วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หุ้นไทยราคาถูกทุกตัว
วันนี้ลุ้นตลาดรีบาวด์!
พี/อีเหลือ 16 เท่า ‘จรัมพร’ชี้บจ.ยังแกร่ง

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 12 มิถุนายน 2556 
ผู้เข้าชม : 12 คน 

ต่างชาติกระหน่ำขายหุ้นไทย ดัชนีรูดวันเดียว 75.92 จุด แต่ยังปิดเหนือแนวรับสำคัญ 1,450 จุด เผย พี/อี รูดลงมาเหลือเพียง 16.46 เท่า หุ้นราคาถูกทั้งกระดาน “จรัมพร” ฟันธงเปรี้ยง!! “บจ.” ไทยผลประกอบการยังเยี่ยม สบช่องแนะเก็บหุ้นพื้นฐานดี ราคาติดดิน โบรกฯ-กองทุนเชื่อปีนี้ดัชนีจะทะลุ 1,700 จุดได้

วานนี้ ตลาดหุ้นไทยปิดลบ 75.92 จุด มาที่ 1,452.63 จุด ต่ำสุดในรอบกว่า 5 เดือน แต่ยังยืนเหนือแนวรับสำคัญ 1,450 จุด มูลค่าการซื้อขายกว่า 64,942 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิอีกกว่า 5,481 ล้านบาท ส่งผลนับจากต้นปี 2556 มาจนถึงวานนี้ (11 มิ.ย.) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิแล้วกว่า 49,287 ล้านบาท
ทั้งนี้ หุ้นที่ปรับลดลงมี 743 ตัว ไม่เปลี่ยนแปลง 30 ตัว และบวกขึ้น 80 ตัว
ส่วนมาร์เก็ตแคป หรือมูลค่าตลาดหุ้นไทย หากนับจากวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 13.7 ล้านล้านบาท นั้น ปรากฏว่าวานนี้ลงมาเหลือเพียง 12.5 ล้านล้านบาท หรือหายไปกว่า 1.29 ล้านล้านบาทในช่วงเวลาไม่กี่วัน
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาแรงในวันนี้ (11 มิ.ย. 56) สาเหตุหลักๆ มาจากการสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เพิ่มมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐจาก AA+ เชิงลบ มาเป็นมีเสถียรภาพ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว และส่งผลให้มีแรงขายหุ้นในตลาดหุ้นแถบภูมิภาคนี้
โดยเฉพาะตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ซึ่งมีประเทศไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นในภูมิภาคนี้ เพื่อนำเงินกลับเข้าไปลงทุนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังพบว่ามีแรงขายในตลาดตราสารหนี้ด้วย จนเป็นผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า  
“ผมเป็นห่วงเรื่องสภาพคล่อง ประเด็นเงินไหลกลับมากกว่าจะห่วงเรื่องการเมือง เม็ดเงินของต่างชาติเป็นปัจจัยหลักสำคัญมีผลมากกว่าเรื่องการเมือง แต่หากดูทั้งปีนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้ว 49,281 ล้านบาท ถือว่าเข้าสู่ภาวะขายมากเกินไป (โอเวอร์โซล) แล้ว คงจะมีให้ขายออกมาได้อีกไม่มาก”
นายจรัมพร กล่าวอีกว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติมีเม็ดเงินที่ซื้อหุ้นไทยสุทธิอยู่ที่ ประมาณ 76,000 ล้านบาท แต่จากต้นปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ (11 มิ.ย. 2556) ต่างชาติขายหุ้นออกมาแล้วเป็นจำนวนเงิน 49,281 ล้านบาท โดยหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธนาคาร ไอซีที และอสังหาริมทรัพย์ ประเมินว่าต่างชาติยังเหลือหุ้นที่จะขายออกมาได้อีกไม่มาก ประมาณ 20,000 ล้านบาท    
อย่างไรก็ตาม แรงขายของต่างชาติไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ดังนั้น กรณีหุ้นปรับตัวลดลงเป็นจังหวะดีในการเข้าไปลงทุน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องติดตามเรื่องเม็ดเงินไหลออกของนักลงทุนต่างชาติด้วย
นายจรัมพร กล่าวอีกว่า วันนี้ (11 มิ.ย. 2556)  เป็นวันที่มีการประชุมประจำไตรมาสร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และบริษัทสมาชิก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการรายงานภาวะตลาดหุ้นให้ ก.ล.ต. รับทราบ ว่ามาจากปัจจัยภายนอกมีความเคลื่อนไหว
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงานสถานการณ์ที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงมา ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รับทราบแล้ว
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯจะนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ (11 มิ.ย. 2556) เข้าเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาปรับเป้าหมายประจำปี 2556
นายประสาร  ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หุ้นไทยที่ร่วงลงมาก ส่วนหนึ่งอาจมาจากทุนเริ่มไหลออก หลังสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ปรับเพิ่มแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ
“เตือนให้ภาคเอกชนที่ต้องทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนี้ ต้องระมัดระวังมากขึ้นเรื่องความผันผวนของค่าเงินบาท และการเริ่มไหลออกของเงินทุนต่างชาตินั้น ไม่น่าเป็นห่วงนัก เนื่องจากไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ที่รองรับได้”
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่หุ้นไทยผันผวนแรงขณะนี้ เป็นผลมาจากแรงขายดึงเงินออกจากตลาดทุนของนักลงทุนต่างชาติ
การปรับลงของดัชนีเป็นการปรับลงตามประเทศฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นกลุ่มเดียวกัน จากความกังวลเรื่อง QE และตัวเลขเศรษฐกิจประเทศจีน รวมถึงการปรับลดตัวเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) ใหม่ และค่าเงินบาทอ่อนค่า ทำให้นักลงทุนต่างชาติดึงเงินออกจากตลาดทุน
ทั้งนี้ คาดการณ์ค่อนข้างยากสำหรับเม็ดเงินลงทุนที่ไหลออกว่าจะยืดเยื้อไปอีกนานแค่ไหน ส่วนดัชนีหุ้นไทยปีนี้แตะ 1,700 จุดได้หรือไม่นั้น เชื่อว่ายังมีโอกาสจากภาพรวมตลาดทุนไทยช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (บจ.) มีแนวโน้มกำไรดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี
อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากในขณะนี้ ถือเป็นจังหวะดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว เพราะราคาหุ้นไทยที่มีศักยภาพดีปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก PE หุ้นไทยขณะนี้อยู่ที่ระดับ 17.13 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงดัชนีปรับขึ้นแรงอยู่ที่ 19.8 เท่า ดังนั้น จึงเป็นจังหวะเหมาะสมในการทยอยลงทุน เน้นหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานทางเลือก
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้างานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET กล่าวว่า การปรับลงแรงของหุ้นไทยรอบนี้ ยังคงมาจากปัจจัยลบอย่างมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ หรือ QE  คาดว่าความผันผวนดังกล่าวคงจะมีต่อไปจนกว่าจะถึงวันประชุมเรื่องดังกล่าวในวันที่ 18-19 มิ.ย.นี้ 
ทั้งนี้  โอกาสที่ดัชนีแตะ 1,700 จุด ก็ยังมีความเป็นไปได้สูง เพราะภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับดีมาก ปัจจัยลบภายนอกประเทศ สุดท้ายมีข้อสรุป ดังนั้น ด้านนักลงทุน แนะว่านักลงทุนระยะสั้นเลี่ยงการลงทุนไปจนถึงวันที่ 19 มิ.ย.นี้ เพราะเชื่อว่าผันผวนยังคงมีอยู่ ส่วนนักลงทุนระยะยาว  หาจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร และสื่อสารเป็นหลัก
นายยืนยง เทพจำนงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายลงทุน-งานลงทุนในตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM กล่าวว่า ช่วงดัชนีปรับฐานแรงครั้งนี้ถือเป็นจังหวะดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว พยายามหาจังหวะทยอยเข้าลงทุนในหลักทรัพย์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสื่อสาร เพราะหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีศักยภาพดีแต่ราคาก่อนหน้านี้แพงมาก ส่วนนักลงทุนระยะสั้น แนะว่า เลี่ยงการลงทุนเพิ่มแล้วหันมาถือเงินสดแทน เพราะความผันผวนของดัชนียังมีอยู่อีกมาก
ทั้งนี้ หุ้นไทยปีนี้โอกาสแตะระดับ 1,700 จุดยังคงมี หากสถานการณ์ความกังวลเรื่อง QE สงบนิ่งกว่านี้ ประกอบกับปัจจัยบวกภายในประเทศ ส่งผลให้การลงทุนในตราสารทุนยังเป็นที่สนใจอันดับต้นๆ ของนักลงทุนเช่นเดิม
“การที่ดัชนีปรับตัวลงถือเป็นจังหวะดีเหมาะแก่การเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงต้องติดตามปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพราะความผันผวนยังคงมีอยู่ ทั้งเรื่อง QE และเรื่องการเมืองภายในประเทศที่จะกลับเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง” นายยืนยง กล่าว    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น