กองทุนทิ้งหุ้นอาเซียน-ญี่ปุ่น กลับสหรัฐ
รายงานพิเศษ วันพุธที่ 12 มิถุนายน 2556 ผู้เข้าชม : 6 คน
นับตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคมเป็นต้นมา บรรดากองทุน ETFs และ hedge funds ของนักลงทุนต่างชาติ (ตะวันตก) ได้พากันเริ่มต้นปฏิบัติการขายหุ้นทิ้งหรือ sell off หุ้นในเอเชียกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยเฉพาะใน 4 ตลาดหลัก คือ ญี่ปุ่น ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ทำให้ดันชีตลาดหลักทรัพย์โดยเฉพาะของ 3 ประเทศหลังที่เรียกกันว่าเป็นตลาด TIPS ซึ่งเคยเป็นตลาดที่ได้ชื่อว่าให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบ 4 เดือนแรกของปีนี้ ได้กลายสภาพเป็นนรกสำหรับนักลงทุน เมื่อกลายสภาพเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุด
สำนักข่าวบลูมเบิร์กของสหรัฐ ได้ประมวลสถานการณ์ของตลาดหุ้น TIPS แล้วระบุว่าเป็นตลาดที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งหากพิจารณาตัวเลขสัดส่วนการปรับฐานแรงแล้ว อาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโตเกียวแล้ว ยังถือว่าดีกว่าแม้จะไม่มากนัก
ภายใต้สถานการณ์ตลาดหุ้นเกิดสภาพของการพลิกกลับกะทันหัน ทั้งที่โดยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ TIPS กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมนักลงทุนสถาบันหรือกองทุนเก็งกำไรเหล่านี้จึงพากันขายทิ้งหุ้นอย่างเอาเป็นเอาตายยิ่งกว่าปรากฏการณ์กระต่ายตื่นตูม ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ก็ดูเหมือนจะอยู่ในฐานะที่ดีกว่าอย่างมาก
คำอธิบาย 2 ประการที่ออกมาระบุเหตุผลเบื้องหลังที่ต่างกัน
แรกสุด นักวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ของหลายบริษัทในฮ่องกงและสิงคโปร์ ระบุว่า เกิดจากการเคลื่อนย้ายเงินจากตลาดที่ปรับตัวสูงมากอย่าง TIPs และโตเกียว ไปสู่ตลาดที่ยังมีลักษณะ laggard หรือขึ้นช้าอยู่โดยเฉพาะตลาดฮ่องกง และเกาหลี
เหตุผลดังกล่าวดูไม่สอดคล้องกันมากนัก เพราะว่าไปแล้วทั้งตลาดหุ้นฮ่องกงและเกาหลี ก็ยังคงแกว่งตัวผันผวนไปมาจากการที่เศรษฐกิจจีนยังคงเปราะบาง และเกาหลีเหนือกับใต้ยังคงไว้เชิงในการต่อสู้ทางการทูตกันอีกยาวนานจากความขัดแย้งที่ปะทุอยู่ รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นในเรื่องเกาะที่ต่างแย่งกันเป็นเขตแดนของตน
เหตุผลที่สองมาจากนักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทที่ระบุว่า การขายทิ้งหุ้นในเอเชียโดยเน้นหนักที่ 4 ตลาดหุ้น คือ โตเกียวและ TIPs นั้น เป็นเพราะกำลังจะโยกเงินออกจากตลาดทุนในเอเชียที่ปรับตัวขึ้นสูงและทำกำไรได้แล้วหลังจากเข้ามายาวนานกว่า 1 ปีเพราะลี้ภัย กลับไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งจะมีอนาคตสูง เนื่องจากมีแนวโน้มว่า ในกรณีที่ธนาคารกลาง หรือเฟด ของสหรัฐกำลังถูกแรงกดดันจากภายในองค์กรเองเพื่อลดการพิมพ์ธนบัตรออกมาซื้อพันธบัตรเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยส่วนใหญ่ในตลาดโลกกลับเป็นขาขึ้นรอบใหม่ สิ่งนี้จะต้องระวังเพราะจะเป็นผลลบต่อสินทรัพย์และการลงทุนในตลาดทุน
การโยกเงินจากตลาดหุ้นไปสู่ตลาดตราสารหนี้จึงเป็นการเคลื่อนย้ายเงินทุนของกองทุนต่างๆ เพื่อเก็งกำไร และป้องกันความเสี่ยงในอนาคต ซึ่งบทเรียนนี้ บรรดาผู้จักการกองทุนที่มีความช่ำชองในประวัติศาสตร์ของตลาดเงินและตลาดทุน ต่างพูดกันถือเรื่องของฝันร้ายจาก ค.ศ. 1994 ที่เรียกว่า Great Bond Market Massacre of 1994 ซึ่งเกิดจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ ยุคนายอลัน กรีนสแปน สั่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยาวนานต่อเนื่องกันถึง 12 เดือนรวด ซึ่งยังผลต่อเนื่องให้ค่าเงินเปโซของเม็กซิโกพังพินาศ และบริษัทลงทุนตราสารหนี้จำนวนมากในสหรัฐล่มสลาย และส่งผลพวงตามมาถึงวิกฤตต้มยำกุ้งในไทย ค.ศ. 1997 เนื่องจากการปรับตัวไม่ทันกับภาวะผันผวนของตลาดเงิน และการโจมตีค่าเงินของกองทุน hedge funds
นักวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ในวอลล์สตรีท บอกว่า แรงกดดันที่คาดว่าจะทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐลดมาตรการ QE อยู่ที่ตัวเลขส่วนผู้ถือหุ้นของธนาคารกลางสหรัฐที่ระบุว่าติดลบมากถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (เข้าข่ายล้มละลาย) ทำให้เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มดีขึ้น ก็จำเป็นต้องลดการพิมพ์ธนบัตรออกมาในตลาดเดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างที่กระทำกันอยู่ในยามนี้
คำอธิบายข้อสุดท้ายนี้ ดูเหมือนว่าจะชัดเจนมากกว่าเรื่องอื่นๆ เพราะส่งผลให้มุมมองของผู้จัดการกองทุนต่างพากันเห็นว่า ความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียนั้นเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับการโยกไปซื้อตราสารหนี้ที่จะได้รับประโยชน์มากกว่า
คำถามก็คือ สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นจริงมากน้อยเพียงใด เพราะว่าไปแล้ว สถานการณ์ของเศรษฐกิจในเอเชียยามนี้ แตกต่างจากสถานการณ์ในปี ค.ศ. 1994-1997 อย่างมาก เนื่องจากมีสภาพเป็นเศรษฐกิจขาขึ้นชัดเจน ผลประกอบการของบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนก็แข็งแกร่งต่อเนื่อง ไม่ได้เต็มไปด้วยฟองสบู่เหมือนในช่วงค.ศ. 1997 และนโยบายการเงินการคลังของรัฐบาลประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ TIPs ก็มีความยืดหยุ่นกับสถานการณ์มากกว่าในอดีตหลายเท่า
ประเด็นคำถามที่ตามมาก็คือ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะเกิดการพลิกผันที่ทำให้ตลาดหุ้น TIPs โดยเฉพาะไทย สามารถพลิกกับมาเป็นขาขึ้นรอบใหม่ได้หรือไม่
คำตอบก็คือเป็นไปได้มากกว่าเป็นไปไม่ได้ และคำแนะนำของบรรดานักวิเคราะห์โดยเฉพาะโกลด์แมน แซคส์ กับมอร์แกน สแตนเลย์ ที่มองเห็นว่าเป็นโอกาสซื้อมากกว่าการตื่นตระหนก ก็เป็นการส่งสัญญาณที่มากเพียงพอสำหรับการสะสมหุ้นเพื่อรอวันดีดกลับครั้งใหม่
คำถามตามมาก็คือ จะซื้อหุ้นตัวไหน ที่ให้ผลตอบแทนรวดเร็ว ในยามที่ค่าพี/อีของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดต่ำผิดปกติอย่างผิดสังเกต
...........
ตารางเปรียบเทียบการร่วงลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยกับตลาดที่ลงอย่างมีนัยสำคัญ
ประเทศ
|
ดัชนีปิด 23 พ.ค. 2556
|
ดัชนีปิด 11 มิ.ย. 2556
|
เปลี่ยนแปลง %
|
ไทย
|
1,607.46
|
1,452.63
|
- 9.63
|
อินโดนีเซีย
|
5,121.40
|
4,609.94
|
- 9.99
|
ฟิลิปปินส์
|
7,385.07
|
6,558.65
|
- 11.19
|
ดาวโจนส์
|
15,294.50
|
15,238.59
|
- 0.37
|
นิกเคอิ
|
14,483.98
|
13,317.62
|
- 8.05
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น