วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

เศรษฐกิจวิบัติยาว? คอลัมน์ วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2557 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: เศรษฐกิจวิบัติยาว?

คอลัมน์ วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 10 คน
วิกฤตการเมืองที่ยืดเยื้อมา 4 เดือนสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจแค่ไหน ม.หอการค้าไทยประเมินว่า เศรษฐกิจจะโตไม่เกิน 3% ต่างชาติหอบเงิน 2 แสนล้านไปลงทุนประเทศอื่นในอาเซียนแล้ว

ประธานสภาอุตสาหกรรมฯก็บอกว่า โครงการ 5 แสนล้านกำลังเคว้ง เพราะ BOI ไม่มีบอร์ดอนุมัติ รัฐบาลรักษาการตั้งบอร์ดไม่ได้ เช่นเดียวกับเศรษฐกิจรากหญ้า พังพินาศเพราะรัฐบาลกู้เงินมาจ่ายจำนำข้าวไม่ได้

คำถามน่าสนใจคือ วิกฤตการเมืองจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทยยาวนาน หรือเป็นแค่ระยะสั้น ช่วยกันไล่รัฐบาล มีนายกฯ คนกลาง ก็จบแล้ว (หรือรัฐบาลก็บอกว่าช่วยกันดันเลือกตั้งสำเร็จ มีรัฐบาลใหม่ ตั้งต้นใหม่)

พูดอย่างไม่เกรงใจ ภาคธุรกิจไทย นักวิเคราะห์ นักเล่นหุ้น มักปลอบใจตัวเองว่าเป็นแค่ปัญหาระยะสั้น เดี๋ยวก็จบ ยังไงๆ เมืองไทยก็น่าลงทุน เจรจาสงบศึกกันได้ เงินต่างชาติก็ไหลมาเทมา

เจรจาอะไร รบกันมา 8 ปีเข้าให้นี่แล้ว ไม่มีวี่แววหย่าศึก มีแต่แนวโน้มแตกหัก

ไม่อยากขาย “ช็อกซีเนม่า” แต่ชวนมองอีกด้านว่า ในขณะที่เมืองไทยมีหลายปัจจัยน่าลงทุน ก็มีหลายปัจจัยเป็นลบ โดยเฉพาะ “คนไทย” ที่มีปัญหาทั้งการศึกษา นิสัยใจคอ และที่โผล่ออกมาให้เห็นขณะนี้คือ “ทัศนคติ” ทางการเมือง

คนไทยไม่เหมือนชาติใดในโลก จริงๆ สะท้อนออกตั้งแต่ 6 ปีก่อนแล้ว มีประเทศไหนม็อบไล่รัฐบาลปิดสนามบิน ไม่แยแสว่าจะทำให้ใครวิบัติฉิบหายสักแค่ไหน

ครั้งนี้ก็ม็อบไล่รัฐบาลไม่เอาเลือกตั้ง ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ยาวนานเกือบ 2 เดือน ฉิบหายแค่ไหนลองไปถามพ่อค้าแม่ขายย่านมาบุญครอง ราชประสงค์ จะได้คำตอบว่า แบะ แบะ... ไม่กล้าพูด เพราะบางคนก็เป็นม็อบเสียเอง กลัวเสียขบวน บางคนไม่เห็นด้วยแต่กลัวม็อบคุกคาม กลัวสาวกนกหวีดต่อต้าน

ทัศนคติทางการเมืองของคนไทยฝ่ายนี้คือ ถ้าเชื่อว่าตัวเองกำลังต่อสู้เพื่อศีลธรรมอันดีงาม เพื่อความเป็นไทย เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ก็พร้อมจะฉิบหายวายป่วงมันทุกอย่าง

บางคนอาจแย้งว่า อ้าว เสื้อแดงล่ะ ก็ปิดราชประสงค์ ไม่แยแสความฉิบหายวายป่วงเหมือนกัน แต่การลุกฮือของเสื้อแดงยังอยู่ในกฎเกณฑ์สากล ว่าเมื่อรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกเบียดบังอำนาจ ก็ต้องลุกขึ้นสู้

เอาละ ไม่ว่าข้างไหน นักลงทุนต่างชาติไม่สะกิดใจบ้างหรือ ว่า “สยามเมืองยิ้ม” ทำไมกลายเป็นยิ้มแสยะ ปลุกความเกลียดชัง คลั่งข้าง แทบจะไล่ล่าฆ่ากัน มันน่าจะมีอะไรผิดปกติ ใน “ความเป็นไทย” ที่ไม่รู้มาก่อน

พนักงานออฟฟิศคุณ ทำมาหากินในระบบทุน อยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมาเป่านกหวีดไล่ “ทุนสามานย์” ไม่เอารถไฟความเร็วสูง ให้ถนนลูกรังหมดไปเสียก่อน

สหภาพ ปตท. เงินเดือนโบนัสเบิกบาน แต่สมัครสมานกับพวก “ทวงคืน ปตท.” ถ้าชนะจะให้ลดราคาเบนซิน 5 บาท

ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำรงอยู่นี้ มีด้านที่มาจากแนวคิดพัฒนาประเทศที่ต่างกันสิ้นเชิง ระหว่าง “ระบอบทักษิณ” ที่นำประเทศกระโจนสู่โลกาภิวัตน์ กับ “ระบอบลูกรัง” อุดมคติเชิงศีลธรรมของคนชั้นกลางเก่า ซึ่งตีความ “พอเพียง” อย่างไม่สอดคล้องกับความจริงของโลก

ในม็อบ กปปส.อาจมีคนทำมาหากินที่ต้องการแค่ “ต้านโกง” แต่ก็มีไม่น้อย ที่ “ต้านทุน” จนฉิบหายวายป่วงอย่างไรก็ได้

คนพวกนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เศรษฐกิจวิบัติอย่างไรไม่เดือดร้อน ส่วนหนึ่งก็เป็น NGO ที่มองโลกกลับข้าง เห็นมิคสัญญีเป็นการเกิดใหม่ของความดีงาม

นี่ยังไม่ต้องพูดถึง “กองทัพธรรม” สันติอโศก กินผักกินหญ้า อาบน้ำ 5 ขัน

พูดอย่างนี้ไม่ใช่โลกาภิวัตน์ถูกหมด แต่อีกข้างก็สุดโต่ง การปะทะของ 2 แนวทางไม่จบง่ายแน่นอน และจะย้อนกลับไปที่คำถาม เมืองไทยยังน่าลงทุนอยู่หรือ

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น