NOKขายไอพีโอ26บาท
ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2556 ผู้เข้าชม : 11 คน
"นกแอร์" ประกาศขายไอพีโอหุ้นละ 26 บาท พร้อมเปิดจอง 12-14 มิ.ย. และเข้าเทรด 20 มิ.ย.นี้ “พาที” ฟุ้งกองทุนมียอดจองสูงถึง 6 เท่า เชื่อระดมทุนได้กว่า 3 พันล้านบาท เตรียมซื้อ ATR เพิ่ม 2 ลำ คาดปีนี้รายได้โต 40%
นายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 187.5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 26 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้น NOK ระหว่างวันที่ 12-14 มิถุนายน และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 20 มิถุนายนนี้
พร้อมกันนี้ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้จัดการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และแต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 6 ราย คือ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) จำกัด
จากการสำรวจความต้องการของนักลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา พบว่ามีราคาสูงสุดที่ 28 บาท โดยมียอดจองสูงถึง 6 เท่าของจำนวนหุ้นที่เสนอขาย แต่เนื่องจากตลาดหุ้นกำลังมีความผันผวน NOK ต้องป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดกับผู้ถือหุ้นรายย่อยจึงกำหนดราคา IPO ที่ 26 บาท พร้อมเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายให้กับนักลงทุนสถาบันที่ 57.5%
สำหรับหุ้นไอพีโอที่ NOK เสนอขายจำนวน 187.5 ล้านหุ้น เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ 125 ล้านหุ้น ซึ่ง NOK จะได้เงินจากการระดมทุน 3,250 ล้านบาท เพื่อนำมาขยายธุรกิจ และมีหุ้นสามัญเดิมเสนอขายโดยบริษัท เอวิเอชั่น อินเวสต์เม้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อีก 62.5 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย 1,625 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลังการขายหุ้นไอพีโอ สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะเปลี่ยนแปลงไปดังนี้ 1.บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI จะลดเหลือ 39% จากเดิม 49% 2.บริษัท เอวิเอชั่น อินเวสต์เม้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จะเหลือ10% จากเดิม 25% 3.นายพาที สารสิน เหลือ 4% จากเดิม 5% 4.ทุนลดาวัลย์ เหลือ 4.8% จากเดิม 6% 5.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เหลือ 4% จากเดิม 5% 6.บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เหลือ 4% จากเดิม 5% และนายศุภพงษ์ อัศวินวิจิตร เหลือ 4% จากเดิม 5% ส่วนรายย่อย (ประชาชนทั่วไป) จะถือหุ้นอยู่ที่ 30%
นายพาที เปิดเผยว่า NOK มีแผนที่จะจัดซื้อเครื่องบินแบบ ATR (66 ที่นั่ง) จำนวน 2 ลำ ราคาลำละ 19 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาและคาดว่าจะสามารถรับมอบเครื่องบินได้ช่วงต้นปี 2557 เพื่อนำมาเสริมบริการในสนามบินรองที่ยังไม่ค่อยมีสายการบินให้บริการ เช่น น่าน แพร่ ร้อยเอ็ด ระนอง ชุมพร ระยอง อีกทั้งเดือนกันยายนนี้ NOK จะเปิดบินระหว่างประเทศ 1 เส้นทาง คือ แม่สอด-เมาะลำไย (พม่า) วันละ 1 เที่ยวบิน โดยใช้เครื่องบิน SAAB 34 ที่นั่ง เพราะเล็งเห็นศักยภาพว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้กับ NOK โดยเชื่อว่าจะมีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารต่อเที่ยวบิน (Cabin Factor) 90% เนื่องจากพม่ากำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุน
“ในการเปิดเส้นทางบินใหม่ เราจะระมัดระวังมาก ไม่ใช่มุทะลุเปิดเส้นทางให้เยอะไว้ก่อน เพราะใน 1 เมืองที่เราจะเปิดบินต้องใช้เงินลงทุนถึง 200 ล้านบาท และเรายังเน้นตลาดในประเทศเป็นหลัก อย่างพม่าตอนนี้ก็ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง แต่เรามองเห็นโอกาสว่านักลงทุนกำลังให้ความสนใจไปลงทุนที่พม่ากันมาก ซึ่งตอนนี้การเดินทางระหว่างแม่สอดไปเมาะลำไยโดยรถยนต์ ต้องใช้เวลาถึง 9 ชั่วโมงทั้งที่ไม่ไกลเลย ดังนั้น ถ้ามีเครื่องบินก็จะสะดวกมากขึ้น เชื่อว่าเมื่อเปิดบริการจะมี Cabin Factor ถึง 90% และในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าจะยิ่งดีมาก เพราะนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนตอนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” นายพาที กล่าว
นายพาที เปิดเผยเพิ่มเติมถึงแนวโน้มการดำเนินงานว่า ในปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโตถึง 40% จากปีก่อนที่มีรายได้ 8,217.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 504.7 ล้านบาท เนื่องจาก NOK เปลี่ยนฝูงบินเป็นเครื่องบินใหม่ทั้งหมด โดยมีอายุเฉลี่ยที่ 4 ปี จากเดิม 16 ปี ซึ่งภายในสิ้นปีนี้ NOK จะมีเครื่องบินโบอิ้ง 737-800 14 ลำ ATR 2 ลำ และ SAAB 5 ลำ ทำให้มีพื้นที่รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 40% ส่วนในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่ารายได้จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% และมองว่าธุรกิจการบินโซนเอเชียจะเติบโตยิ่งกว่ายุโรปและอเมริกาที่จะเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI นั้น เมื่อ NOK เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว จะเหลือสัดส่วนการถือหุ้นที่ 39% จากเดิม 49% พร้อมยืนยันว่าที่ผ่านมา NOK กับ THAI ไม่เคยขัดแย้งกัน และ THAI ได้กำไรจากสิ่งที่ NOK ดำเนินงาน โดยเฉพาะเส้นทางบินภายในประเทศที่ NOK สามารถครองตลาดได้มากสุด
นายวิทัย รัตนากร ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน (CFO) เปิดเผยถึงกรณีที่สายการบิน บางกอกแอร์เวย์ กำลังจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯว่า เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของ NOK เพราะบางกอกแอร์ให้บริการคนละกลุ่มเป้าหมาย และมีต้นทุนการดำเนินงานสูงกว่า NOK ถึง 2 เท่า
นอกจากนี้ มั่นใจว่าแนวโน้มธุรกิจการบินในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะเติบโตดี เพราะไม่น่ามีเหตุวิกฤติทั้งในประเทศและต่างประเทศเกิดขึ้นเช่นปี 2551-2552 ที่เจอทั้งวิกฤติเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันแพงโดยสูงถึง 147 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ NOK ก็มีการป้องกันความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลาทั้งการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันที่ 30-35% รวมถึงการจำหน่ายตั๋วโดยสารล่วงหน้า ที่อยู่ในสัดส่วนถึง 87% ของยอดจำหน่าย ซึ่งทำให้ NOK สามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ ด้วยการปรับราคาให้ทันต่อสถานการณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอวิเอชั่น อินเวสต์เม้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำกัด ถือหุ้นโดยกองทุน ลอมบาร์ด เอเชีย III (Lombard Asia III) L.P. ถือหุ้น 66.7% และนายพาที สารสิน ถือหุ้น 33.33% โดยคาดว่าบริษัท เอวิเอชั่น อินเวสต์เม้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด นำหุ้น NOK มาขาย 62.5 ล้านหุ้น จะได้กำไรจากการขายหุ้น 25 บาท/หุ้น หากคิดจากราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท หรือประมาณ 1,562.5 ล้านบาท เนื่องจากราคาไอพีโอขายที่ 26 บาท/หุ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น