อีกเพียง 1 สัปดาห์จะล่วงเข้าสู่ปีใหม่ 2558 แล้ว ภาวะตลาดหุ้นไทยสัปดาห์สุดท้ายของปียังมีให้ลุ้นว่าจะยืนนิ่งปิดตลาดในแดนบวกถึงวันสิ้นปีหรือไม่

หลังจาก 16 วันที่ผ่านมา (1-16 ธ.ค. 2557) ดัชนีตกฮวบไปถึง 132.08 จุด หรือคิดเป็น 8.29% ในภาวะฝุ่นตลบ มีหุ้นหลายตัวราคาหลุดปัจจัยพื้นฐาน เพราะนักลงทุนตื่นกลัว แต่ถ้าใจนิ่งๆ จะมองเห็น "ของดี" ที่แฝงตัวอยู่


10 หุ้นเด่น ราคาถูก-ฟรีโฟลต์สูง

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า ยังมีหุ้นที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (PER) ต่ำกว่า 17.55 เท่า ซึ่งเป็น PER ของตลาดหุ้นไทยปีนี้ หลายตัว และเมื่อร่อนตะแกรงคัดหุ้นที่ราคาปิดต่อกำไรสุทธิ (P/E) ต่ำ อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV RATIO) น้อย อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) สูง อัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS Growth) ดี แถมยังมีการกระจายของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) มากกว่า 30%

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส พบว่า มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวถึง 30 แห่งโดย 10 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA), บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP), บมจ.ศุภาลัย (SPALI), บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC), ธนาคารกรุงไทย (KTB), ธนาคารกรุงเทพ (BBL), บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP), บมจ.ศรีราชาคอนสตรัคชั่น (SRICHA), บมจ.ปตท. (PTT) และ บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) แล้วในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (19 พ.ย.-19 ธ.ค) มีราคาปรับตัวลดลง -6.37%, -5.30%, -1.78%, -5.38%, -1.28%, -3.00%, -19.59%, -7.52%, -14.51% และ -7.10% ตามลำดับ


วางกลยุทธ์ช้อนหุ้น 3 กลุ่ม

"ประกิต สิริวัฒน์เกตุ" ผู้จัดการกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส แนะนำว่า การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้าให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นเป็น 50% ของเงินลงทุนทั้งหมด จากเดิมให้ไว้ที่ 30% โดยแนะเลือกหุ้นตามกลยุทธ์รายตัวใน 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

กลุ่มแรก เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง โดยกลุ่มที่ได้อานิสงส์ชัดเจน ได้แก่ กลุ่มขนส่งทางอากาศ และขนส่งทางเรือ อาทิ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV), บมจ.อาร์ ซี แอล (RCL) และ บมจ.ทิปโก้ แอสฟัลท์ (TASCO)

กลุ่มสอง หุ้นที่มีสถิติให้ผลตอบแทนชนะตลาดในช่วงเดือน ม.ค. ซึ่งตามข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่ามีหุ้นหลายตัวที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกด้วยความน่าจะเป็นเกิน 70% อาทิ บมจ.เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI), บมจ.จีเอฟพีที (GFPT), ธนาคารกรุงไทย (KTB), บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.63%, 5.31%, 3.18% และ 2.81% ตามลำดับ

กลุ่มสาม หุ้นปันผลเด่น โดยเกณฑ์ในการคัดเลือกจะให้น้ำหนักกับหุ้นที่มีDividend Yield สูงกว่า 4% ในงวดปี 2558 และมีราคาหุ้นต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม (Fair Value)


จุดต่ำสุดปีนี้ผ่านไปแล้ว

ด้าน "ยศพณ แสงนิล" รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และดัชนีไม่น่าจะลดลงรุนแรง หรือต่ำกว่าระดับ 1,500 จุด อีกแล้วจนกว่าจะสิ้นปี หลังจากปัจจัยลบต่าง ๆ ได้คลี่คลายลง

"ปัจจุบัน P/E ของตลาดหุ้นไทยเทียบกับอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2558 อยู่ที่ 14 เท่า ดังนั้นหุ้นไทยตอนนี้จึงไม่แพงเลย และมีโอกาสช่วงที่เหลือของปีนี้จะเห็นดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงระดับ 1,550 จุด"

ตลท.ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนราว 12.6% โดยกลุ่มหุ้นที่มีผลตอบแทนเด่นที่สุด 5 อันดับในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การแพทย์ ขนส่ง อิเล็กทรอนิกส์ หลักทรัพย์ และธนาคาร มีผลตอบแทนสูงสุดถึง 49.7%, 35.6%, 32.9%, 29.8% และ 27.2% ตามลำดับ

ส่วนกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบ ได้แก่ ปิโตรเคมีลดลง -26.7% และพลังงาน -8%

แม้ตอนนี้ภาวะตลาดหุ้นจะกลับมาดีขึ้น แต่นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และจัดพอร์ตให้เหมาะสม โดยนักลงทุนระยะยาวจะต้องศึกษาพื้นฐานหุ้นให้ดี ส่วนระยะสั้นต้องระวังแรงเก็งกำไรที่อาจทำให้ "เจ็บตัว" โดยไม่ทันตั้งตัวด้วย


ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์