน หรือที่เรียกกว่าสะเด็ดน้ำ แรงขายไม่มี แรงซื้อไม่มาก แบบนี้จึงค่อยเข้าไปลงทุน แต่ถ้าหากยังคิดจะเข้าไปซื้อหุ้นตอนนี้เท่ากับไปตื๊อ ไปสู้กับมัน ซึ่งผลสุดท้ายต้อง cut loss ทั้งๆ ที่บริษัทหรือหุ้นที่ถืออยู่เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดี P/E ต่ำ ฐานะการเงินแข็งแกร่ง แต่ทนไม่ได้ที่ราคาหุ้นร่วงหนัก” นักวิเคราะห์ กล่าว
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แรงขายของนักลงทุนต่างชาติยังมีอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่นักลงทุนรายย่อยในประเทศยังเป็นผู้ที่ซื้อสุทธิอยู่ ซึ่งรอบนี้อาจจะกินเวลายาวไปถึง 2 เดือน
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า สิ่งที่ต้องกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนรอบนี้ คือ เศรษฐกิจของประเทศไต้หวันจะได้รับผลกระทบ เพราะประเทศจีนเป็นตลาดส่งออกหลักของไต้หวัน ขณะที่ภาคส่งของประเทศไทยก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะบริษัทที่มีฐานธุรกิจในประเทศจีน
หุ้นที่อาจจะได้รับผลกระทบทางตรง อาทิ หุ้น CPF, HANA, CCET และ ROJNA เป็นต้น เนื่องจากมีฐานธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีน ส่วนหุ้นที่อาจจะได้รับผลกระทบทางอ้อม อาทิ หุ้น IVL, PTTGC, BBL, KBANK, STA และ TVO เป็นต้น
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่น่าจับตามองจากนี้ไป โดยแบ่งเป็นประเด็นในประเทศ คือ โอกาสของการปรับลดประมาณการกลุ่มธนาคาร หลังการบริโภคภายในประเทศส่อเค้าชะลอตัวมากกว่าคาด และเป้าสินเชื่อทั้งปีต้องมีการทบทวนอีกทั้ง อาจจะต้องเผชิญกับการตั้งสำรองที่มากกว่าคาด ประกอบกับมีโอกาสปรับลดประมาณการกลุ่มค้าปลีก กลุ่มบริโภคภายในประเทศ และกลุ่มที่อาศัยลง
ส่งผลให้เกิดการปรับประมาณการเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยลง และถูก Rerate PER เกิดขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาทอาจลงสู่ 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับเงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทย ยิ่งผลตอบแทนพันธบัตรไทยสูง เท่ากับ Risk Free Rate ที่สูงขึ้น ตลาดหุ้นไทยยิ่งเผชิญกับแรงกดดันที่มากขึ้น
ส่วนประเด็นทางการเมือง มีพัฒนาการของกลุ่มหน้ากากขาว สร้างแรงกดดันทางการเมือง และการจำนำข้าว ทำให้เกิดแรงกดดันต่อการปรับครม.ชุดใหญ่
ด้านประเด็นในต่างประเทศ มีเรื่อง Moral Hazard ยิ่งทำให้เกิดแรงไถ่ถอนหน่วยลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (EM) สภาพคล่องทางการเงินที่ตึงตัวในตลาดเงินของจีน เริ่มส่อเค้าเสี่ยงมากขึ้นเป็นลำดับ อีกทั้งทิศทางค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ยิ่งเร่งให้เกิดการขายสินทรัพย์มากขึ้น ยิ่งผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวเพิ่มขึ้น ยิ่งสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นในเชิงลบ ตลอดจนตัวเลขการจ้างงาน เงินเฟ้อของสหรัฐ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาจจะกลายเป็นจุดหักเหของ Tapering QE ที่ตลาดกลัวกันอยู่ในขณะนี้ สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทย มีความเป็นไปได้ที่ SET INDEX จะหลุด 1,350 จุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น