วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ดอยช์แบงก์ปรับเป้าTMB ราคาพุ่งชน3.50บาท *ราศีจับถูกเทกโอเวอร์ ต่างชาติจ้องควบกิจการ

ดอยช์แบงก์ปรับเป้าTMB
ราคาพุ่งชน3.50บาท
*ราศีจับถูกเทกโอเวอร์ ต่างชาติจ้องควบกิจการ

ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม 2557 
ผู้เข้าชม : 8 คน 

ดอยช์แบงก์-โบรกฯปรับเป้าราคาแบงก์ทหารไทยใหม่ 3.50 บาท เก็งผลประกอบการปี 57-58 โตกว่า 27-38.2%  และมีโอกาสถูกเทกโอเวอร์สูง ด้วยมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับพรีเมียม  หลังมาลายันแบงกิ้งต้องการนำไปควบกิจการแข่งกับ CIMB

ราคาหุ้น TMB ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง วานนี้ปิด 2.90 บาท วอลุ่มเข้ามาหนาแน่น หลังจากประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2  ด้านนักวิเคราะห์หลายแห่งได้ทยอยปรับเป้าหมายราคา TMB ใหม่ โดยอยู่ระหว่าง 3.5-2.80 บาท หลังจากผลประกอบการไตรมาสที่สองออกมาดี เพิ่มขึ้นกว่า 900 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้โบรกเกอร์ปรับประมาณการกำไรของ TMB เพิ่มขึ้น 27-38.2%  และยังมองว่า TMB มีโอกาสถูกเทกโอเวอร์สูง
ล่าสุดที่ปรึกษาทางการเงินต่างเสนอความเห็นให้มาลายันแบงกิ้ง (เมย์แบงก์) ควบรวมกิจการกับธนาคารแห่งอื่นๆ ซึ่งมองเป้าหมายในต่างประเทศด้วย อาทิ ธนาคารทหารไทย (TMB) ที่เคยแสดงความสนใจมาก่อน เพื่อนำไปแข่งขันกับ CIMB
ดอยช์แบงก์ปรับมูลค่าเหมาะสม TMB เป็น 3.5 บาท เชื่อมั่นว่า ROE จะเพิ่มเป็น 16% ใน 2559F โดยปรับประมาณการผลประกอบการปี 2557-2559F เพิ่มขึ้น 24% จาก LLR ส่วนเกิน และการผลักดันมาตรการสินเชื่อ SME จากรัฐบาลจะทำให้ต้นทุนเงินทุนลดน้อยลง และการสร้างการเติบโตรายได้ที่ดีจากธุรกิจ SME ซึ่งมีอัตรากำไรสูง นอกจากนี้ ถ้าเป้าหมาย ROE ระยะกลางของธนาคารอยู่ที่ 16% เป็นไปตามคาด มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ถือหุ้นเดิมจะลดสัดส่วนการถือลงทั้ง ING และกระทรวงการคลัง ถ้ามูลค่าหุ้นอยู่ในระดับสูง
ขณะที่ ROE เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาอยู่ที่ 16% ในปี 2559F มาจากต้นทุนเงินทุนที่ดีขึ้นและการเติบโตของ SME ที่แข็งแกร่ง จากการประชุมนักวิเคราะห์ของ TMB ได้เพิ่มความเชื่อมั่นของเราว่าธนาคารสามารถทำให้ ROE เป็นไปตามเป้าได้ที่ 14% ภายใน 2557F และ 16% ภายใน 2559F ทาง CEO ได้กล่าวว่า จากตั้งสำรอง LLR ส่วนเกินระหว่างปี  2555-2556 จะทำให้ธนาคารสามารถบวกกลับ LLR จากที่ NPL ที่ธนาคารตั้งเป้าว่าจะขายใน  2H57-2559
อย่างไรก็ตาม ได้ปรับลดสมมติฐานต้นทุนทางการเงินปี 2557-59F มาอยู่ที่ 60bps จาก 90bps ได้เพิ่มการเติบโตรายได้ที่มาจากดอกเบี้ยสุทธิเป็น 13% จาก 10% เนื่องจาก TMB ได้รับผลประโยชน์จากรัฐบาลทหารที่ผลักดันมาตรการสินเชื่อ SME ในกลางเดือนสิงหาคม (สัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 50%) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความต้องการสินเชื่อและคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น
ส่วนการเก็งกำไรสำหรับ TMB เนื่องจากโอกาสในการเป็นเป้าหมาย takeover อาจกลับมาใน 4Q57 โดยคาดว่า รัฐบาลทหารจะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีได้ในเดือนตุลาคมนี้ โดยคณะรัฐมนตรีชุดใหม่น่าจะอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลทหาร จะสามารถสร้างเสถียรภาพและความยืดหยุ่นสำหรับ ING และกระทรวงการคลัง สำหรับการลดสัดส่วนการถือหุ้นลง นอกจากนี้  ROE ของ TMB ที่มีแนวโน้มการขยายตัวสูง ดังนั้น ING และกระทรวงการคลังอาจจะขายหุ้น TMB ด้วยมูลค่าหุ้นที่อยู่ระดับพรีเมียม
ทั้งนี้ได้ปรับมูลค่าเหมาะสมมาอยู่ที่  3.5 บาท (จาก 2.5 บาท) แนะนำ “ซื้อ”  มาจากการเฉลี่ย P/BV ที่ 2.1x สำหรับ 2557-2558F (จาก 1.6x), COE ที่ 11.2%, ROE ที่ 15% (จาก 13.2%) และการเติบโตระยะยาวที่ 7.7% ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ 1) ค่าธรรมเนียม cross-selling ที่ชะลอตัว  2) การที่อัตราเงินเฟ้อ/ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นสูงจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพ SME และสำรอง LLR ที่เร็วว่าคาด และ 3) การสิ้นสุดของมาตรการสินเชื่อโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย) ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2557-2558 ของ TMB ขึ้น 27.6-38.2% เพื่อสะท้อนถึงผลประกอบการที่แข็งแกร่งในครึ่งแรก และแนวโน้มที่ดูสดใสตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป พร้อมกันนี้ได้ปรับคำแนะนำจาก ขาย เป็น ซื้อ และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2558 เพราะเชื่อว่าตลาดมองข้ามเศรษฐกิจที่อ่อนแอในปีนี้ไปแล้ว และซื้อขาย TMB บนความคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นในปีหน้าและปีต่อๆ ไป
ทั้งนี้ผู้บริหารได้พยายามปรับปรุงธนาคารในทุกๆ ด้าน ซึ่งเท่าที่ผ่านมาก็สามารถทำได้ตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ อย่างเช่น การลดสัดส่วน NPL และการเพิ่ม ROE ทั้งนี้ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่แตกต่างของ TMB ที่มักจะชนะใจลูกค้าเสมอ TMB ค่อยๆ โดดเด่นขึ้น และสามารถขยายฐานลูกค้าเป้าหมายออกไปได้เรื่อยๆ
สำหรับปัญหา NPL สูงถือเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของ TMB แต่ด้วยการบริหารจัดการ NPL อย่างมีประสิทธิภาพของ TMB สัดส่วน NPL จึงลดลงจาก 12.1% ในไตรมาสที่ 1/53 เหลือ 3.4% ในไตรมาสที่ 2/57 ทั้งจากขาย NPL และการปรับโครงสร้างหนี้ เราเชื่อว่าธนาคารจะเดินหน้าลด NPL ต่อไปจนถึงเป้า 3.0% ในสิ้นปีนี้ และลงต่อมาถึงระดับเทียบเท่าอุตสาหกรรมในที่สุด
ด้วยกลยุทธ์การบริหารที่ได้วางไว้ในหลายๆ ด้าน TMB ตั้งเป้า ROE ปีนี้เอาไว้ที่ 14% ซึ่งมองว่ามีโอกาสที่จะเป็นไปได้ กลยุทธ์การใช้เงินฝากเป็นตัวนำช่วยให้ธนาคารสามารถดึงเงินฝากจากทั้งลูกค้ารายย่อยและ SME ได้ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินลดลง และรายได้ non-NII เพิ่มขึ้นจากการขายผลิตภัณฑ์แบบ cross-selling ในขณะที่มีการนำนโยบายการควบคุมต้นทุนมาใช้ควบคู่กันอย่างต่อเนื่องด้วย นอกจากนี้ นโยบายการบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวังก็น่าจะช่วยให้งบดุลแข็งแกร่งขึ้น และต้นทุนการปล่อยสินเชื่อลดลงได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนให้ ROE เพิ่มขึ้น และขยายโอกาสในการเติบโตของ TMB ในอนาคต
ทั้งนี้จากความสามารถของผู้บริหาร และผลงานที่โดดเด่นในการปรับปรุง และสร้างความเข้มแข็งให้งบดุลและความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2557-2558 และปรับเพิ่มระดับ P/BV ที่เหมาะสม โดยอิงจากอัตรา ROE ที่สูงขึ้น พร้อมกันนี้ได้ปรับคำแนะนำจาก ขาย เป็น ซื้อ และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2558 ที่ 3.20 บาท อิงจาก 1.8x ของ P/BV ปี 2558 เราเชื่อว่าหุ้น TMB จะยังคงมีการซื้อขายในระดับราคาที่สูงต่อไป ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อ และความคาดหวังของตลาดถึงผลประกอบการที่จะดีขึ้นในอนาคต
ด้านบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ปรับประมาณการกำไรขึ้นจากรายการเกิดขึ้นครั้งเดียว การปรับโครงสร้างที่ TMB ทำมาหลายปีเริ่มส่งผลดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งผลตอบแทนจากสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนดอกเบี้ย และต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลง รวมไปถึง NPL ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ปรับไปใช้ราคาพื้นฐานปี 2558 ที่ 2.80 บาท แนะนำ "ทยอยซื้อ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น