วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

หุ้นMเนื้อหอม 3บิ๊กกองทุนสน ‘โมเบียส’จ้องเก็บ ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 03 กันยายน 2556

หุ้นMเนื้อหอม
3บิ๊กกองทุนสน
‘โมเบียส’จ้องเก็บ

ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 03 กันยายน 2556 
ผู้เข้าชม : 12 คน 

3 กองทุนใหญ่ระดับโลก “FIDELITY INVESTMENT”–“Templeton”  ของ มาร์ค โมเบียส และ “Capital Research” สนใจถือหุ้น M เป้าหมายปีนี้ 65 บาท มีอัพไซด์ 38%

แหล่งข่าวจากวงการตลาดทุน เปิดเผยว่า  บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M เป็นหนึ่งใน 112 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เข้าร่วมงาน “Thailand Focus 2013 :Connecting to New Investment Frontier” ซึ่งมีนักลงทุนสถาบันต่างประเทศระดับโลก เข้าร่วมรับฟังข้อมูลหลายราย
สำหรับรายชื่อกองทุนขนาดใหญ่ที่สนใจจะเข้ารับฟังข้อมูลของ บมจ. เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป (M) มีดังนี้ กองทุน FIDELITY INVESTMENT ของสหรัฐฯ  ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนรวมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก  โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ประมาณ 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เฉพาะลงทุนในตลาดทุน มีมูลค่า 9.3 หมื่นล้านบาท ผ่าน CONTRAFUND โดยมีผู้จัดการกองทุนชื่อ WILL DANOFF มีสาขาอยู่ 140 แห่งทั่วอเมริกา
นอกจากนี้ยังมีกองทุน Templeton Emerging Markets Group ของ มาร์ค โมเบียส นักลงทุนระดับโลก ก็เข้ามาร่วมรับฟังข้อมูลของหุ้น M ในครั้งนี้ด้วย โดยที่ผ่านมากองทุนเทมเพิลตันได้ตั้งกองทุนแทมเพิลตัน อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ ฟันด์ (The Templeton Emerging Markets Fund) ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด รวมถึงประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีกองทุนCapital Research กองทุนรวมขนาดใหญ่ของประเทศออสเตรเลีย ก็เข้าร่วมรับฟังข้อมูลด้วย
ทั้งนี้ราคาหุ้น M ในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาจองไอพีโอที่ระดับ 49 บาท ซึ่งถือเป็นจังหวะที่น่าเข้าลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงตามภาวะตลาดหุ้นไทย ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายของโบรกเกอร์ให้ไว้ โดยเฉพาะของ บล.เอเซีย พลัส ที่ให้เป้าหมายไว้ที่ 65 บาท หรือคิดเป็นสัดส่วนที่มีอัพไซด์ประมาณ 38%
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส  จำกัด (มหาชน) แนะนำซื้อหุ้น M โดยให้มูลค่าพื้นฐานอยู่ที่  65  บาท
จากการที่ MK แบรนด์สุกี้อันดับ 1 ของไทยที่มีการทำกำไรเป็นเลิศ  โดยจุดเด่นของแบรนด์ “เอ็ม เค สุกี้” ที่มีสาขาร้านอาหารครอบคลุมทั่วทุกภาคมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศและเป็นที่รู้จักของกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศมานานกว่า 25 ปี
นอกจากนี้ยังขยายฐานธุรกิจไปยังร้านอาหารญี่ปุ่น “ยาโยอิ” ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากการผลิตผ่านระบบครัวกลางร่วมกัน จนก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดอย่างชัดเจน ประกอบกับการจัดสรรทรัพยากรรวมถึงควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) สูงเฉลี่ย 14-16% นับว่าโดดเด่นกว่ากลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจอาหารอื่นที่มี Net Margin ไม่ถึง 10% คาดกำไรช่วง 5 ปีข้างหน้า เติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปี  
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลังของปี 2556  คาดจะเห็นการเติบโตมากขึ้นจากงวดครึ่งแรกของปีนี้ ที่มีกำไรสุทธิ 967 ล้านบาท แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการขยายสาขาร้านอาหารใหม่เพิ่มอีก 46 สาขา เทียบกับงวดครึ่งแรกของปีนี้  ที่เปิดสาขาใหม่ 19 สาขา สำหรับเป้าหมายทั้งปี 2556 คาดเปิด 65 สาขา
ประกอบกับได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นราคาขายเฉลี่ย 4% ตั้งแต่ปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ทั้งปี 2556 คาดรายได้ขายและบริการรวม 1.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 16% เทียบกับปี 2555 และกำไรสุทธิ 2,240 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เทียบกับปี 2555 โดยอัตราเพิ่มของกำไรน้อยกว่าการเติบโตของยอดขาย
เนื่องจากการปรับขึ้นค่าแรงพนักงานเกือบ 40% ตั้งแต่เดือนเม.ย. 2555 ส่งผลกระทบเต็มปีต่อการดำเนินงานในปี 2556 เทียบกับปี 2555 ซึ่งได้รับผลกระทบ 9 เดือน แต่ในปี 2557 คาดกำไรสุทธิเติบโต 16% สู่ระดับ 2,605 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 3,866 ล้านบาท ภายในปี 2560 โดยคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยของกำไรสุทธิเกือบ 14% ต่อปีภายใน 5 ปีข้างหน้า (CAGR ปี 2556-2560)  แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานปี 2556 เท่ากับ 65.00 บาท            
ผลของ Dilution Effect จากการออกหุ้นเพิ่มทุน IPO จะทำให้ EPS ปี 2556 ลดลง 13% เทียบปีก่อน เท่ากับ 2.47 บาท/หุ้น แต่จะกลับมาเติบโตในปีหน้า 16% เทียบปีก่อน  กำหนดมูลค่าพื้นฐานอิงวิธี DCF ที่ WACC 8.6% และ Terminal Growth Rate 3% ได้มูลค่าเหมาะสมสิ้นปี 2556 เท่ากับ 65 บาท คิดเป็นระดับ PER ซื้อขายที่ 26 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย PER ของหุ้นที่มีฐานธุรกิจอาหารคล้ายคลึงกับกลุ่มบริษัท M เช่น CENTEL, MINT และ OISHI ขณะเดียวกันคาดหมาย Div Yield (ภายใต้ Div Payout Ratio 75%) เฉลี่ย 4% ต่อปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น