วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

‘มาร์ค โมเบียส’สบช่อง เพิ่มน้ำหนักลุยหุ้นไทย หว่านเงินซื้อกลุ่มธนาคาร - คอนซูเมอร์

‘มาร์ค โมเบียส’สบช่อง
เพิ่มน้ำหนักลุยหุ้นไทย
หว่านเงินซื้อกลุ่มธนาคาร - คอนซูเมอร์
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม 2556




กองทุนเทมเพิลตัน ที่บริหารโดย “มาร์ค โมเบียส” สบโอกาสลงทุนตลาดหุ้นไทยเพิ่ม หลังมองดัชนีปรับลงมามาก สนใจกลุ่มธนาคาร และคอนซูเมอร์ เผยมองการเมืองไทยออก ว่ามีที่มา และจะจบอย่างไร ด้าน “ซิตี้กรุ๊ป” และ “เครดิตสวิส” มองหุ้นไทยเริ่มน่าซื้อ แนะกลุ่มอาหารและแบงก์ ย้ำหลังเลือกตั้งได้รัฐบาลมีเสถียรภาพ หุ้นไทยมีอัพไซด์ 42%



มาร์ค โมเบียส ประธานกรรมการ Templeton Emerging Markets Group ที่บริหารกองทุนรวมขนาด 53,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.69 ล้านล้านบาท) ซึ่งลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ให้สัมภาษณ์ทางวิทยุในเวียดนามต่อสำนักข่าว Bloomberg ว่า แม้จะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยไทยที่ยังหาทางออกไม่ได้ ทว่าเขาก็จะยังคงการลงทุนในหุ้นไทยต่อไป

และจะลงทุนในหุ้นที่มีอยู่แล้วเพิ่มขึ้นถ้าราคาในกระดานตกลงมามากๆ

เขาให้เหตุผลว่าปัญหาทางการเมืองเกิดกับไทยมาเรื่อยๆ และเขาเข้าใจที่มาที่ไป ใครทำอะไร โอกาสจะออกมาเป็นอย่างไร ดังนั้น เขาจึงไม่กังวล และเชื่อว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะชนะเลือกตั้งได้

ทั้งนี้ โมเบียส กล่าวชื่นชอบหุ้นในกลุ่ม Banking และ Consumer

สำหรับ มาร์ค โมเบียส ปัจจุบัน เป็นประธานกองทุนเทมเพิลตัน ของฮ่องกง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน โดยช่วงวิกฤติการเงินเอเชียปี 2540 เป็นผู้มีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเอเชีย

ด้านซิตี้กรุ๊ป มีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้นในประเทศแถบเอเชีย รวมถึงไทย หลังดัชนีปรับลงมาค่อนข้างมาก โดยพวกเขามองว่า หุ้นในแถบเอเชีย น่าซื้อมากกว่ากลุ่ม EMEA (ยุโรป ไม่รวมเยอรมนี) ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

ส่วนเครดิตสวิส ได้แนะนำหุ้นบวกจากการเลือกตั้งในประเทศไทย โดยแนะนำในกลุ่มธนาคาร อาหาร

ขณะที่ MS เองได้มองว่า หากการเมืองไทยสงบ ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ หุ้นไทยจะมีอัพไซด์ถึง 42% หรือกรณี Base Case หากสถานการณ์การชุมนุมคลี่คลาย หุ้นไทยจะกลับไปแถว 1,450 จุด ส่วนกรณีแย่สุด จะปรับลง 25%

ส่วนวานนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปิดบวก 1.93 จุด มาที่ 1,369.35 จุด ระหว่างวันดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,371.94 จุด และต่ำสุดที่ 1,361.67 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 26,001.97 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,517 ล้านบาท ส่งผลให้ในช่วงเดือนธันวาคม ต่างชาติขายสุทธิแล้วกว่า 25,610 ล้านบาท และนับจากต้นปีนี้ ขายสุทธิแล้ว 1.79 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยที่ปิดบวกได้ เป็นไปตามตามแรงซื้อที่มีเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคาร เทคโนโลยี พลังงาน ช่วยประคองดัชนีให้ปิดตัวในแดนบวกเล็กน้อย สวนทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่ลดลง

โดยดัชนีกลุ่มธนาคารปิดบวก 0.35% ด้วยมูลค่าซื้อขายสูงสุดของตลาดที่ 22.14% นำโดยหุ้นกสิกรไทย หรือ KBANK บวก 0.60%,กลุ่มเทคโนโลยี บวก 0.01% แต่หุ้นชินคอร์ปอเรชั่น หรือ INTUCH ลบ 1.95% ขณะที่หุ้นแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC) บวก 1.38%

ดัชนีกลุ่มพลังงาน บวก 0.47% แต่หุ้นปตท. (PTT) ลบ 0.98%, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บวก 0.24% และกลุ่มขนส่ง บวก 0.21% นำโดยหุ้นท่าอากาศยานไทย (AOT) บวก 0.27%

ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่าภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทย แกว่งตัวผันผวนสลับทั้งแดนบวกและแดนลบ เนื่องจากสถานการณ์การเมืองในประเทศยังคงกดดันตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรีจะประกาศยุบสภาฯ ไปแล้ว แต่การชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณก็ยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อกดดันให้รัฐบาลออกจากการทำหน้าที่รักษาการในปัจจุบันด้วย

ประกอบกับปัจจัยลบจากทางสหรัฐฯ ในประเด็นของการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้าและคาดว่าเฟดอาจจะมีการตัดสินใจชะลอหรือยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เร็วกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งจากเดิมคาดว่าอาจจะมีการลด QE ในต้นปีหน้า เร็วขึ้นมาเป็นช่วงปลายปีนี้

“หุ้นไทยแกว่งตัวผันผวน ซึ่งส่วนใหญ่แกว่งในแดนลบ มองว่าปัจจัยที่กดดันคงเป็นเรื่องของการเมือง ที่ยังมีการชุมนุมต่อเนื่องถึงแม้ว่านายกฯ จะประกาศยุบสภาฯ ไปแล้ว รวมถึงการคาดการของ QE ที่อาจมีการปรับลดขนาดเร็วขึ้น จากเดิมคาดว่าเป็นช่วงต้นปีหน้าอาจเลื่อนมาเป็นปลายปีนี้” นายอภิชาติ กล่าว

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (12 ธ.ค.) คาดว่าดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบ คล้ายคลึงกับดัชนีวานนี้ เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนการลงทุน และปัจจัยที่ควรต้องติดตาม ยังคงเป็นประเด็นของการเมืองภายในประเทศและตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนอาจจะชะลอการลงทุนในช่วงนี้เพื่อติดตามปัจจัยการเมืองให้มีการชัดเจนยิ่งขึ้น หรืออาจเลือกหุ้นเก็งกำไรซึ่งแนะนำหุ้นที่คาดว่าจะมีปันผลดี ทั้งนี้ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,355 จุด และประเมินแนวต้านไว้ที่ 1,380 จุด

นายธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ยังเห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังสามารถประคองตัวได้ จากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนต่างๆ ซึ่งรวมถึงกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ด้วย

ประกอบกับนักลงทุนที่ทยอยขายหุ้นไปก่อนหน้านี้ ก็น่าจะเริ่มทยอยเข้าซื้อ หลังดัชนีหุ้นไทยปรับลงมาพอสมควร

นอกจากนี้ ยังมีแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มส่งออก ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่ฟื้นตัว ขณะที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการพึ่งพิงการบริโภคในประเทศ อาจถูกกระทบบ้างจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น