วันดีทำเสียของ
เร่งแปลงวอร์ฯ
ฉุดราคาร่วง5%
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 12 มิถุนายน 2556 ผู้เข้าชม : 8 คน
“เอสพีซีจี” ราคาหุ้นร่วงหนัก 5% เหตุเร่งแปลงสิทธิ์ SPCG-W1 ส่งผลเกิดไดลูชั่นเอฟเฟ็กต์เร็วขึ้น 2 ปี กว่า 32% ทั้งที่ได้เงินเพียงแค่ 380 ล้านบาท แม้พื้นฐานยังแกร่ง ตั้งเป้ารายได้ปีนี้พุ่งกระฉูด2.4 พันล้านบาท ตั้งอินฟราฯฟันด์เสร็จ Q3
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG วานนี้ (11 มิ.ย.) ปรับลดลงหนักกว่า 5.26% ปิดตลาดที่ 27 บาท ลดลง 1.50 บาท ตามแรงเทขายของนักลงทุน กังวลเรื่องการปรับอายุวอแรนต์ (SPCG-W1) ที่เปลี่ยนเป็นการใช้สิทธิ 3 ครั้ง ในปี 2556 (ก.ค. ส.ค. และ ก.ย.) จากเดิมจะใช้สิทธิเพียง 1 ครั้ง ในเดือนมี.ค.2558 เนื่องจากคาดว่า
จะได้รับผลกระทบสูงจาก Dilution effect ประมาณ 32% ซึ่งเกิดขึ้นเร็วเกินคาดเกือบ 2 ปี โดยโบรกฯปรับมูลค่าราคาหุ้นที่เหมาะสมลดลงเหลือเพียง 26.75 บาทต่อหุ้นได้บนสมมุติฐานจำนวนหุ้นใหม่ 840 ล้านหุ้น
นางสาววันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG กล่าวว่า บริษัทจะมีการปรับโครงสร้างทางการเงิน โดยการเลื่อนการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 1 (SPCG-W1) ซึ่งเดิมจะครบกำหนดในปี 2558 มาเป็นในช่วงไตรมาส 3/56 นี้ เนื่องจากเห็นว่าในปี 2558 บริษัทน่าจะมีสภาพคล่องทางการเงินสูงแล้ว เนื่องจากมีการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มแล้วเสร็จทั้งหมดและมีรายได้จากการจำหน่ายไฟแล้ว
ดังนั้น จากการที่บริษัทอยู่ในช่วงของการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มจึงมีความจำเป็นจะต้องจัดหาเงินทุนด้วยเครื่องมือต่างๆ ตามความเหมาะสม โดยหากบริษัทมีการจัดโครงสร้างทางการเงินและลดภาระที่มีกับธนาคารผู้ให้กู้ได้เร็วขึ้น ก็จะส่งผลให้บริษัทมีความคล่องตัวที่จำนำเงินกำไรมาใช้ในการขยายธุรกิจ และจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ การเลื่อนใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนต์ บริษัทคาดว่าจะได้เงินทุนเข้ามาประมาณ 380 ล้านบาท เมื่อรวมกับการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟราสตักเจอร์ฟันด์ หรือ IFF) ที่ได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปแล้ว มูลค่า 5,500 ล้านบาท ที่น่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/56 บริษัทน่าจะได้เงินเข้ามาอีกประมาณ 1,400-1,500 ล้านบาท ซึ่งก็จะส่งผลให้มีเงินรวมประมาณ 1,700-1,800 ล้านบาท
โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนต์ และการจัดตั้ง IFF รวมถึงการจัดหาเงินทุนด้วยเครื่องมืออื่นๆ ที่ไม่ใช่การเพิ่มทุน ซึ่งยังอยู่ระหว่างหารือกับที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้มาเพื่อลงทุนจากสถาบันการเงินประมาณ 3,300 ล้านบาท ก็จะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถที่จะพัฒนาและขยายโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม รวมถึงสามารถที่จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ โดยบริษัทคาดว่าจะเริ่มจ่ายเงินปันผลได้ในปี 2557
“สำหรับการเงินกู้ 3,300 ล้านบาท มีเงื่อนไขกำหนดไว้ว่าบริษัทไม่สามารถนำเงินที่ได้จากการประกอบธุรกิจไปใช้ในลงทุนขยายธุรกิจใหม่ๆ ได้ หรือจ่ายเงินปันผลได้ บริษัทจึงต้องชำระหนี้เงินกู้ให้หมดก่อน ซึ่งบริษัทคาดว่าน่าจะสามารถปลดภาระหนี้ที่มีต่อสถาบันการเงินที่ผูกมัดให้แล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3/56 นี้”
นางสาววันดี กุญชรยาคง กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ามีรายได้ประมาณ 2,400 ล้านบาท จากปีก่อนที่ประมาณ 1,200 ล้านบาท เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ทั้ง 36 โครงการ ที่จะแล้วเสร็จทั้งหมดในช่วงปลายไตรมาส 3/56 และในปีหน้า (ปี 2557) บริษัทก็น่าจะมีรายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้จากโซลาร์ฟาร์มทั้ง 36 โครงการเต็มทั้งปี
ทั้งนี้ โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใน 10 จังหวัด 36 โครงการ ขณะนี้สามารถเชื่อมโยงการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รวม 16 โครงการ และอีก 7 โครงการ คาดว่าจะสามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งก็จะส่งผลให้ในไตรมาส 2/56 มีโครงการที่สามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้รวม 23 โครงการ มีกำลังการผลิตประมาณ 150 เมกะวัตต์ สำหรับโครงการที่เหลือกำลังทยอยก่อสร้าง โดยภาพรวมแล้วมี 7 โครงการที่เสร็จไปแล้วประมาณ 80-90% ส่วนที่เหลืออีก 6 โครงการอยู่ระหว่างเริ่มก่อสร้าง ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จทั้งหมดทุกโครงการภายในเดือนต.ค.นี้
นอกจากนี้ บริษัทยังมีธุรกิจโซลาร์ รูฟ ซึ่งเป็นการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน โดยบริษัทดำเนินการตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาส 2/56 เบื้องต้นได้จัดแคมเปญ “แบรนด์ แอมบาสเดอร์ โซลาร์ รูฟ” เปิดให้กลุ่มตลาดพรีเมียมและไฮเอนด์ลงทะเบียน 1,000 รายแรก ได้รับสิทธิพิเศษในการขอติดตั้งแผงขนาดกำลังการผลิต 3.84 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันมีผู้สนใจเข้ามาลงทะเบียนแล้วประมาณ 300-400 ราย ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมจะเซ็นสัญญากับบริษัท เคียวเซร่า เพื่อเข้าร่วมศึกษาโอกาสการเข้าไปลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในประเทศอินโดนีเซีย และประเทศซาอุดีอาระเบีย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น