วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปี  กลุ่มการเงิน-ก่อสร้าง-เทคโนโลยีกำไรเพิ่ม

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ปี56บจ.กำไร8แสนล้าน
หุ้นไทยฟื้น-ต่างชาติซื้อสุทธิ
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 3 คน
ปี 56 บจ.โชว์กำไร 8 แสนล้าน

กลุ่มการเงิน-ก่อสร้าง-เทคโนโลยีกำไรเพิ่ม



“ตลาดหลักทรัพย์” เผยกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2556 เกือบ 8 แสนล้านบาท เติบโต 7% มียอดขายรวมเกิน 10 ล้านล้านบาทต่อเนื่อง เป็นปีที่ 2 แม้ว่าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าและเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว หุ้น PTT-PTTEP-SCB-KBANK และ SCC ติด 5 อันดับกำไรสูงสุด ขณะที่ต่างชาติกลับมาซื้อเฉลี่ย 4,600 ล้านบาท


นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 491 บริษัท หรือ 96.84% จากทั้งหมด 507 บริษัท (ไม่รวมกลุ่ม NC และ NPG) นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 56 แล้ว ที่มีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงาน 415 บริษัท คิดเป็น 84.52% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

โดยยอดขายรวมปี 2556 อยู่ที่ 10,983,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.89% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 789,386 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.22% ด้านประสิทธิภาพการทำกำไรปีนี้เทียบกับปีก่อน อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มจาก 17.64% เป็น 18.44% อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 7.03%เป็น 7.19% ด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.24 เท่า

“ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2556 เติบโตได้แม้ว่าเศรษฐกิจโลก จะฟื้นตัวช้า ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าของธุรกิจที่อยู่ต้นน้ำ (Upstream) เช่น ธุรกิจพลังงาน ปิโตรเคมี เหล็ก เกษตรและอาหาร อีกทั้งมีผลกระทบจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนตามเงินบาทที่อ่อนค่า อย่างไรก็ตามบริษัทในภาคการเงิน ภาคอสังหาริมทรัพย์

รวมถึงบางธุรกิจภาคบริการ เช่น ธุรกิจค้าปลีก โรงแรม สื่อและสิ่งพิมพ์ รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่ได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของสังคมเมือง การกระจายความเสี่ยงพื้นที่ให้บริการและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรม ยังมีผลการดำเนินงานเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าแม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศมีการชะลอตัวต่อเนื่องก็ตาม”

สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคของครัวเรือน รวมถึงการลงทุนเอกชนที่ลดลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปีที่แล้ว ทำให้เห็นอัตราการเติบโตยอดขายและกำไรบริษัทจดทะเบียนช่วงไตรมาส 3-4 ชะลอตัวต่อเนื่องตามลำดับทั้งในภาคการผลิต ภาคบริการ ภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคการเงิน

อย่างไรก็ตามหากดูข้อมูลตามประเภทธุรกิจเพิ่มเติม พบว่า ธุรกิจอาหารและธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กลับมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสวนทางกับภาพรวม ธุรกิจดังกล่าวที่ได้รับประโยชน์จากการส่งออก ตามวงจรเศรษฐกิจโลกที่อยู่ช่วงเริ่มฟื้นตัว

ทั้งนี้บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรปี 56 สูงสุด 5 อันดับแรก คือ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรก จาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด ได้แก่ ธุรกิจการเงิน ทรัพยากรและอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

สำหรับหมวดธุรกิจที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรกจาก 28 หมวดธุรกิจ ได้แก่ พลังงานและสาธารณูปโภค ธนาคาร และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยทั้ง 3 หมวดมีกำไรสุทธิรวม 469,417 ล้านบาท คิดเป็น 59.47% ของกำไรสุทธิรวมทั้งหมด และยอดขายรวมของทั้ง 3 หมวดคิดเป็น 54.15% ของยอดขายรวมทั้งหมด

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า เดือนมี.ค. 57 นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเฉลี่ย 4,600 ล้านบาท หลังจากที่ผ่านมา มีการขายสุทธิต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน มียอดขายสุทธิ 3.3 หมื่นล้านบาท แต่เริ่มเห็นสัญญาณนักลงทุนต่างชาติมีการขายน้อยลงและกลับมาซื้อหุ้นไทยแล้ว โดยสาเหตุที่ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยมาจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปี 2556 ออกมาดี โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 15% มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 7.2% และการที่กปปส.คืนพื้นที่ชุมนุม ทำให้บรรยากาศทางการเมืองเริ่มดีขึ้น

ส่วนผลกระทบเรื่องปัญหายูเครนกับรัสเซีย เชื่อว่าจะมีผลกระทบทางอ้อมในด้านจิตวิทยาเท่านั้น โดยเชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะกระทบตลาดหุ้นในฝั่งยุโรปมากกว่า

แม้ตลาดหุ้นไทยขณะนี้จะปรับตัวลดลงมาจากปีที่แล้ว ปัจจุบันดัชนีอยู่ที่ 1,352 จุด แต่ถือว่าสูงสุดรอบ 19 ปี ไม่นับรวมปี 56 ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี ที่บริษัทที่มีแผนเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ได้เตรียมตัวและหาจังหวะการเสนอขายหุ้น โดยเฉพาะช่วงที่ดัชนีปรับขึ้น เพราะว่าโอกาสที่ดัชนีจะปรับขึ้นอยู่ที่ประมาณ 200 จุด เช่น เดียวกับทางลงของ SET สามารถจะเหวี่ยงลงมาได้ 200 จุดเช่นเดียวกัน

“หุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดลง 200 จุด ดังนั้น หากจะขายก็ควรเลือกจังหวะในช่วงที่ปรับขึ้น สำหรับ 2 เดือนที่ผ่านมามีบริษัทที่ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นอย่างต่อเนื่องไม่ได้มีการลดจำนวนลงไป จากนี้ยังมีบริษัทที่เตรียมจะขายหุ้นอยู่หลายบริษัท แต่จังหวะในการขายอาจมีการเลื่อนไปบ้างหากภาวะตลาดไม่ดี” นายจรัมพร กล่าว

อย่างไรก็ตามตลาดหลักทรัพย์ มีแผนให้ความรู้และร่วมมือกับโบรกเกอร์ในการขยายฐานนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักลงทุนเปิดบัญชีใหม่ได้ระดับเดียวกับปีที่แล้ว ที่มีการเปิดบัญชีใหม่ถึง 1 แสนบัญชี จาก 3-4 ปีที่ผ่านมาจะมีการเปิดบัญชีใหม่เพียงปีละ 2-3 หมื่นบัญชีเท่านั้น

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น