วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ลุ้น SET ทะยานต่อ * เน้นเก็บหุ้นปรับตัวลดลงแรง-พื้นฐานดี

 

     
 
   

      
       ลุ้น SET ทะยานต่อ
* เน้นเก็บหุ้นปรับตัวลดลงแรง-พื้นฐานดี


  
         
         กูรูมั่นใจ ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ทะยานต่อ หลังจากรีบาวน์ขึ้นแรงช่วงปลายสัปดาห์ เชื่อต่างชาติจะเริ่มชะลอแรงขาย แถมยังได้เม็ดเงินจากทริกเกอร์ฟันด์เข้ามาหนุนระดับหมื่นล้านบาท พร้อมลุ้นแรงเก็งกำไรในหุ้นชุดใหม่ที่จะเข้าคำนวณในดัชนี SET50 และ SET100 มองกลุ่มสื่อสาร- ธนาคาร-อสังหาริมทรัพย์- วัสดุฯ ยังน่าทยอยสะสม เหตุราคาลงมาจนเข้าเขตขายมากเกินไป ด้านกองทุนมองหุ้นลงรอบนี้แค่พักฐานรอบใหญ่ ให้เน้นหุ้นกลุ่มบริโภคภายในประเทศ - สถาบันการเงิน ส่วนในตลาด TFEX แนะเก็งกำไร
         ตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงปรับตัวลดลงอย่างหนัก แต่กลับมีแรงซื้อเข้ามาเมื่อวันศุกร์ (7 มิ.ย.) จนดัชนีจะรีบาวน์ขึ้นมาในแดนบวก โดยที่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของไทย ส่วนใหญ่ยังคงมีความเชื่อมั่นว่าในสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยจะยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ จากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นการหลุดแนวรับจิตวิทยาที่ 1,500 จุด อย่างรวดเร็วเกินไป รวมถึงแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่น่าจะชะลอลง ซึ่งในช่วงนี้จึงจะเป็นจังหวะสำคัญในการเข้าเก็บหุ้นที่พื้นฐานดีและมีเงินปันผล ขณะที่บรรดาบริษัทจัดการกองทุนต่างๆ ก็ได้ใช้โอกาสหุ้นลงออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ
*** ทิสโก้ คาดมีแรงเก็งกำไรในหุ้นที่เข้า SET50 - SET100 รอบใหม่ 
         บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) หลุด 1,500 จุดเร็วเกินไป และมีโอกาสจะปรับตัวขึ้นต่อในสัปดาห์นี้ เนื่องจาก (1) แรงขายต่างชาติน่าจะแผ่วลง หลังขายจนเกือบจะหมดรอบที่ซื้อสะสมล่าสุด (21 พ.ย. 55 – 4 ก.พ. 56) (2) เม็ดเงินทริกเกอร์ฟันด์ใหม่ถึง 5 กอง รวมมูลค่า 8 พันลบ.จ่อเข้ากลางสัปดาห์นี้เป็นต้นไป (3) ตลท.ประกาศรายชื่อ SET50/SET100 รอบ 2H56 ปลายสัปดาห์หน้า น่าจะช่วยกระตุ้นราคาหุ้นที่คาดว่าจะเข้าใหม่ได้ (SET50 คาดเข้าใหม่ 3 ตัว คือ CENTEL, GLOBAL, CK ส่วน SET100 มี 10 ตัว คือ VGI, MCOT, MBK, OISHI, WHA, UV, SRICHA, GOLD, UMI, TFD)
โดยหุ้นอ่อนตัวลงมาน่าทยอยสะสม กลุ่มสื่อสาร (ชอบสุด ADVANC, INTUCH) กลุ่มธนาคาร (KK, SCB, TCAP), กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (CPN, CK, STEC), กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC), อื่นๆ (BEAUTY, BTS, CENTEL, MAJOR) นอกจากนี้ยังเป็นจังหวะการเก็บหุ้นปันผลด้วย โดยหุ้นที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 5% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า คือ ADVANC, DCC, DELTA, INTUCH, MODERN, SRICHA, TICON
*** เปิดโผ ทริกเกอร์ฟันด์ 6 กอง ที่เข้ามาในช่วงนี้ 
         หลังจากตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างหนัก ในรอบสัปดาห์ที่ผ่าน ส่งผลให้บรรดากองทุนต่างเริ่มทยอยออกกองทุน ทริกเกอร์ฟันด์มาต่อเนื่อง เพื่อหาจังหวะเก็บหุ้นพื้นฐานดี ในช่วงราคาถูก โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และสัปดาห์นี้มีกองทุนออก ทริกเกอร์ฟันด์ มาให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนถึง 6 กองทุน มูลค่ารวมถึง 1 หมื่นล้านบาท ดังนี้
1. T-Challenge11 ออกโดยบลจ.ธนชาต ขนาดกองทุนขั้นต้น 2 พันล้านบาท เสนอขายช่วง 30 พ.ค. -4 มิ.ย.56 เป้าหมาย 8% ในเวลา 12 เดือน
2. T-Challenge12 ออกโดยบลจ.ธนชาต ขนาดกองทุนขั้นต้น 2 พันล้านบาท เสนอขายช่วง 6-11 มิ.ย.56 เป้าหมาย 8% ในเวลา 12 เดือน
3. TISEQT8 ออกโดยบลจ.ทิสโก้ ขนาดกองทุนขั้นต้น 1 พันล้านบาท เสนอขายช่วง 6-11 มิ.ย.56 เป้าหมาย 8% ไม่จำกัดอายุ
4. KFEQ4P4-P1 ออกโดยบลจ.กรุงศรี ขนาดกองทุนขั้นต้น 1 พันล้านบาท เสนอขายช่วง 6-12 มิ.ย.56 เป้าหมาย 4%+4% ในเวลา 8 เดือน
5. UOBT14 ออกโดยบลจ.ยูโอบี ขนาดกองทุนขั้นต้น 3 พันล้านบาท เสนอขายช่วง 5-7 มิ.ย.56 เป้าหมาย 7% ในเวลา 12 เดือน
6 SPOT33S16 ออกโดยบลจ.เอ็มเอฟซี ขนาดกองทุนขั้นต้น 1 พันล้านบาท เสนอขายช่วง 3-12 มิ.ย.56 เป้าหมาย 3% +3% ในเวลา 5 เดือน
*** KGI เปิดโผหุ้นดิ่งแรง แนะซื้อเมื่อตลาดรีบาวน์ 
         บล.เคจีไอ เปิดเผยถึงหุ้นกลุ่มหลักที่ราคาปรับตัวลดลงอย่างหนักจนสัญญาณทางเทคนิคเข้าสู่เขตขายมากเกินไป หรือ Oversold ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะหาจังหวะเข้าซื้อเมื่อดัชนีตลาดหุ้นไทยรีบาวน์ โดยหุ้นกลุ่มหลักดังกล่าวที่ KGI แนะนำมี 2 กลุ่มดังนั้น         1. กลุ่มแบงก์ โดยมีหุ้นเด่นคือ SCB และ KBANK โดยคาดราคาหุ้นกลุ่มแบงก์จะรีบาวน์หลังปรับลงแรงทั้งจากประเด็น 1)การปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย (ซึ่งไม่ได้กระทบ NIM ของกลุ่มแบงก์ใหญ่) และ 2) ข่าวมูดี้ส์เตรียมปรับลดอันดับเครดิต ซึ่งล่าสุดทางมูดี้ส์ปฏิเสธข่าวดังกล่าวไปแล้ว         2 .กลุ่มสื่อสาร มีหุ้นเด่นได้แก่ ADVANC และ JAS เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนคือ 1) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ ADVANC* ปัจจุบันสูงถึง5.1% (จ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง) และ 2) ราคาหุ้น JAS ปรับลงแรงกว่าตลาดฯจากความกังวลเรื่อง CTH จะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดฯ แต่ด้วย Valuation ปัจจุบันประเมินว่ามีความน่าสนใจด้วย PEGเพียง 0.5 เท่า อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 3% (Consensus คำนึงถึงประเด็นเรื่อง CTH ในประมาณการแล้ว)
**** บลจ.บัวหลวง มองหุ้นพักฐานรอบใหญ่ เน้นกลุ่มที่พึ่งพิงการบริโภคในประเทศ 

         นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้แม้ดัชนีฯ จะมีการปรับลดลงอย่างรุนแรง แต่เชื่อมั่นว่าจะยังไม่ใช่ช่วงขาลง แต่เป็นเพียงการปรับฐานระยะสั้นที่อาจมีระยะเวลายาวนานขึ้น ครอบคลุมประมาณ 6-7 เดือน โดยเป็นผลจากความตื่นตระหนกของนักลงทุนต่างชาติต่อกรณีแนวโน้มการยกเลิกใช้นโยบายผ่อนคลายของสหรัฐฯ ทำให้เกิดการดึงเงินกลับ อย่างไรก็ดีคาดว่าในช่วงต่อจากนี้ดัชนีฯจะมีการปรับตัวขึ้นและลงในลักษณะเหมือนฟันเลื่อย ซึ่งนักลงทุนระยะสั้นที่ไม่สามารถประเมินภาพรวมและไม่เข้าใจพื้นที่ของหุ้นที่ลงทุนได้จะต้องมีความระมัดระวังให้มากขึ้น          ส่วนนักลงทุนระยะยาวยังไม่ควรตื่นตระหนก เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันปัจจัยด้านการถอนนโยบาย QE นั้นอาจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า เนื่องจากเป็นการสะท้อนภาพว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้น และจะส่งผลดีต่อประเทศที่ทำการค้าคู่กับสหรัฐฯ
ทั้งนี้ความน่าสนใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับภูมิภาคและค่า P/E ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 13-14% โดยแนะนำการลงทุนในกลุ่มที่อ้างอิงกับการบริโภคภายในประเทศและสถาบันการเงิน
         'ตลาดฯลงมาแรง แต่กระทิงยังไม่ตาย แค่เหนื่อย ขอหยุดก่อน เรื่องนี้เข้าใจได้ ไม่ใช่ภาวะในระยะกลางหรือไกลที่จะเป็นขาลง แต่เป็นการปรับฐานระยะสั้น 6-7 เดือน คาดว่าจะเป็นลักษณะเหมือนเลื่อน แรงขายต่างชาติยังคงมีอยู่ แต่ไม่เหนือความคาดหมาย นักลงทุนต่างชาติมีทั้งลงทุนยาวและไม่ยาว พอตกใจเรื่อง QE ก็ทำให้ดึงเงินไหลกลับ แต่ในขณะเดียวกันแปลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯดีขึ้น ประเทศที่ทำการค้ากับสหรัฐฯก็ต้องดีขึ้น ส่วนการลงทุนของประเทศจากภาครัฐยังมี ถ้านำตรงนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ก็จะทำให้มีผลระยะยาวต่อประเทศได้เยอะมาก สิ่งที่ต้องระวังคือการบริโภคในประเทศที่ชะลอลง และหนี้ครัวเรือนกลับสูงขึ้น ทำให้คนมีเงินในกระเป๋าน้อยลง นักลงทุนระยะสั้นที่ดูไม่ออก และไม่ได้ลงทุนในหุ้นที่ตัวเองรู้จักจริงๆต้องระวังมาก ส่วนนักลงทุนระยะยาวหลายๆปีไม่ต้องไปหวั่นมากนัก' นางวรวรรณ กล่าว
*** SET50 Futures ยังผันผวน โบรกฯ เน้นเก็งกำไรไปก่อน 

         นางสาวชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้จัดการแผนกวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PST เปิดเผยถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET50 Futures ในสัปดาห์หน้าว่ามีแนวโน้มเคลื่อนไหวแกว่งตัวผันผวน เพราะนักลงทุนยังติดตามการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ในช่วงวันที่ 18-19 มิถุนายน ถึงประเด็นมาตรการ QE ซึ่งในช่วงสัปดาห์หน้าสหรัฐฯ จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาซึ่งมีผลต่อแนวทางการตัดสินใจเรื่องมาตรการ QE จากเฟด และเป็นประเด็นที่ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร อาทิ ตัวเลขการค้าส่ง ค้าปลีก นำเข้า ภาคอุตสาหกรรม ดัชนีราคาผู้ผลิต และตัวเลขแนวโน้มเศรษฐกิจ         นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายในประเทศเรื่องโครงการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งจะเตรียมเข้าในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยประเด็นดังกล่าวทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยสินเชื่อให้กับผู้รับเหมาในโครงการนี้          อย่างไรก็ดีทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET50 Futures ในช่วงนี้ยังเป็นขาลง เพราะมองว่านักลงทุนต่างชาติมีโอกาสขายสุทธิต่อเนื่อง เพราะก่อนหน้านี้เข้าซื้อหุ้นในปริมาณมากและต้นทุนต่ำ ซึ่งยังเป็นปัจจัยกดดันดัชนีฯ ประกอบกัน          'ช่วงนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิทั้งใน SET,SET50Futures และตราสารหนี้ เพราะนักลงทุนเก็งกำไรประเด็นมาตรการ QE ว่าอาจชะลอตัว จึงโยกเม็ดเงินกลับ และยิ่งถ้าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาสดใส เงินดอลล์ก็จะแข็งค่าและเม็ดเงินจากตลาดลงทุนไทยไหลกลับไปมากขึ้น ดังนั้นพวกตัวเลขเศรษฐฏิจต่างๆ จึงเป็นปัจจัยที่กระทบต่อมาตรการ QE ' นางสาวชุติกาญจน์กล่าว
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้เก็งกำไรในกรอบ 970-1,017 จุด ในสัญญา S50M13 เดือนมิถุนายน 2556


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น