เบียร์สิงห์ประเดิมภาษีใหม่
การเงินการคลัง วันพุธที่ 25 กันยายน 2556 ผู้เข้าชม : 8 คน
สรรพสามิตเผยค่ายเบียร์สิงห์ประเดิมขึ้นราคาเจ้าแรก เบียร์สิงห์เพิ่ม 2 บาท ลิโอ 4.30 บาท ไฮเนเก้น 5 บาท ไทเกอร์ 0.30 สตางค์ และเชียร์ 1.70 บาทส่วน ค่ายเบียร์ช้างและสุราประเภทอื่นอุบเงียบรอสรุปราคาขายส่งสัปดาห์นี้
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เผยว่า อัตราภาษีใหม่ของสุรา เบียร์และไวน์ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้เริ่มมีในทางปฏิบัติในสัปดาห์นี้ หลังจากผู้ผลิตและผู้นำเข้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะนำเครื่องดื่มที่มี แอลกอฮอล์ดังกล่าวออกมาจากโรงงานเพื่อนำไปจำหน่ายสู่ท้องตลาด ซึ่งประเด็นนี้ ทำให้ผู้ประกอบการต้องมาแจ้งราคาขายส่งช่วงสุดท้ายก่อนเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแวต กับกรมสรรพสามิต ด้วยวิธีการซื้อแสตมป์เพื่อเป็นค่าภาษีสุราให้แก่กรมสรรพสามิต
ทั้งนี้ ผู้ผลิตเบียร์สิงห์มาซื้อแสตมป์เพื่อนำเบียร์ออกจากโรงงานเป็นเจ้าแรก โดยอัตราภาษีใหม่จะทำให้เบียร์ขนาดขวดเสียภาษีเพิ่มขึ้น เช่น สิงห์เสียภาษีเพิ่ม 2 บาท ลิโอ 4.30 บาท ไฮเนเก้น 5 บาท ไทเกอร์ 0.30 สตางค์ และเชียร์ 1.70 บาท ส่วนเบียร์กระป๋อง สิงห์ เสียภาษีเพิ่ม 0.53 บาท ลีโอ 4.14 บาท ไฮเนเก้น 2.61 บาท และเชียร์ 0.57 บาท ส่วนเบียร์ช้างและสุราอื่นๆ คาดว่า ภายในสัปดาห์นี้ จะมีการแจ้งราคาขายส่งช่วงสุดท้ายกับกรมสรรพสามิตเพื่อขอเสียภาษีอย่างถูก ต้องก่อนที่จะนำสินค้าออกจากโรงงานผลิต
ในช่วงที่ผ่านมา กรมฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าหน้าโรงงานผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะสุราและเบียร์ เพื่อให้ผู้ประกอบการเสียภาษีอย่างถูกต้องตามอัตราภาษีใหม่ และวิธีการคำนวณใหม่ จากเดิมที่เก็บภาษี ณ ราคาหน้าโรงงานได้เปลี่ยนมาเป็นราคาขายส่งช่วงสุดท้ายก่อนเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ก็ไม่มีผู้ผลิตรายใดนำสินค้าที่ผลิตได้หลังจากวันที่ 4 ก.ย.56 ออกจากโรงงาน โดยอ้างว่า ยังมีสต๊อกเก่าตกค้าง ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กรมฯ จึงไม่มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
นายสมชาย กล่าวว่า การออกพระราชกำหนดเรื่องแก้ไขอัตราภาษีสุรา และวิธีการจัดเก็บภาษีใหม่ของกรมสรรพสามิตในครั้งนี้ ยอมรับว่า สร้างความสับสนให้แก่ผู้ผลิตและผู้ประกอบการ
เพราะนอกจากจะมีอัตราภาษีใหม่ที่ต้องเสียภาษีเพิ่ม ขึ้นแล้วยังมีวิธีการการคำนวณอัตราภาษีที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยทำให้กรมสรรพสามิตต้องเปิดประตูรับเรื่องราวร้องทุกข์และข้อหารือจากผู้ประกอบการทุกราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ตรงกันและยุติธรรมต่อทุกฝ่าย เนื่องจากธุรกิจดังกล่าว มีมูลค่าหลายแสนล้านบาทต่อปี มีการแข่งขันสูง ดุเดือดและเข้มข้นตลอดเวลา หากกรมสรรพสามิตไม่เป็นกลางก็จะเกิดข้อครหาได้
นายสมชาย กล่าวว่าวิธีการคำนวณอัตราภาษีใหม่ที่ระบุว่าเก็บภาษีจากราคาขายส่งช่วงสุด ท้ายก่อนเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นข้อบกพร่องของกรมสรรพสามิตที่ไม่ได้ชี้แจง เรื่องใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการรับทราบเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีผล บังคับใช้ เนื่องจาก พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว ได้ประกาศขึ้นอัตราภาษีและวิธีการจัดเก็บภาษีใหม่ทั้ง 2 รายการ พร้อมๆ กัน
ทั้งนี้ จึงถือเป็นชั้นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ทำให้มีเสียงท้วงติงจากภาคเอกชนว่า ไม่เป็นธรรม แต่หลังจากกรมสรรพสามิตใช้เวลา 2-3 สัปดาห์เพื่อชี้แจงวิธีปฏิบัติทุกขั้นตอนแก่ผู้ประกอบการแล้ว ทุกฝ่ายก็ยอมรับวิธีการคำนวณอัตราภาษีใหม่จึงมีผู้ประกอบการมาซื้อแสตมป์ เพื่อชำระภาษีให้แก่กรมสรรพสามิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น