‘โต้ง’ฟันธงหุ้นสะเด็ดน้ำ
CLSAชูหุ้นTop Pick
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2556
ผู้เข้าชม : 15 คน
CLSA เปิดโผหุ้นพร้อมชู 5 Top Pick ได้แก่ SCB, KTB, ADVANC, AOT และ LH “กิตติรัตน์” มองหุ้นไทยลง 100 จุดใกล้สะเด็ดน้ำ ตลาดหุ้นใกล้กลับสู่ภาวะปกติ ไม่ห่วงเงินทุนไหลออก โบรกฯย้ำหุ้นไทยปรับฐานจังหวะดีเก็บของถูก
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) จำกัด (CLSA) ปรับประมาณการหุ้นไทย โดยชู 5 หุ้น Top Pick ได้แก่ หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ราคาเป้าหมาย 235 บาท, หุ้นธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ราคาเป้าหมาย 30 บาท
หุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ราคาเป้าหมาย 336 บาท, หุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ราคาเป้าหมาย 210 บาท และหุ้นบริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ราคาเป้าหมาย 14.80 บาท
ขณะหุ้น Top Sel lที่แนะขาย คือ หุ้นบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ราคาเป้าหมาย 52 บาท, หุ้นบริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ราคาเป้าหมาย 40 บาท และหุ้นบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIGC ราคาเป้าหมาย 170 บาท
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า การปรับลดลงของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ เป็นเรื่องปกติของตลาดที่ปรับขึ้นมามากในระยะเวลาอันสั้น ตลาดที่ขยับมาก เวลาขยับตัวก็จะลงไปเร็ว แต่ยังเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคและตลาดทั่วโลก ตลาดหุ้นที่ปรับลงเพราะถูกกระทบจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการยุติมาตรการ QE ของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าภาวะต่างๆ คงจะเข้าที่เข้าทางในเร็วๆ นี้ หลังจากปรับตัวมาสักระยะหนึ่งแล้ว
ทั้งนี้ ตนกำชับตลาดหลักทรัพย์ฯและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้เข้าไปดูแลในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรง เพราะเกรงว่าจะมีผู้ที่เข้าไปฉวยโอกาสในการเก็งกำไร ทำให้มีผู้ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์
ส่วนประเด็นการเคลื่อนย้ายของเงินทุน ขณะนี้ยังไม่ต้องกังวล โดยเฉพาะเรื่องเงินทุนไหลออก เพราะไทยมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศค่อนข้างสูง ขณะที่สภาพคล่องเงินบาทในประเทศ มีเป็นจำนวนมาก และเงินบาทมีเสถียรภาพที่ดี สามารถรองรับกับการไหลออกของเงินทุนต่างชาติได้ อีกทั้งเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ เมื่อเทียบกับมูลค่ารวมตลาดหุ้นไทย ก็ไม่ได้มากเหมือนอย่างในอดีต
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ตนมอบหมายให้กระทรวงการคลังชี้แจงกับมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ให้รับทราบข้อเท็จจริงอีกครั้ง รวมถึงตัวเลขรับจำนำข้าวปีการผลิต 2554/55 หลังจากเข้ามาจัดเก็บข้อมูลในช่วงที่ผ่านมา และกำชับให้กระทรวงพาณิชย์ นำข้อมูลเดียวกับของคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรของกระทรวงการคลังไปใช้บริหารการระบายข้าวเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน
สำหรับวงเงินการบริหารจัดการโครงการรับจำนำข้าวปีการผลิต 2555/56 จะกำหนดวงเงินกู้ไม่ให้เกินเพดาน 5 แสนล้านบาท เมื่อถึงสิ้นปีตามที่ตั้งไว้ แม้ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้กระทรวงการคลังขยายวงเงินรับจำนำได้ หากในช่วงที่ดำเนินการรับจำนำ ให้ดึงงบประมาณส่วนอื่นมาสำรองใช้ก่อน โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองออกไปก่อน จากนั้นจึงตั้งงบประมาณเข้าไปชดเชย ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการตั้งวงเงินงบประมาณชดเชย 7-8 หมื่นล้านบาท เพื่อชดเชยให้กับธ.ก.ส.
นายพิเชษฐ์ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า ช่วงปรับฐานของตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนสามารถเข้าไปทำกำไรระยะยาวในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพดีเพิ่มขึ้น หลังจากดัชนีหุ้นไทยหลุดระดับ 1,500 จุด ตามแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีความกังวลต่อปัจจัยลบที่เข้ามากระทบ
สำหรับแนวโน้มการลงทุนช่วงสัปดาห์นี้ (10-14 มิ.ย.) ความผันผวนจากการลงทุนยังคงมีอยู่มาก นักลงทุนควรระมัดระวังเป็นพิเศษ และควรติดตามข่าวสารทั้งในประเทศและนอกประเทศอย่างใกล้ชิด ส่วนกรอบลงทุนที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 1,450 จุด
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้ มองว่าแนวโน้มยังดี ส่วนการปรับฐานที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นผลมาจากนักลงทุนเกิดความกังวลต่อสถานการณ์ทั้งเรื่องมาตรการ QE และตัวเลขเศรษฐกิจของจีน ดังนั้น การลงทุนควรเน้นระยะยาวเป็นหลัก
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) จำกัด (CLSA) ปรับประมาณการหุ้นไทย โดยชู 5 หุ้น Top Pick ได้แก่ หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ราคาเป้าหมาย 235 บาท, หุ้นธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ราคาเป้าหมาย 30 บาท
สำหรับแนวโน้มการลงทุนช่วงสัปดาห์นี้ (10-14 มิ.ย.) ความผันผวนจากการลงทุนยังคงมีอยู่มาก นักลงทุนควรระมัดระวังเป็นพิเศษ และควรติดตามข่าวสารทั้งในประเทศและนอกประเทศอย่างใกล้ชิด ส่วนกรอบลงทุนที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 1,450 จุด
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้ มองว่าแนวโน้มยังดี ส่วนการปรับฐานที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นผลมาจากนักลงทุนเกิดความกังวลต่อสถานการณ์ทั้งเรื่องมาตรการ QE และตัวเลขเศรษฐกิจของจีน ดังนั้น การลงทุนควรเน้นระยะยาวเป็นหลัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น